เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Patientoverreachpeach.
โพสต์นี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมกับเยาวชน นอนโรงพยาบาล | suggestion
  • หลังจากวนกับการหาหมอจิตเวชที่คิดว่าเก่งที่สุด กวนโอ๊ยที่สุด และงง ๆ 
    เรายังพาตัวเองไปหาหมอครั้งที่สิบ เอ่อ สิบเท่าไหร่ไม่รู้ ตามใบนัดได้ 
    ครั้งนี้แปลกกว่าทุกครั้ง ไม่รู้ว่ามีใครอยากฟังหรือแชร์กันบ้างหรือเปล่า 
    วันที่เราไม่ไหวแล้ว วันที่ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร วันที่เพื่อนที่คิดว่าสนิทที่สุดก็ช่วยอะไรไม่ได้ ครอบครัวเหรอ ตัดทิ้งไปอันแรกเลย ฮ่าา



    วันนี้เราพยายามประคองสติไปหาหมอให้ได้ จำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นคิดอะไรอยู่บ้าง อย่างแรกเลยคือการตื่นนอนเป็นอะไรที่ยากที่สุด เรายังมีความหวังเล็ก ๆ อยู่เสมอในทุกครั้งที่ไปหาหมอว่าหลายอย่างต้องดีขึ้น it's getting better but... นั่นความหวังลม ๆ แล้ง ๆ หรือเปล่านะ 



    เรายังคิดตีกันในหัวไปมาก่อนตัดสินใจลุกออกจากที่นอน ไปอาบน้ำ แต่งตัว เออ ไม่อยากทำอะไรซักอย่างเลยแต่มีอย่างเดียวที่คิดว่าจะะช่วยได้คือไปหาหมอ (ตามนัด) 



    "หวัดดี !" คำแรกที่หมอทัก 



    เสียงหมอที่โคตรจะคุ้นเคย หมอคนเดิมที่เราเจอหน้าไปสิบกว่าครั้ง จะถามว่าเบื่อไหม เอาจริง ๆ ก็ไม่นะ แต่ครั้งนี้ดูจะไม่อยากเจอที่สุดเลย อีกทั้งเสียงหมอดูสดใสกว่าเราหลายสิบเท่ายิ่งทำให้เรารู้สึกตัวฟีบลงไปอีก 



    หมอถามคำถามเดิม ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง เรียนจบแล้วใช่ไหม นู่นนี่นั่น เราเล่าอะไรยังไม่ทันจะได้ใจความน้ำตาก็ดันไหล (อีกแล้ว) ทุกอย่างที่พูดดูเป็นอะไรที่ sensitive ไม่อยากพูดแต่ก็ต้องพูดเพราะไม่รู้จะพูดกับใครได้แล้ว เหมือนจุดนั้นถ้าเราไม่พูดหรือเล่าอะไรออกมา เราคงไม่อยู่จนถึงตอนนี้ เออ เว่ออีกละ วนกลับมาที่น้ำตาไหล เราน้ำตาไหลเพราะสิ่งที่ตัวเองเล่าให้หมอฟัง คำถามที่ว่า ชีวิตช่วงนี้เป็นไงบ้าง สีหน้าสีตาดูดีขึ้นนะ เราตอบกลับไปว่า ดีแต่ว่า หมอคะ หนู self-harm อีกแล้วค่ะ 



    หมอถามว่าตรงไหน ที่เราทำแบบนั้นเพราะอะไร แล้วยังไงคะ และคำถามอีกเป็นสิบ เราวนคำพูด ความคิด เรื่องเดิม ๆ เอามาผสมกัน ตีกันมั่วไปหมด ทั้งเรื่องที่ผ่านมา เรื่องปัจจุบันและเรื่องที่คิดไปเอง คอมโบนี้ยกให้เป็นการรวมกันที่ไม่ว่าอะไรก็ดึงเราออกมาจากหลุมดำไม่ได้ เราไปสมัครงานมาแหละ แต่เราผิดน้ดเพราะวันที่มีนัด คืนก่อนหน้าเรากินยานอนหลับเยอะไป เอาเข้าจริงก็ไม่อยากตื่นแต่ยังไม่กล้าตาย กลายเป็นว่าส่งข้อความไปเลื่อนนัดสัมภาษณ์แล้วมาหาหมอแทน 



    เราบอกหมอเกือบทุกอย่างที่เราเจอ ที่เราคิด เชื่อมโยง (ตอนแกทแพททำไมไม่เก่งแบบนี้บ้าง) มากองให้หมอตรงหน้า ทำตัวเองเหมือนเป็นอะไรก็ไม่รู้ตรงหน้าหมอ แบบอยากให้หมอช่วยแต่ก็ดูเป็นภาระ ดูเยอะ เหมือนจะเฟคว่าฉันนี่แหละไม่ไหวแล้วแต่ความจริงคือก็มาหาหมอได้หนิ อะไรแบบนั้น คอมโบแรกคือเรื่องที่ผ่านมาแล้ว เรานึกย้อนกลับไป นึกถึงอดีตที่เจ็บปวด ไม่น่าจดจำแต่จำได้แม่นทุกรายละเอียด แล้วเอามาคิดว่าทำไมต้องเป็นแบบนั้นด้วย ตอนนั้นเราน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ และทั้งหมดเป็นความผิดเรา คอมโบที่สองคือปัจจุบัน เมื่ออดีตยังตามมาหลอกหลอนไม่จบไม่สิ้น เราก็ไม่มีทาง move on ได้ นึกถึงอะไรหน่วง ๆ ดึงไว้ทุกครั้งที่ก้าวเดิน เดินได้แต่ต้องออกแรงเยอะหน่อย ไม่สบายตัว อยากหยุดเดิน ปัจจุบันก็เลยพังไม่เป็นท่า แพลนที่วางเอาไว้หายไปกับปุยเมฆ ปัจจุบันคือการมาเจอหมอ ขอให้หมอช่วย เราน่าจะมีสติอยู่ในตอนนั้น แต่เท่าที่จำได้ เราโทษตัวเองกับทุกเรื่องที่เกิดขึ้น เราอยู่กับปัจจุบันไม่ไหว คอมโบสุดท้าย อนาคต ในเมื่ออดีตห่วยแตก ปัจจุบันพังไม่เป็นท่า เราจะบอกว่าอนาคตต้องดีขึ้นสิ ใช่ นั่นคือคำพูดของคนที่มีความหวัง แต่สำหรับเรา ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ แบบนี้ไม่มีหรอก อนาคตก็คืออยากตาย



    "นอนโรงพยาบาลไหม" หมอถาม

    เราตอบไปแบบไม่คิดเลยว่าไม่ จะบ้าเหรอ ในใจแม่งคิดว่า **ละ นี่กูไม่ไหวจนถึงขั้นหมอขอให้นอนโรงพยาบาลแล้วเหรอ หมอถามต่ออีกว่าถ้าไม่นอนโรงพยาบาลแล้วหมอจะช่วยหนูได้ยังไง 
    เราวิ้งไปพักหนึ่งกับคำถามนี้ของหมอ เราส่ายหน้า



    เราเงียบไปประมาณ 2-3 นาทีพร้อมน้ำตาที่ไหลมาเรื่อย ๆ ไม่ทีที่ท่าว่าจะหยุดมันยังไง



    หมอเสนอทางเลือกต่อไป ถ้าหนูไม่นอนโรงพยาบาล งั้นหมอมีคนช่วย ให้หมออีกคนช่วยไหม หมอเขาอาจจะยุ่ง ๆหน่อย เพราะหมอเขาน่าจะเก็บเคสอยู่ ลองดูไหม ในขณะที่หมอหันตัวไปค้นโน้ต กระดาษ ถามเราว่าเบอร์โทรติดต่อเราเบอร์นี้ใช่ไหม หมอจะให้หมออีกคนโทรไปนะ เบอร์นี้นะ ลองดูนะ เราเงียบ



    "หนู หนูไม่อยากอยู่แล้ว" 



    เราคิดคำนี้มาหวังจะพูดกับหมอตั้งแต่เช้า เรารวบรวมสติและพลั้งพูดมันออกมาจนได้ เหมือนยกภูเขาออกจากอก แอบมองหน้าหมอแปปนึง หมอก็ไม่ได้ตกใจกับคำพูดของเราซักเท่าไหร่ เราเริ่มสะอื้นหนักขึ้น หายใจถี่ หอบ เหมือนจะเป็นลม ทุกอย่างกำลังจะพัง เราร้องไห้เหมือนเด็กที่งอแงอยากได้ของเล่น พ่อแม่ไม่ตามใจ และถูกตะหวาดกลับไปว่าอย่าร้อง เห็นไหม อายคนอื่นเขา เราร้องไห้แบบเด็กคนนั้นแหละ เมื่อเราเริ่มหายใจถี่มากขึ้น หมอเคาะโต๊ะ เคาะหลายครั้งอยู่เหมือนกัน เสียงมือหมอเคาะลงโต๊ะไม้เสียงดังใช้ได้ หมอเริ่มเรียกชื่อเรา xx สลับกับเคาะโต๊ะไปแบบนี้อยู่หลายรอบ เท่าที่จำได้ตอนนั้นเหมือนกำลังจมน้ำ ดิ่งลงแบบไม่น่าจะมีใครช่วยขึ้นมาได้ ถ้าได้ก็คงต้องยากและเหนื่อยมาก 



    คำว่าอยากตาย คำว่าไม่อยากอยู่ตีกันในหัวไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าและดังกว่าเสียงหมอที่อยู่ตรงหน้าแน่นอน เราสะดุ้งในครั้งสุดท้ายที่หมอเคาะโต๊ะดังขึ้นมาอีกเลเวลหนึ่งพร้อมเรียกชื่อ หมอว่าหนูจมเกินไปแล้ว หายใจเข้าลึก ๆ เราหายใจเข้าให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้แต่มันทำไม่ได้ ตอนนั้นอยากอ้วกมาก หมอบอกให้หายใจลึกขึ้นอีกนิด ถ้าหนูหายใจถี่หนูจะยิ่งเครียด หมอพูดปลอบเราไปเรื่อย ๆ แบบนี้จนเราสูดหายใจเฮือกใหญ่และเริ่มมีสติมากกว่าเมื่อ 20 นาที่ก่อน หมอกดปากกาแล้วเขียนซักอย่างลงไปในกระดาษ แค่เสียงกดปากกาเราถึงกับสะดุ้ง เสียงหมอแทบจะกลายเป็นเสียงคนแปลกหน้าที่เราไม่อยากได้ยิน เสียงในหัวดังกว่า ทำยังไงได้ หมอถามว่าทุกวันนี้หนูส่องกระจกหนูชอบตัวเองไหม เราตอบว่า ไม่ ก็แน่ละสิ พังขนาดนี้ ใครจะไปชอบวะ เกลียดตัวเองจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ทุกวันนี้เวลาจินตนาการตัวเองเดินออกจากอะไรพัง ๆ ก็เหมือนโดนขยำ โดนฉีกเหมือนกระดาษเอสี่มาก เราอยากฉีกตัวเองแบบที่ฉีกกระดาษแบบนั้นได้ ให้มันจบไป พอกันที



    ความคิดอยากตายเป็นยังไงเหรอ เคยคิดว่าคนที่ฆ่าตัวตายไม่รักครอบครัว ไม่รักพ่อแม่ หรือว่าเป็นห่วงคนรอบตัวเหรอ ไม่รักตัวเองเหรอ ตามศาสนาและความเชื่อสอนอยู่เสมอว่าสิ่งที่ทำเป็นบาป จะไม่ได้ไปผุดไปเกิดและวนอยู่กับสิ่งที่ตัวเองซ้ำ ๆ ไม่ได้ไปไหน ก็นั่นแหละ ไม่มีใครพิสูจน์ได้ ความเชื่อก็คือความเชื่อ (เรียนสายวิทย์มา ไม่เชื่อคนง่ายก็วันนี้แหละ) เราเชื่อในโลกของความเป็นจริงมากกว่าอะไรที่จับต้องไม่ได้ ถ้าการตายทำให้เราบาป แล้วยังไง ทำคนรอบข้างเสียใจ อื้ม ตอนนั้นตายแล้วคงไม่รับรู้อะไรแล้วมั้ง คนที่อยู่ก็ต้องทนและรับให้ได้ ก็แค่นั้น ชีวิตใครชีวิตมันหรือเปล่า ไม่รู้นะ บางคนอาจะไม่ได้คิดแบบนี้ เกิดมาก็ต้องรู้จักบุญคุณ ดูแลคนที่เลี้ยงดูเรามา ยอมให้เราเกิดมาบนโลกที่โหดร้ายแบบนี้ พยายามทำตัวเป็นทานตะวันที่หันเข้าหาแสงตลอดเวลาเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด หาคนมารดน้ำ พรวนดิน ให้ยืนต้นอยู่ได้นานที่สุด แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าไม่อยากอยู่ เราก็เลือกได้ไม่ใช่เหรอ ทานตะวันเลือกที่จะก้มหน้า ไม่หันไปหาแสงแดด ใบจากสีเขียวกลายเป็นเหลืองช้ำจนเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ทานตะวันยืนต้นตายเพราะอ่อนแอ ไม่แข็งแรงพอ ไม่ได้แปลว่าโลกนี้ไม่มีแสงแดด ไม่มีน้ำมาเลี้ยงต้นให้โตวันโตคืน หรือไม่มีมีคนมาดูแล ทานตะวันไม่แข็งแรงพอ แค่นั้นเอง



    เราอยากตายเพราะเราไม่คิดว่าอนาคตมันจะดีได้ยังไง เราทำเกือบทุกอย่างที่คิดว่ามันจะดีขึ้น แบบที่หมอแนะนำ พอมาเจอกับตัว คำว่าอยากตายก็คืออยากตาย ไม่มีอะไรไปมากกว่านี้ เราไม่สนว่าคนที่อยู่จะเป็นยังไง จะเสียใจรึเปล่า เราไม่แคร์อะไรเลยในตอนนั้น ไม่มีปัจจัยอื่นมาเกี่ยวเลยนอกจากอยากให้ตัวเองหายไปจากตรงนี้ ไม่อยากรู้สึกอะไรอีกแล้ว ไม่ได้เศร้าหรือว่าเสียใจหรือโกรธอะไรใคร ภาพในหัวคือยืนอยู่บนดาดฟ้า ให้ลมพัดมาปะทะหน้าเบา ให้รู้สึกว่าเย็น สบาย แล้วกระโดดลงไป เราจินตนาการได้เป็นฉาก ๆ ว่าจะตายแบบไหน ยังไงดี แต่ท้ายที่สุดเราไม่กล้า เราแค่บอกว่าอยากตาย เอาจริงก็ไม่กล้าตาย ความคิดคือสิ่งที่มาจากจิตใต้สำนึกที่ลึก ๆ คงตอกย้ำว่าเราเป็นคนยังไง ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีหรอกใช่ไหมถ้าคนหนึ่งเลือกที่จะตัดสินใจจบชีวิตตัวเองไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม



    หมอถามว่าตอนนี้ยังกินยาอยู่ไหม เรายังเงียบไม่พูด ไม่หือ ไม่อือ อะไรกับหมอเลย หมอบอกว่างั้นหมอนัดหมออีกคนให้ก่อนนะ แล้วยายังจะเอาอยู่ไหม หมอถาม หมอบอกอีกว่าถ้าให้ไปแล้วกลัวเราจะกินเยอะอีก หมอเป็นห่วง หมอตัดจบประโยคแบบงงมาก ในหัวเรายังไม่จบเลย ว่าจากนี้จะทำยังไงต่อ เหมือนหมอพามาส่งปากถ้ำแล้วให้เราเดินเข้าไปเพื่อหาทางออกข้างหน้าเอง สู้สิ อดทนสิ ลองดู ตอนนั้นรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ ความรู้สึกเหมือนโดนเท หมอถามว่ามีอะไรที่หมอยังไม่ได้ทำไหม หมอบอกว่า xx หมออยากช่วยหนู แต่หมอก็พบว่าหมอช่วยหนูไม่สำเร็จเลย คำพูดหมอน่าเห็นใจมาก เรามาถึงจุดที่หมอต้องพูดแบบนี้ได้ยังไง ถ้าไม่นับว่าคนตรงหน้าคือหมอ เราจะแสดงอาการ ท่าที หรือคำพูดออกมาแบบนี้ไหม ทำไมหมอคนนี้ต้องโชคร้าย ทำไมหมอต้องมาเจอคนแบบเราด้วย บทสนทนาจบยังไงไม่รู้ รู้แค่ว่าไม่มีใบนัดต่อแล้ว ไม่มีใบสั่งยา เราผลักประตูที่หนักมากออกมาสูดหายใจอีกครั้งข้างนอกห้อง หมอเดินมาส่ง เรากำทิชชู่ที่มากกว่าห้าแผ่น ชุ่มไปด้วน้ำตาและน้ำมูก สมเพชตัวเองมาก แอบเห็นเงาตัวเองที่โต๊ะกระจกเคาท์เตอร์พี่นักจิต เราหัวฟู น้ำตาปริ่มอยู่ จมูกแดง ก้มลงมองเสื้อนิสิตตัวเอง น้ำตาทั้งนั้น เราเดินออกมาจากที่นั่นพร้อมกับตรงไปที่ประตูทางออกลานจอดรถ คิดไว้ว่าถ้าเปิดออกไปได้ก็จะเดินไปตรงระเบียงหน่อย ก้มมองลงไปแล้วลองดูว่าจะอยากตายอยู่ไหม ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย เราผลักประตูออกไปไม่ได้เพราะมันล็อคไว้ การขึ้นมาชั้นสามมีสองทางคือขึ้นลิฟท์ และบันได แต่ทางออกมีทางเดียวคือลงลิฟท์ เราลองผลักอีกบานเผื่อมันจะล็อคแค่ฝั่งเดียว แต่ก็ไม่เป็นผล หงุดหงิดชะมัด



    สิ่งที่ได้จากหมอวันนี้คือความว่างเปล่า ถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เรากำลังเรียกร้องความสนใจอยู่แน่ ๆ ไม่มีใครช่วยเราได้เลย ขนาดหมอยังบอกว่าช่วยไม่สำเร็จ



    "ทนตัวเองอีกนิดนะ เดี๋ยวก็ตายแล้ว"



    เราบอกตัวเองอยู่ในใจ


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Chans (@fb2523714664538)
อ่านจบ

เป็นคนเล่าเรื่องได้สนุกมาก เป็นฉากเป็นตอน น่าติดตาม

~หรือว่าคุณมีพรสวรรค์ด้านนี้

สู้ ๆ นะ ว่ายขึ้นมา เหนื่อยก็พัก แล้วว่ายขึ้นมา นิดนึงก็ยังดี อย่าดำลงไปอีกเลยนะ คุณทำได้
overreachpeach. (@debbyjudycooper)
@fb2523714664538 ขอบคุณมากนะคะที่เข้ามาอ่าน นี่ก็มาตอบเอาสิ้นปีเลย ขอโทษจริงๆนะคะ และขอบคุณสำหรับ feedback นะคะ ฮืออ
Nattaawt Sorathavorn (@Nattawatsora)
อยากฟังเรื่องต่อนะฮะ มาเล่าต่อนะ
overreachpeach. (@debbyjudycooper)
@Nattawatsora ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ