เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
In my opinionBeaunt
คิดถึง.....คนไกล
  • วันนี้นั่งเคลียร์ข้อความในไลน์.... เพราะว่าหาข้อความของลูกค้าไม่เจอ ว่าจะตามงานสักหน่อย

    เลื่อนไปเลื่อนมา เจอข้อความที่เป็น empty chat (ข้อความที่คู่สนทนาปิดข้อความคุยกับเรา) ไม่รู้หรอกว่าชื่อใคร ต้องเข้าไปดูข้อความล่าสุดว่าคุยอะไรไว้บ้าง แล้วจึงจะนึกออก ว่าใครที่เราเคยคุยด้วย

    ลบออกจนเหลือ empty chat อันสุดท้าย เข้าไปดูในข้อความ เป็นข้อความที่ฝั่งคนที่พิมพ์มาหาเรานั้น ยังมีกำลังใจอย่างยิ่งใหญ่ เป็นข้อความของนักสู้ที่ถึงแม้ว่าร่างกายจะอ่อนแอแค่ไหน แกก็จะไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาที่เกิดขึ้นอย่างร้ายแรงกับตัวเองในขณะนั้น 
    ใช่ค่ะ แกคืออาอี๊ของเราเอง (อาอี๊ คือ น้องสาว หรือพี่สาวของแม่ ในกรณีนี้คือน้องสาวแม่ค่ะ) 
    แกเป็นคนมองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ใช้ชีวิตบนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง เมื่อครั้งเรายังเด็กๆ เราไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าเรามีอาอี๊คนนี้ เพราะว่าแกแต่งงานไปอยู่ญี่ปุ่นกับสามี ตั้งแต่เรายังไม่เกิด แต่เราก็จะได้ขนม หรือของฝากที่มาจากญี่ปุ่นบ่อยครั้ง บ่อยจนขนาดที่ว่า กลายเป็นเด็กติดช็อคโกแลต เบื่อสาหร่าย แล้วก็ชอบขนมเซมเบ้มากๆ (ขนมข้าวพองของญี่ปุ่น) ตอนยังเด็กก็นึกว่าอาอี๊อีกสองคนของเราไปเที่ยวญี่ปุ่นบ่อย เราเพิ่งจะมารู้ว่าเรามีอาอี๊อีกคน ก็ตอนที่เราสังเกตเห็นกล่องใบใหญ่ๆ ในห้องเก็บของที่บ้าน อาม่าเยอะมาก ข้างกล่องบ่งบอกชื่อผู้ส่งว่า Wiyaporn Ichiwatari ด้วยความสงสัยซึ่งตอนนั้นเราเองอยู่มัธยมต้น เลยถามอาอี๊ว่าทำไมบ้านเรามีกล่องที่ส่งมาจากญี่ปุ่นโดยคนชื่อนี้เยอะจัง เพื่อนอี๊ที่อยู่ญี่ปุ่นส่งมาเหรอ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการที่เราได้รู้จักน้องสาวแม่อีกคนหนึ่งที่อยู่ไกลถึงญี่ปุ่น (ซึ่งจริงๆ ตอนนี้เราสามารถเดินทางไปกันได้ง่ายๆ มันก็ดูจะไม่ไกลเท่าไหร่นัก)

    และหลังจากนั้นเราก็ได้ติดต่ออาอี๊คนนี้ เรื่อยมา แกก็กลับมาเยี่ยมอาม่าบ้างเกือบทุกปี ซึ่งหลานๆ ก็จะมารวมตัวกัน เพราะว่าอี๊ปุ๊ย แกเป็นคนตลก มีอารมณ์ขัน เข้ากับคนง่าย และชอบแซว เวลาไปร้านอาหาร แกจะชอบแซวพนักงานตลอดเวลา ทำให้หลานๆ ขำหัวทิ่มหัวขมำไปตามๆ กัน
    แกเป็นคนสอนให้เรารู้ด้านมืดของชีวิต การกินเหล้า การไปเที่ยว เพราะแกกลัวว่าหลานๆ จะไม่ทันคนถ้าหากว่า พ่อแม่ยังเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน (พ่อเราเป็นตำรวจ ไม่ให้ลูกกินเหล้า ไม่ให้ลูกไปเที่ยวกลางคืน ซึ่งอี๊พาพวกเราไปคร้า)

    และในช่วงเดือนนี้ของเมื่อปีที่แล้ว เราก็ได้รับข่าวร้ายจากแม่ ว่าอี๊ปุ๊ยป่วยเป็นมะเร็งตับ โดยไม่ทันได้คิดและไม่ทันตั้งตัว จากอี๊ปุ้ยที่เคยอวบอ้วน กลายเป็นผอมซีด ตัวเหลือง ภาพที่แม่ส่งมาเป็นภาพที่แกนั่งอยู่บนเตียงคนป่วยในโรงพยาบาลญี่ปุ่น มีสายน้ำเกลือ และมองมายังกล้อง ใช่ค่ะ...แกเซลฟี่รูปนี้ด้วยตัวแกเอง และส่งมาให้แม่ดู ด้วยความที่เป็นพี่น้องที่เริ่มคุยกันบ่อย หลังจากที่ต่างฝ่าย ต่างก็มีไลน์เป็นของตัวเอง

    เราคอยไลน์ถามอาการของอี๊เป็นระยะๆ (เหมือนเช่นข้อความที่อยู่ด้านบน) และวางแผนกับพี่สาว น้องสาวไว้ว่า เราจะไปญี่ปุ่นเพื่อไปเยี่ยมให้กำลังอี๊ปุ๊ยกัน 

    ยังไม่ทันจะได้เลือกวันไป ในวันที่ 4 เมษายน 2017 หลังจากที่เราได้ประชุมงานเสร็จ พี่ชายก็มาหาเราแล้วก็บอกข่าวร้ายให้เราฟัง วันนั้นเหมือนโลกทั้งโลกมันหยุดหมุน น้ำตาร่วงลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย อี๊เป็นเหมือนแม่คนที่สองของเรา เพราะถึงแม้ว่าเราจะไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน จดหมายก็ไม่ค่อยเขียนไปหาแกด้วยซ้ำ ซึ่งแกก็จะชอบบ่นอยู่บ่อยๆ แต่แกเป็นคนสนับสนุนให้เราได้ไปเรียนที่ต่างประเทศตามที่เราอยากไป เรายังไม่ทันได้มีโอกาสตอบแทนบุญคุณแกเลยด้วยซ้ำ

    ข้อความนี้เป็นข้อความสุดท้ายที่เราได้คุยกันผ่านตัวหนังสือ เป็นข้อความเตือนใจเราว่า อย่ายอมแพ้อะไรง่ายๆ ในชีวิต เพราะขนาดอี๊ปุ๊ยยังไม่ยอมแพ้กับโชคชะตาเลย แล้วเราจะยอมอะไรง่ายๆ ได้ยังไง

    ขอบคุณเทคโนโลยี ที่ทำให้เราได้คุยกัน ขอบคุณอี๊ปุ๊ยที่รักหลานๆ ทุกๆ คน ขอบคุณที่ให้คำแนะนำและสั่งสอนเราในการใช้ชีวิต และการเอาตัวรอดในโลกปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ขอบคุณที่เราได้มาเป็นน้าหลานกัน

    ปล. ขอบคุณเครดิตภาพวอลเปเปอร์ด้านหลังของ แชมป์ ทีปกรค่ะ 
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in