เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
DeviousVanilla * twilight
Part II
  • 4

     

                  “ข้ากำลังถักผมเปีย”

     

                  สีหน้าของเขาแปลกใจ เมื่อพบว่ารอบตัวข้ามีเปียผมรายล้อมอยู่เหมือนกองเชือก ข้าอดยิ้มขันไม่ได้เมื่อเขาจับมันขึ้นมาหนึ่งหรือสองขด จากนั้นหรี่ตามองหน้าข้า “เบื่อจะหวีสางแล้วหรือยังไง อย่างนี้ผมเจ้าคงเหม็นสาบ”

                 

                  “ท่านไม่ได้มาอยู่ใกล้ข้าจนจะได้กลิ่นนี่”

     

                  ท่านจ้าวแสยะยิ้มเขยิบตัวเข้ามาใกล้ ลมหายใจรดแตะต้นคอ ข้าเผลอขยับตัวหนีแต่ก็ติดกองเส้นผมของตัวเอง ปอยผมในมือที่กำลังถักตกลงบนตัก ข้าจนมุมอย่างสิ้นเชิง ได้แต่เสตาขึ้นมองเพดานหินที่ชื้นเพราะฝนฤดูใบไม้ผลิ แทนที่จะมองหน้าเขา

     

                  “ข้าชักเริ่มคิดอยากให้เจ้าตัดผม” เขาย่นจมูก ยังวนเวียนอยู่แถวต้นคอ ข้าคิดว่าเขาคงได้ยินเสียงหัวใจของข้าที่กำลังเต้นถี่ยิบเหมือนกับกลอง ได้แต่ภาวนาให้เขาเอาตัวออกไปห่าง ๆ เสียที “ข้าเกลียดกลิ่นนี้”

     

                  “ข้าชินกับมันแล้ว และท่านก็เป็นคนบอกข้าว่าห้ามตัด”  

     

                  “แต่ข้ามีสิทธิสั่ง” ท่านจ้าวว่า กอดอกอย่างหยิ่งผยอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าแสนจะคุ้นตา “เอาเถอะ ปล่อยให้มันหนักหัวเจ้าไปอีกสักพักก็คงดี”

                 

                  บรรยากาศระหว่างข้ากับเขาเริ่มกลับมาเหมือนวันก่อนที่ข้าจะแอบฟังคำด่าว่า หนังสือในห้องเล็กจิ๋วของข้ากองพะเนินสูง แออัดแบ่งพื้นที่กับกองผมของข้า ข้ามีอิสระมากขึ้น เพียงแต่ต้องกลับขึ้นมานอนที่เดิม ครั้งหนึ่งเมื่อหลายฤดูที่แล้ว เพื่อนของเขายังอุตส่าห์หาทางพาข้าหนีเข้าไปเที่ยวในเมือง ใช้เวทมนตร์จัดการกับผมของข้าให้ไม่เกะกะ วันนั้นข้าได้เห็นอะไรผ่านตามากมาย ตื่นเต้นไปกับทุกอย่าง แม้แต่ขนมอบใหม่ ๆ ข้าก็ยังสงสัยว่ามันหอมขนาดนั้นได้อย่างไร ข้าว่าคนพาไปคงได้แต่นึกขันในใจ

     

                  พวกเราได้แต่หัวเราะตอนกลับมาเห็นหน้าตาบูดบึ้งของท่านจ้าว เพื่อนพ่อมดของเขายุให้ข้าเอาคืนเสียบ้าง ข้าแกล้งเรียกเขาว่าพ่อจ๋าอย่างตอนไม่รู้ประสา แล้วโดนจับเอวยกตัวขึ้นจนขาลอยเหมือนเด็กเล็ก แล้วเขาก็ทำปั่นปึ่งกับข้าไปหลายวัน

     

                  สิ่งที่ติดตาข้าไม่ลืมในวันนั้นคือภาพของครอบครัวแม่กับเด็กเล็กที่หัวเราะร่า ข้าสงสัยว่าหน้าตาของแม่ข้าเป็นอย่างไร พ่อข้ามีความสุขไหม สิ่งนั้นติดอยู่ในใจของข้าเสมอมา

     

                  เขาอยากให้ข้าตัดผม

     

                  คืนวันหนึ่งหลังจากที่ข้ากะความยาวผมเปียและพบว่ามันจะยาวพอที่จะไม่ทำให้ข้าร่วงลงไปตาย วันที่เขาไม่อยู่ ข้าเอาแจกันมาทุบบานกระจกสีจนละเอียด เลือกเศษที่ใหญ่ที่สุดมาตัดผมเปีย มันบาดมือข้า ความเจ็บที่ไม่รู้สึกมานานทำให้ระลึกได้ว่า ตั้งแต่ครั้งนั้นเขาก็ไม่เคยทำให้ข้าเจ็บอีกเลย ข้ามัดปลายเชือกเส้นผมไว้ด้วยผมอีกกำหนึ่ง จากนั้นผูกเงื่อนไว้กับเสาเตียง ลองออกแรงดึงว่ามันจะไม่ขาด

     

                  ข้าหลับตา ขณะมุดลอดบานกระจกออกไป อดรู้สึกโชคดีไม่ได้ที่ตัวแคระอย่างที่ท่านจ้าวเคยว่า ความระลึกถึงวาบขึ้นในอก และข้าก็ตัดใจปล่อยมันไปทั้งที่ยังรู้สึกขื่นตอนค่อย ๆ ทิ้งตัวลงไป

     

                  ข้าตกหลุมรักเขา อย่างที่ครั้งหนึ่งในนิทานเคยมีมนุษย์ตกหลุมรักอสูร

     

    5

     

                  ข้ากำลังวิ่งหนี

     

                  กลิ่นควันไฟคลุ้งทั่วป่าไม้สีเขียว ขาของข้าล้าเหลือเกิน แต่ก็ต้องวิ่งต่อเพื่อชีวิตของตัวเอง เสียงฝีเท้าของม้าเสียงของทหารดังเซ็งแซ่ และพวกเขากำลังจะตามมาทัน

     

                  คนพวกนั้นเรียกข้าว่านางแม่มด ตะโกนโห่ร้องจะเอาชัย

     

                  ตอนนั้นข้ากำลังนอนหลับคุดคู้อยู่ใต้ร่มไม้ มีนายทหารคนหนึ่งมาเจอข้าในชุดคลุมหน้าตาพิลึก เขาเผลอเตะจอกน้ำของข้า มันเอียงกะเทเร่แล้วปล่อยน้ำออกมาเหมือนลำธารสายเล็ก ๆ ชายคนนั้นร้องตะโกนราวกับกลัวข้าจะทำร้าย ทั้งที่สิ่งที่เขาคิดไม่ใช่ความปรารถนาของข้า

     

                  ในทีสุดข้าก็แพ้กำลังของตัวเอง วิ่งสะดุดรากไม้แล้วข้อเท้าแพลงอยู่ตรงนั้น มือหนา ๆ สองคู่บีบข้อมือของข้าเหมือนคีมเหล็ก สติของข้าจวนจะหาย พวกมนุษย์เหมือนกันทำกับข้าราวกับไม่ใช่พวกเดียวกัน

     

                  “พวกพ่อมดไม่ใช่คนใจร้าย” ข้าตะโกนขณะที่พวกทหารจับข้าโยนใส่กรง ข้าซุกตัวอยู่มุมหนึ่งเหมือนสัตว์ตัวเล็ก ๆ หลบน้ำลายที่ถ่มใส่ ประตูกระแทกปิด ข้าพยายามจะไม่สะอื้น

     

                  “ก็เพราะแกเป็นพวกเดียวกับมัน นังแม่มด”  

     

                  ข้าเสียใจไม่ได้เสียใจที่ว่าตนมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ทว่าเสียใจที่ข้าไม่ได้เขียนถึงเขามากกว่าคำว่าขอโทษที่จากมา ข้ายื่นมือออกไปจะคว้าเอาจอกของข้า ทหารท่าทางขึงขังที่คนอื่นทำท่าเคารพนบนอบเรียกเขาว่าท่านนายกองมองข้าด้วยสายตาเกลียดชัง

     

                  “ท่านคงไม่เชื่อแต่ข้าเป็นเจ้าหญิง”

     

                  พวกนั้นทำเสียงโห่ฮา บ้างปาของใส่ข้า ตะคอกถามหามงกุฎที่หายไป ข้าเริ่มกลั้นน้ำตาไม่อยู่ มันไหลออกมาเหมือนทำนบแตก “พวกท่านดู...”  ข้าแบฝ่ามือเขรอะดินผอมแห้งของตนเองออก ข้าคิดว่าข้อมือข้าข้างนึงคงหักไปแล้ว  “ข้าจะทำเรื่องเลวร้ายอะไรได้”

     

                  เสียงกระซิบกระซาบบอกว่าไม่มีใครเชื่อข้าแม้สักคน บ้างตะโกนว่าอย่าให้นางได้จอกคืน ท่านนายกองมองดูข้าอย่างดูแคลน “ข้ามองดูไอ้พ่อมดซีดเซียวดูทำอะไรไม่ได้ลักเอาตัวพี่สาวของราชาไปตั้งแต่ท่านหญิงน้อยยังไม่ได้เดินเตาะแตะ ไฉนเลยผู้หญิงตัวเล็กอย่างเจ้าจะทำอะไรไม่ได้”  

                 

                  เขาโยนจอกน้ำที่ข้าน้ำติดตัวมาเข้ากองไฟ และบอกว่าต่อไปสิ่งที่ลุกไหม้จะเป็นข้า ขอแค่ราชาเป็นคนตัดสิน

     

                  ในหัวข้ามีแต่คำว่าถูกลักตัวเอามา... เขาบอกว่าแลกตัวข้าไม่ใช่หรือ

                 

                  พวกนั้นเดินตัดป่ากันอยู่สามวัน รอบตัวข้าก็กลายเป็นทุ่งโล่ง ๆ เห็นเมืองอยู่ลิบ ๆ พวกทหารไม่ได้ให้เกียรติข้า มันเป็นแค่เรื่องสนุกที่ทหารผู้ได้เวรยามในการให้อาหารข้าจะแสร้งคำนับข้า ตามด้วยคำด่าหยาบคาย

     

                  ในแต่ละวันทุกครั้งยามที่ข้าจะหลับ ข้าคิดว่าตัวเองอาจจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีก




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in