วันหนึ่งมีพ่อมดผู้หนึ่งอาจหาญประกาศ ว่าเป็นคนเดียวที่จะรักษาราชินีที่ป่วยไข้ของอาณาจักรแห่งหนึ่งได้ เจ้าผู้ครองเมืองเดือดเนื้อร้อนใจด้วยยังไม่มีบุตรแลธิดาไว้เป็นทายาทให้บัลลังก์ ไม่ว่าญาติของพระองค์ หรือแม้ทหารที่สาบานตนจะถวายชีวิตให้ก็ไม่อาจไว้ใจได้ เสียงกระซิบกระซาบวางแผนลับหลังถูกปิดบังไว้ด้วยคำว่าภักดี และแม้ว่ามันจะแผ่วเบาเพียงใด ชาวบ้านนอกรั้วที่อยู่ใกล้หรือไกลออกไปก็ยังรู้ได้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่ราชาจะหลับตาลง
“ด้วยข้อแลกเปลี่ยนที่สมเหตุสมผล ข้าจะสร้างสิ่งที่มนุษย์อย่างพวกเจ้าเรียกว่าปาฏิหาริย์...”
พ่อมดขอค่าตอบแทนเป็นบุตรสาวคนแรกหนึ่งชีวิตต่อหนึ่งชีวิต เขาให้สัญญาว่าบัลลังก์จะยังมีทายาท และหากว่าไม่ยินยอมแล้วไซร้ ผู้มีอำนาจวิเศษก็พร้อมจะหมุนเข็มนาฬิกาให้ทวนกลับ พรวิเศษที่รักษาจะแปรเปลี่ยนเป็นคำสาปแช่งให้ไม่มีสิ่งใดในแผ่นดินเจริญงอกงาม
หลังต้องทุกข์ตรมขื่นขม สองปีต่อมาราชากำลังจะได้ทายาท อำนาจที่สั่นคลอนกำลังจะมั่นคงแผ่นดินจะไม่ต้องแดงฉานด้วยเลือดเพราะการแก่งแย่งอำนาจ พระองค์หวังไว้สุดหัวใจว่าบุตรที่จะเกิดจะเป็นชาย
สวรรค์เล่นตลกแสนร้ายกาจ
ด้วยน้ำตาและความทุกข์โศก ต้องเลือกระหว่างแผ่นดินกับเลือดเนื้อเชื้อไข และสิ่งแรกนั้นสำคัญเหนือกว่าด้วยภาระหน้าที่ ด้วยเหตุนั้นเด็กหญิงตัวน้อยจึงถูกพาตัวไปทั้งยังไร้เดียงสา
ข้ารู้ว่าชายตรงหน้าไม่ใช่บิดา
ใช่ว่าข้าจะเป็นเด็กหัวดีตั้งแต่ตอนยังเดินเตาะแตะ แต่เมื่อตอนที่ข้าเริ่มพูดคำแรกได้ เรียกเขาว่า ‘พ่อจ๋า’ น้ำเสียงที่ได้รับจากชายหนุ่มผมสีทองตรงหน้ากลับเจือแววหงุดหงิดบอกข้าว่า ‘มันช่างน่ารำคาญ’ และอย่าได้เรียกเขาว่าพ่ออีกต่อไป
ตั้งแต่นั้นมาข้าไม่รู้ว่าจะเรียกเขาด้วยสรรพนามอันใด ชื่อของเขานั้นข้าก็ไม่รู้ เพราะอีกฝ่ายไม่เคยแม้ปริปากบอก แต่เขาดูจะพอใจตอนที่ข้าขานเรียกด้วยคำว่า ‘ท่านจ้าว’
ข้ารู้ว่าเขาเป็นผู้วิเศษ
เพราะวันหนึ่ง...มิตรสหายเพียงคนเดียวของเขามาเยือนถึงถิ่น พ่อมดผมน้ำตาลมักนำของติดไม้ติดมือมาด้วย ข้าชอบเพื่อนของเขาคนนี้นัก ตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กเล็กไม่รู้ประสา ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ถูกชะตา อาจเป็นเพราะท่านคนนี้ใจดี บางครั้งข้าได้เสื้อผ้าสีสวยและขนมหวาน มิหนำซ้ำยังเอ็นดูข้า และยอมให้ข้าเรียกว่า ‘ท่านพี่’ และเมื่อเป็นเช่นนั้นท่านจ้าวมักบ่นกระปอดกระแปดหาว่าเขาทำให้ข้าเสียผู้เสียคน
วันนั้นเพื่อนของเขานำของกำนัลมา ของข้าเป็นดอกไม้สีเหลืองสดสวย ส่วนของท่านจ้าวเป็นสุราที่หมักจากข้าว ทันทีที่มันออกฤทธิ์ก็ราวกับเขากลืนน้ำยากล่าวความจริง ข้าได้รู้ว่ามงกุฎอันน้อยประดับทับทิมที่ได้ติดตัวตอนเกิดถูกขายเข้าตลาดมืดไปให้ตัวข้าไร้หลักฐานในฐานะทายาท และได้ยินเสียงเหยียดหยันว่าข้าเป็นเจ้าหญิงประหลาด ตัวเล็กเหมือนคนแคระ หน้าตาไม่สะสวยอย่างเจ้าหญิงดินแดนอื่น
ข้ารู้ว่าข้าจะไม่ได้ยินเรื่องที่ทำให้เสียใจ ถ้าทำตามคำสั่งหมกตัวอยู่แต่ในห้องของตน แต่ข้าก็ไม่ได้ทำและได้ยินสิ่งที่ท่านจ้าวพูดเสียหมดสิ้น ข้าร้องไห้อย่างที่ไม่เคยร้อง รู้ซึ้งถึงไส้ในของคำว่าเสียใจ ก่อนที่ใครจะทันรู้ตัว ข้ารีบหนีขึ้นไปเก็บเนื้อเก็บตัวอย่างที่ถูกบอกให้ทำ และเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนหน้าประตู ข้าคว้าเอาแจกันปาใส่มันโดยไม่สนใจว่าใครจะเป็นคนเคาะ กลีบดอกไม้และเศษกระเบื้องเคลือบแตกกระจายเกลื่อนเหมือนใจข้า
ท่านจ้าวรู้ว่าข้าโกรธเขาแต่ก็ไม่ได้สนอกสนใจอะไร ข้าไม่ได้ไปวางถ้วยชาไว้หน้าห้องที่ถูกห้ามให้เข้า แต่บางครั้งข้าก็แอบเข้าไปเมื่อเห็นว่าอากาศหนาวเกินไป และใช้ผ้าขนสัตว์คลุมไหล่ให้แล้วย่องออกมา มันก็ไม่ได้แปลกอะไร ในเมื่อสิบหกปีก่อน ท่านจ้าวก็ไม่ได้มีข้าอยู่ด้วยและเขาก็อยู่ได้
ข้าดื่มและกินอาหารทำให้ตัวเองมีแรงพอที่จะหนี ข้าไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหนและรู้ว่ามันช่างโง่งมที่จะออกไปโดยที่จะไม่ให้เขารู้ และเดินอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ แต่บางทีเขาคงยินดี หากข้าจะออกไปหาความตายด้วยตัวเอง หลังจากทนเลี้ยงดูลูกมนุษย์ที่ไร้ประโยชน์อย่างข้ามาได้หลายปี
ห่อผ้าไหมถูกซุกไว้ใต้เตียงข้า ข้างในเป็นขนมปังแห้ง ๆ อย่างที่ข้าแอบเก็บลงจากโต๊ะอาหารที่ไร้การสนทนาพูดคุยไว้ในจีบกระโปรง ข้าหวังว่าอาจมีแหล่งน้ำอยู่บนหนทางข้างหน้าให้ได้ใช้ดื่มกิน พอกับที่หวังให้วันที่ท่านจ้าวออกไปข้างนอกมาถึงเร็วขึ้นอีก
ท่านจ้าวรู้ว่าข้าจะทำอะไรอย่างที่เขารู้เสมอ และรู้ว่าจะทำอย่างไรให้ข้าเจ็บปวดสุด โดยพรากความหวังที่จะคิดหนีของข้าไปในวินาทีสุดท้ายก่อนที่เขาจะออกไปข้างนอก ข้าได้แต่ร้องไห้ต่อว่าเขาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ทำให้เขาสะดุ้งสะเทือนอะไร ขณะที่ลากแขนข้าขึ้นไปขังไว้ในห้องบนหอคอยสูงข้างหลังปราสาทหลังเล็กที่ข้าเคยชะเง้อออกไปมองทางหน้าต่างด้วยความหวาดกลัว
“ให้ข้าตายไปเถอะ”
“ข้าเปลืองแรงไปโขตอนที่ขอแลกเจ้ามา แถมยังอดทนรอเสียสองปี ไหนจะเวลาที่ทนเลี้ยงคนแคระอย่างเจ้ามาอีก” พ่อมดว่าแรงที่บีบข้อมือข้าแรงขึ้นอีก ข้าอ่านแววในดวงตาสีเข้มเหมือนมหาสมุทรไม่ออก แต่มันดูแปลกไป “คนอย่างเจ้าคิดจะกลับไปเป็นเจ้าหญิงหรือ ชีวิตของเจ้าเป็นของข้า และข้าจะเป็นคนตัดสิน เจ้าจะตายก็ตอนที่ข้าบอกให้เจ้าตาย”
เขาจับข้าโยนเหมือนกระสอบมันฝรั่งเข้าไปในห้องแคบ ๆ ที่มีเพียงเตียงหลังหนึ่งและตู้เสื้อผ้า หน้าตาบานเล็กกรุกระจกสีมีช่องพอให้ลมเข้า ไม่มีหนังสือสักเล่มหรือสิ่งของอื่นใดที่ข้าชอบ ห่อผ้าไหมที่ข้าแอบไว้ถูกโยนตามเข้ามา มันกลิ้งขลุก ๆ มาหยุดที่ปลายเท้าข้า พร้อมกับเสียงประชดประชัน “เสบียงของเจ้าไม่ใช่หรือไง กินเสียให้พอ”
ในครั้งนั้น ความเมตตาสุดท้ายของเขาคือจอกใส่น้ำใบหนึ่งที่น้ำจะเติมเต็มไม่มีวันพร่อง
ข้าใช้ชีวิตอยู่บนนั้นอยู่หลายปี ถูกสั่งไม่ให้ตัดผม เขาว่าข้าจะได้มีเรื่องให้หมกมุ่นนอกเสียจากหาทางให้ตัวเองตายด้วยการหวีสางผมของตนเองไปเรื่อย ๆ ทีละปมสองปม ข้าพบว่าเมื่อผมของข้ายิ่งยาวเท่าไหร่ มันยิ่งยุ่งเหยิงเท่านั้น ข้าลืมไปแล้วว่าตนเองอายุเท่าไหร่ ได้แต่ทนใช้ชีวิตอยู่ และข้าไม่เคยได้พบเจอใครนอกจากเขาอีกเลย
พ่อมดคนนั้นกลายเป็นเจ้าชีวิตของข้าอย่างแท้จริง
ทุกครั้งที่ท่านจ้าวเปิดประตูเอาของมาให้มีเพียงเสื้อผ้ากับอาหาร เขาใช่ว่าจะร้ายกาจโดยสิ้นเชิงเสียทีเดียว เขาปล่อยข้าให้ลงไปล้างเนื้อล้างตัววันละครั้ง ออกจากห้องอุดอู้นั่นบ้าง แต่ไม่เคยให้คลาดสายตา ช่างพิลึกที่เป็นทั้งข้าและเขาที่ผูกตัวตนของกันและกันไม่ให้คลาดสายตา ท่านจ้าวไม่เคยไปไหนอีกถ้าไม่จำเป็น
เขาให้กระดาษปึกหนึ่งกับปากกาและหมึกไว้ให้ข้าพอได้ขีดเขียน โดยบอกว่าข้าจะได้ไม่โง่เขลาเบาปัญญาไปมากกว่าที่เป็นอยู่ มีวันหนึ่งที่เขาเอาหนังสือมาให้ข้า บอกว่าเพื่อนพ่อมดผมน้ำตาลของเขาฝากมาให้ มันไม่ใช่ข้ออ้างเพราะเขาไม่เคยให้ข้าอ่านเรื่องเพ้อฝันเกี่ยวกับเจ้าชายและเจ้าหญิง ครั้งนี้เขาคงยอมให้มันเป็นความสุขเดียวในชีวิตข้า แม้จะเพียงเล่มเดียวแต่ข้าก็อ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนขึ้นใจ ตัวเอกไม่ได้เป็นทั้งเจ้าหญิงและเจ้าชาย มันเป็นเรื่องของโฉมงามกับอสูรผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยโหดร้ายที่จบอย่างมีความสุข
มันเป็นรอยกดของหัวปากกาจาง ๆ ที่ข้าเพิ่งสังเกตเห็นบนหน้าหนังสือบทหนึ่ง ข้าใช้ถ่านดินสอฝนมันจนฝ่ามือดำเป็นปื้นไม่ใช่ลายมือของท่านจ้าวที่ข้าจำได้ และพบข้อความที่บอกให้ข้าอดทน อธิบายว่าในท้ายที่สุดแล้วตัวตนแสนร้ายนั้นมีความดีงามซ่อนอยู่ในหัวใจ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in