วันนี้ข้าคงฝัน แต่มันเป็นฝันที่ดีเหลือเกิน หรือไม่ข้าก็ได้ตายไปแล้ว
เหมือนข้าได้ไปอยู่กับเขา ทั้งตัวแลมือของข้าไม่เจ็บปวดอีกแล้ว ข้าพึมพำขอโทษ เสียดายที่ท่านจ้าวของข้าคงไม่ได้ยิน น้ำเสียงคุ้นเคยเจือแววหงุดหงิดบอกให้ข้าเงียบ “ข้าไม่เคยสอนเจ้าให้โตมาหัวดื้อรั้น”
ข้าทิ้งตัวพิงแผ่นอก ยิ้มบาง ๆ หากนี่เป็นฝันของข้า ข้าก็จะทำให้มันเป็นฝันดี “ข้าตัดผมอย่างที่ท่านว่า ข้าไม่ได้ดื้อ”
ข้าไม่สนว่าตนเองจะอยู่ที่ไหน แต่หากว่าอยู่กับเขาแล้ว ข้ามั่นใจว่าจะปลอดภัย
“ต่อปากต่อคำเก่งนักนะ” ปลายนิ้วของเขาล้อกับเส้นผม ลมหายใจเป่ารดข้างแก้มก่อนจะประทับจูบลงมาอีกหน พ่อมดกระซิบแนบหู เบาราวกับไม่อยากให้ได้ยิน “อลัน...แต่ข้าก็ชอบ ไอ้คำว่าท่านจ้าวของเจ้าน่ะ ไปเอามาจากไหน แต่ข้าว่ามันสมตัวข้าดี”
ข้ากะพริบตา ชื่อของเขาคุ้นหูอย่างง่ายดาย ข้าจูบเขาตอบก่อนกระซิบกลั้วหัวเราะ อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ถ้าท่านบอกข้า ข้าคงไม่เคยเรียกท่านว่าพ่อจ๋า”
“ข้าไม่อยากเป็นพ่อเจ้า” อีกฝ่ายว่าเสียงเยาะ สัมผัสของเขาชวนมึนเมาเหมือนสุราที่ไม่เคยให้ข้าแตะ ข้าผละออกมาตั้งใจจะจดจ่อกับการสนทนา ทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำ “ไม่ตั้งแต่ที่ข้าพาเจ้าหญิงหน้าตาไม่สะสวยมา”
อลันพ่นลมออกทางจมูก บ่นว่าพวกมนุษย์ว่าชอบปั้นแต่งเรื่อง “ข้ารักษาแม่เจ้าแล้วขอตัวเจ้ามาอย่างนี้เรียกว่าแลก ไม่ใช่ลักพาตัวเอามา ข้าว่าถูกไหม”
“แล้วทำไมต้องเป็นข้า”
เขาตอบด้วยจูบอีกหน ตามด้วยคำตอบของคำถาม “ข้าเพียงแต่คิดว่าอยากได้อำนาจ ใช้เจ้าหญิงองค์แรกเป็นหุ่นเชิดเป็นแผนการที่ไม่เลว แต่ข้าเปลี่ยนใจแล้ว...เจ้ากลับไปดีไม่ดีพวกขุนนางหัวหมอจะได้จับเจ้าแต่งงานเพื่อเอื้อผลประโยชน์”
ข้าฟังคำปฏิเสธของเขาเอาแต่ใจของเขา และรู้ว่าตนจะต้องยอมแต่โดยดี “ไม่หรอกยายเด็กน้อย วันนี้...คืนนี้เจ้าจะมีแค่ข้า”
ในตอนเช้าผู้วิเศษกลับมามีท่าทีหยิ่งยโสที่ข้าคุ้นเคย เสียแต่ว่าเขาหนุนอยู่บนตักข้าในห้องเขา ในบ้านที่เป็นที่เติบโตของข้า ตอนที่ข้าขอให้เขาเล่าเรื่องราว เขาว่าตามข้ามาทันได้สองวัน เห็นพวกนั้นแล้วนึกอยากหักกระดูกแขนและขา แต่ว่ามันคงดีกว่าที่เห็นพวกนั้นก้มหัวให้คนที่เคยถ่มน้ำลายใส่อย่างข้าอย่างอับอายต่อหน้าราชา แทนที่ข้าซึ่งถูกกล่าวหาและจะต้องไปอยู่ในกองเพลิง
ข้าถามว่าจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร เขาตอบเพียงว่าตนเป็นพ่อมดแสนเก่งกล้า บันดาลได้ทุกสิ่ง และบ่นว่ามงกุฎของข้ามีราคาแสนแพงเมื่อต้องไปต่อรองซื้อคืน
พวกมนุษย์เกลียดชังพ่อมดและแม่มดผู้มีเวท ในทุกดินแดนเล่าขานตามกันว่าคนต่างเผ่าพันธุ์กระหายอำนาจจนไม่ละอายที่จะทำสิ่งผิดบาปอันใด จึงไม่มีใครปรารถนาให้ฝ่าเท้าของผู้ใช้เวทมนตร์ย่างเหยียบเข้าไปในแผ่นดินของตน
วันนี้พ่อมดผู้หนึ่งอาจหาญประกาศว่าเป็นคนเดียวที่จะพาเจ้าหญิงที่สูญหายกลับคืนอาณาจักรได้ เจ้าผู้ครองเมืองเดือดเนื้อร้อนใจด้วยยังไม่รู้ว่าเป็นความจริงแท้หรือไม่ ตอนนี้ญาติของพระองค์หรือแม้ทหารที่สาบานตนในรัชสมัยพระบิดาเลอะเลือนจำสิ่งใดไม่ค่อยได้ เสียงกระซิบกระซาบลามถึงขั้นพนันขันต่อว่าคนที่ผู้วิเศษอ้างเอ่ยจะใช่ฝาแฝดของราชาหรือไม่ และแม้ว่ามันจะแผ่วเบาเพียงใด ชาวบ้านนอกรั้วที่อยู่ใกล้หรือไกลออกไปก็ยังพูดกันหนาหู จะเป็นไปได้อย่างไรที่ราชาจะหลับตาลง
ราชามองหญิงสาวผมทองที่เดินขนาบกับชายร่างสูงผิวซีดท่าทางยโสอย่างพินิจพิจารณา บนศีรษะของนางประดับทับทิมแวววาวเหมือนกับพระมารดาและหญิงสาวในราชวงศ์ทุกคน เขาไม่สนใจพิจารณาว่ามันจะเป็นเครื่องประทับยศที่แท้หรือเทียม เพียงเห็นรอยยิ้มคล้ายคลึงกันเป็นประจักษ์หลักฐานบนใบหน้าเขาก็แน่ใจ
“แม่ให้ชื่อท่านพี่ไว้” เจ้าผู้ครองเมืองทำท่าอิหลักอิเหลื่อ เมื่อเห็นมือของทั้งคู่เกาะเกี่ยวกันแน่นหนา “แต่ไม่รู้ว่าเขาตั้งให้ว่าอะไร”
“รูบี้” จอมพ่อมดว่าหน้าตาย ไม่ได้บอกว่าทึกทักหาเอาง่าย ๆ จากอัญมณีประดับมงกุฎที่ติดตัวหญิงสาวมาตอนมารับตัว “นางอาศัยบ้านข้าอยู่หลายปี ไม่ทราบว่าราชาจะตอบแทนอย่างไร”
ราชามองแล้วถอนหายใจ ขี้เกียจต่อกรกับคำพูดเจ็บแสบของผู้วิเศษแสนร้าย “แล้วแต่ท่านพิจารณาเถิด ข้าติดหนี้บุญคุณท่านแล้วนี่”
“ห้ามนางแต่งงานกับใครข้าขอเท่านี้แหละ ได้หรือไม่ได้”
ท่านนายกองที่รู้สึกผิดบาปต่อการกระทำของตัวเองเงยหน้ามอง ปวดหัวขมับแทบแตก ไม่รู้ว่านั่นเรียกว่าลำเลิกบุญคุณได้อย่างไร ในเมื่อมีแต่การต่อรองแลกเปลี่ยนด้วยราคาที่ต้องจ่าย ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่พ่อมดจะเรียกร้องสิ่งใดจากอาณาจักรหนึ่งได้มากมายเพียงเท่านี้โดยใช้เวลาก่อการไม่ถึงขั้นร้อยปี
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in