Day 16 Hope
มันแปลกแปลกมากจริงๆ ที่วีดีโอนั้นเล่นได้ด้วยตัวเองอยู่ๆ เสียงคนหัวเราะอย่างมีความสุขก็ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบและแสงสลัวที่รอดส่องเข้ามาตามทางจากหลอดไฟของห้องนั่งเล่นมันดังขึ้นในช่วงจังหวะที่เขากำลังจะก้าวเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ทางด้านในของห้องนอน จะให้เขาไปสาบานที่ไหนก็ได้ว่าเขาไม่ได้เดินไปเฉียดกับโน๊ทบุ้คเครื่องนั้นของคุณจอห์นเลยสักนิดโต๊ะตัวนั้นก็อยู่กันคนละด้านกับทางเข้าห้องน้ำเลยด้วยซ้ำถ้าคุณจอห์นจะมีเหตุผลสักหน่อยตอนที่คุณจอห์นเดินเข้ามาต้องเห็นสิว่าตัวของเขายืนติดกับผนังกำแพงของอีกฝั่งที่ตรงข้ามกับเครื่องนั้นเลยด้วยระยะเพียงแค่นั้นเขาจะกระโดดมาอยู่ตรงนี้ทันได้ยังไงอีกอย่างแล้วมันจะมีเหตุผลอะไรให้เขาเดินไปเปิดคอมและกดเล่นวีดีโอตัวนั้นซึ่งมันถูกเก็บเอาไว้ส่วนไหนเขาเองก็ไม่รู้
‘ผี’ มันเป็นแค่เพียงคำเดียวที่แว้บขึ้นมาในหัวของเขา ตลอด 30 กว่าปีมานี้เขาไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้เลยสักนิดแต่วันนี้แค่เพียงวีดีโอนั้นเล่นขึ้นมาด้วยตัวเองพร้อมกับเสียงนั้น เสียงที่เขาจำได้ว่ามันคือเสียงที่คอยแต่จะไล่ให้เขาออกไป เขาก็พร้อมจะเปลี่ยนความเชื่อของเขาที่มีมาตลอดให้กลายเป็นว่าผีมีจริงแต่มันจะเป็นไปได้จริงๆ เหรอ? แล้วถ้าคุณเดฟคือจิตวิญญาณที่มาตามเขาจริงทำไมคุณเดฟต้องมาตามเขา? คุณเดฟต้องการอะไร?
ในสมองของเขามีแต่คำว่าทำไมและความไม่รู้มันก็คือตัวการที่ทำให้เขาเกิดความกังวลและด้วยความกังวลที่เกิดเขาจึงเดินกัดเล็บที่เป็นนิสัยส่วนตัวของเขามาตลอดทางจากที่พักของคุณจอห์นจนมาถึงที่พักของตัวเองเขาเกือบจะเดินเลยขึ้นห้องของตัวเองไปแล้วถ้าไม่ได้ผู้ดูแลสาวเรียกเอาไว้
“คุณทอมค่ะ คุณทอม ได้เจอกันสักที”
“ครับ มีอะไร..อ๋ออ ใช่วันนั้นผมลืมไปเลยที่บอกว่าจะลงมาขอโทษนะครับ ไม่ทราบคุณมีอะไรรึเปล่า?”
“เมื่อวันก่อนที่ดิฉันเรียกคุณเอาไว้ก็เพราะจะแจ้งว่ามีคนมาหาคุณค่ะ”
“มาหาผม?”
“ใช่ค่ะ เขาบอกว่าเขาเป็นเพื่อนที่มาจากต่างเมืองเขามานั่งรอคุณได้แป้ปเดียวแล้วก็ขอตัวไปซื้อของสดแต่ดิฉันไม่เห็นเขากลับเข้ามาก็เลยอยากมาถามว่า ไม่รู้ว่าคุณได้เจอเขารึยังคะ? กลัวจะคลาดกันนะคะ”
“เขาได้บอกไหมครับว่าเขาชื่ออะไร?”
“เปล่าค่ะ พอดีดิฉันเองก็ไม่ได้ถามเสียด้วย”
“งั้นคุณช่วยดูรูปนี้ได้ไหมครับ? แล้วบอกผมทีว่าใช่เขารึเปล่า”
“ค่ะ”
ความมั่นใจนี่ไม่รู้มาจากไหนว่าคนๆ นั้นต้องเป็นคนที่เขาคิดอาจจะเป็นเพราะชีวิตของเขาไม่ได้มีเพื่อนที่สนิทกับถึงจะมาเยี่ยมกันด้วยระยะทางที่ไกลแบบนี้ เขารีบหยิบมือถือออกมาเปิดรูปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายทั้งแปลกใจ ทั้งสับสน แต่ที่สำคัญเขา ‘หวัง’ ว่าให้คนๆ นั้นเป็นแฟรงค์เพราะในช่วงเวลาแบบนี้คงไม่มีใครที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างเขาและเข้าใจเขาได้ดีไปกว่าแฟรงค์อีกแล้ว
“คนนี้ใช่ไหมครับ?”
“ใช่เลยค่ะ ว่าแต่คุณทอมได้เจอเขารึยังคะ?”
“ยังครับ ผมไม่เจอเขาเลย เขามาตั้งแต่กี่โมงครับ แล้วเขาออกไปเมื่อไหร่?”
คำถามอีกมากมายถูกถามออกไปกับคนที่ดูแลตึก ยิ่งพอรู้แน่แล้วว่าคือแฟรงค์ความโมโหก็มีมากขึ้นโมโหทั้งตัวเองที่ไม่ยอมกลับลงมาทางด้านล่างในวันนั้น โมโหที่ทำไมคนดูแลตึกไม่เดินเข้ามาบอกหรืออย่างน้อยก็เดินขึ้นไปบอกเขาที่ห้องก็ได้
“เขาจะเป็นอะไรรึเปล่าคะ?”
คำพูดของผู้ดูแลตึกทำให้เขาใจสั่นไม่หรอกไม่น่าจะเป็นอะไรคงแค่ไม่เจอแล้วไปเที่ยวที่อื่นเพื่อฆ่าเวลามากกว่า แม้จะปลอบใจตัวเองแบบนั้นแต่เขาก็เอาแต่ยืนกดโทรศัพท์ลองโทรออกหาแฟรงค์แต่ไม่ว่าเขาจะกดอีกกี่รอบเสียงที่ได้ยินกลับมาก็เป็นเพียงแค่ให้ฝากข้อความเอาไว้
ท่าทางของเขาคงจะดูไม่เป็นมิตรเอามากๆ ผู้ดูแลตึกจึงดูกล้าๆ กลัวๆ ที่จะสะกิดแขนของเขา เขาเห็นท่าทางเหมือนมีอะไรจะพูดแบบนั้นของเธอเขาจึงได้ลดหูโทรศัพท์ลง
“เขากลับเมืองไปแล้วรึเปล่าคะ? ยังไงคุณลองติดต่อกับทางญาติของเขาอีกเมืองดีไหมคะ?”
‘ไม่มีทาง’ ทั้งไม่มีทางที่แฟรงค์จะกลับไปแฟรงค์ถ้าได้ตัดสินใจมาถึงที่นี่ คนอย่างแฟรงค์ถ้าตัดสินใจแล้วไม่มีวันที่จะหันหลังกลับไปโดยที่ไม่ได้พูดคุยกัน และก็ไม่มีทางที่จะติดต่อกับครอบครัวทางนั้นได้เลยเพราะแฟรงค์ตอนนี้ก็ไม่เหลือใครแล้วยกเว้นก็เพียงแต่ ‘พ่อของเขา’ เองเขากล่าวขอบคุณกับผู้ดูแลตึกแบบลวกๆ ก่อนที่จะรีบขึ้นไปที่ห้องของตัวเองแล้วโทรสายตรงหาพ่อของเขา
“ว่าไงทอมเป็นอย่างไรบ้างลูก?”
“พ่อครับ พ่อให้ที่อยู่ผมกับแฟรงค์เหรอครับ?”
“เปล่านะ ทำไมเหรอ?”
“แฟรงค์มาที่นี่ครับพ่อเขามาหาผม!!”
“เขาน่าจะไปบอกข่าวกับเรา”
“ข่าวอะไรครับ?”
“เรายังไม่ได้พูดกันเหรอ?”
“พ่อครับ”
“พ่อว่าเรื่องนี้ เราคุยกันเองดีกว่า ถ้าเขาตัดสินใจไปแล้วก็แสดงว่าเขาอยากพูดด้วยตัวเองลูกก็รู้จักเขาดี ว่าแต่มีปัญหาอะไรกันรึเปล่า? โอเคไหมลูก?”
“ผมไม่เจอกับเขาครับ พ่อครับ พ่อติดต่อเขาได้ไหม?”
“เดี๋ยวๆ หมายความว่ายังไงไม่เจอกันแต่เขาไปหาลูกรู้ได้ยังไง?”
“เรื่องมันยาวครับพ่อเอาไว้เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง ว่าแต่ก่อนหน้านี้พ่อติดต่อเขาได้บ้างไหมครับ? ผมโทรเข้ามือถือของเขาไม่มีคนรับสายเลย”
“พ่อไม่ได้คุยกับเขามาสองสามวันแล้วอีกอย่างต่อให้พ่อลองโทรไปตอนนี้เราคงมีเบอร์เดียวกันแบบนี้พ่อคิดว่าถ้าพ่อโทรไปก็คงไม่ต่าง”
“…”
“เอาอย่างนี้เดี๋ยวพ่อจะโทรไปหาที่ทำงานของแฟรงค์ให้แล้วจะลองถามดูว่ามีใครติดต่อเขาได้บ้างมั้ยในสองสามวันที่ผ่านมา แต่ต้องเป็นพรุ่งนี้เช้านะตอนนี้มันดึกมากแล้วคงไม่มีคนรับ”
“ผมเข้าใจครับพ่อขอบคุณมากครับ”
อีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าตอนเช้าจะมาถึงเขาไม่คิดว่าเขาจะสามารถนั่งติดห้องอยู่เฉยๆ ได้ถ้าทำแบบนั้นเขาต้องเป็นบ้าแน่ๆ เขาจึงอาบน้ำเพื่อให้ร่างกายของตัวเองสดชื่นกว่านี้ลดความเหนื่อยล้าจากการวิ่งแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมออกตามหาแฟรงค์ด้วยตัวเอง ผู้ดูแลตึกบอกกับเขาว่าแฟรงค์ออกไปซื้อของสดร้านที่ไปคงไม่ไกลจากนี้มากเท่าไหร่เขาเลยว่าจะลองไปเดินถามคนอื่นๆ ที่อยู่ระแวกนี้ดูว่ามีใครเห็นแฟรงค์บ้าง
“คุณทอมค่ะ ทางนี้ค่ะๆ”
แต่ไม่ทันที่เขาจะก้าวพ้นขอบประตูของลิฟท์โดยสารเสียงของผู้ดูแลตึกก็ตะโกนเรียกชื่อของเขาด้วยเสียงที่ค่อนข้างเป็นกังวลแถมยังมีตำรวจยืนอยู่ที่ทางเข้าหน้าตึกอีก
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณ?”
“คือว่า...”
“คุณรู้จักผู้ชายในรูปนี้ไหมครับ?”
หนึ่งในตำรวจที่ยืนอยู่ยื่นรูปถ่ายหน้าของใครบางคนออกมาแม้สภาพที่เห็นจะต่างจากเดิมที่เขาครั้งล่าสุดไปมาก แต่เขาก็แน่ใจว่าเป็นใครบางคนที่เขาจำได้ดีและเป็นใครบางคนที่เขากำลังตามหา
“ครับผมรู้จักเขาครับ”
“งั้นผมขอเชิญคุณไปกับเราหน่อยครับ”
“คุณพอจะบอกผมได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“ในรถแล้วกันครับ”
“ทางเราได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลว่าได้รับแอดมินคนไข้คนนี้จากการส่งตัวของคนขับรถแท๊กซี่รายนึงที่ขับรถเฉี่ยวคนไข้เข้าทางคนขับแจ้งเราว่าคนไข้ได้กระโดดลงมาที่หน้าถนนด้วยตัวเอง”
“แฟรงค์ไม่น่าจะทำแบบนั้น”
“ตอนนี้ทุกอย่างยังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนครับแต่หลักฐานที่เรามีก็คือกล้องหน้ารถของทางคนขับและดูเหมือนว่าเขาพูดความจริง”
“ครับ” แม้ว่าเขาจะตอบกลับด้วยความสงบแต่มือของเขาที่กำแน่นเข้าหากันอยู่นั้นกลับชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“เราไม่สามารถติดต่อคนที่เกี่ยวข้องกับคนไข้ได้เลยแต่ในกระเป๋ากางเกงทางเราพบที่อยู่ของคุณเราเลยมาลองตามหาคนดูแลตึกคุณยืนยันว่าเขารู้จักกับคุณ”
“ครับ”
ตอนที่ตำรวจนำเขามาส่งที่โรงพยาบาลเข่าของเขาแทบทรุดเมื่อมองเข้าไปในห้องคนไข้รวมแล้วเขาพบว่าแฟรงค์กำลังนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่ที่เตียงโดยที่มีผ้าพันแผลติดอยู่ตามตัวแต่ที่เขาสนใจมากกว่าผ้าพันแผลนั้นก็คือ
“ทำไมต้องมีที่ล็อคข้อมือเขากับเตียงด้วยครับ?” เขาหันไปถามกับนางพยาบาลที่พาเขามาที่ห้องพักคนไข้ห้องนี้พร้อมกับเอกเอกสารเกี่ยวกับการเข้ารับรักษามาให้เขากรอก
“คนไข้พยายามทำร้ายตัวเองตลอดเวลาค่ะ ไม่ก็มีอาการอยากทำร้ายคนอื่น ทางเราเลยต้องทำแบบนี้เพื่อความปลอดภัยของตัวคนไข้เอง”
“ผมขอเปลี่ยนเป็นห้องเดี่ยวได้ไหมครับ?”
“ได้ค่ะเดี๋ยวดิฉันจะเช็คให้”
โชคดีที่โรงพยาบาลนี่ยังมีห้องพักเดี่ยวสำหรับคนไข้เหลือ หลังจากที่ย้ายแฟรงค์เข้ามาเป็นที่เรียบร้อยเขาก็นั่งลงตรงข้างเตียงแล้วเริ่มพิจารณาร่างกายของคนที่เขารักที่ตอนนี้มันดูบอบช้ำมากกว่าครั้งล่าสุดที่เขาเจอมากขนาดไหนอีกครั้ง
เขาพยายามรวมรวบสมาธิแล้วคิดว่าตัวเองต้องทำอะไรเป็นอย่างแรกแล้วเขาก็พบว่าสิ่งที่เขาต้องทำคือโทรหาพ่อแต่ครั้งนี้ไม่ใช่ให้ไปตามหาใครแต่คงต้องรบกวนให้พ่อรายงานกับทางบริษัทของแฟรงค์ เขาเองก็ไม่รู้หรอกว่าแฟรงค์ลางานมาได้นานแค่ไหน? จะหมดวันลาแล้วรึยังแต่จากที่เขาเห็นเขาไม่คิดว่าแฟรงค์จะกลับไปได้ภายในวัน 2 วันนี้แน่นอน
“ว่าไงลูก?”
“พ่อครับ ผมเจอเขาแล้ว”
“ดีแล้ว พ่อเองก็เป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้น คุยกันดีๆ ละ”
“พ่อครับ พรุ่งนี้ พ่อโทรไปลางานให้แฟรงค์เพิ่มได้ไหมครับ?”
“นานแค่ไหนละลูก?”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับพ่อ เขาตอนนี้ อยู่ที่โรงพยาบาลครับ”
“ทอมลูก แฟรงค์เป็นอะไรมากไหม? อยากให้พ่อไปหาไหม?”
“ตอนนี้ผมว่าพวกเราโอเคครับ”
“แน่นะ”
“ครับพ่อ”
“งั้นถ้ามีอะให้พ่อช่วยโทรมาได้เลยนะ”
“ขอบคุณครับพ่อ....พ่อครับ”
“ว่าไงลูก?”
“ผมผิดรึเปล่าครับที่หนีเขามาแบบนี้ ถ้าผมไม่เป็นคนขี้ขลาดหนีปัญหาแฟรงค์คงไม่เจ็บตัวแบบนี้ใช่ไหมครับ? ถ้าผมยอมฟังเขายอมอยู่ด้วยกันพูดคุยกันมันจะไม่เป็นแบบนี้ใช่ไหมครับ?”
“ทอม พ่อจะไม่บอกนะว่าใครผิดใครถูกในเรื่องนี้พ่อบอกได้แค่ว่าอดีตคือสิ่งที่เรากลับไปแก้ไขไม่ได้เพราะฉะนั้นการที่ลูกเอาแต่คิดว่า ‘ถ้าตอนนั้นไม่’ สำหรับพ่อมันไม่ช่วยอะไร”
“...”
“สิ่งที่ลูกต้องมีตอนนี้คือ ‘ความหวัง’ หวังที่ให้เขากลับมาพ่อเชื่อว่าความหวังคือสิ่งที่จะให้เราผ่านวันนี้ไปได้ด้วยความคิดด้านบวกและความคิดด้านบวกมันก็จะเป็นแรงใจของทั้งลูกและแฟรงค์ถ้าลูกจิตใจแข็งแรงลูกก็จะพร้อมดูแลเขาจริงไหม?”
“ครับพ่อ”
เขาวางสายจากพ่อไปแล้วและตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เขาจะได้ดูแลคนตรงหน้าของเขาแบบที่พ่อได้บอกเอาไว้ ใช่เขาต้องมี ‘ความหวัง’ เพราะตอนนี้เขาเองก็ ‘ปรารถนา’ ที่จะฟังในสิ่งที่แฟรงค์เดินทางเพื่ออยากมาบอกเขาเหลือเกิน
สิ่งที่เขาสังเกตุเห็นตั้งแต่แรกคือแฟรงค์จะนอนตัวกระตุกอยู่แทบตลอดเวลา แม้มันจะเป็นการกระตุกเพียงเล็กน้อยแต่เขาก็สังเกตุเห็นมันได้ ดังนั้นจากความตั้งใจที่จะลากเก้าอี้มาเฝ้าข้างเตียงเขาก็เปลี่ยนเป็นปีนขึ้นไปนอนบนเตียงข้างๆ กับแฟรงค์โดยที่ยอมผิดกฏของโรงพยาบาลถึง 2 ข้อ นั้นคือแกะที่ล๊อคข้อมือข้างนึงออกและการล้มตัวลงนอนเตียงเดียวกับคนไข้
เขาขึ้นไปนอนกอดแฟรงค์เอาไว้หวังเพียงว่าอ้อมกอดของเขาจะทำให้แฟรงค์นอนหลับได้สบายกว่านี้ เขาหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนโดยที่ไม่รับรู้ถึงสายตาของใครบางคนที่ยืนดูพวกเขาอยู่ที่ข้างเตียง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in