เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Novelber 2017fdfeefa
Day 15 กักขัง
  • Day 15 กักขัง

    "พ่อหนุ่มคนนั้นนะ ปล่อยวางเสียบ้างนะ"

    “…”

    “ถ้ายังเก็บเขาไว้นอกจากจะทำร้ายตัวเองแล้ว เธอกำลังทำร้ายคนอื่นอีกด้วย”

    ระหว่างที่จอห์นกำลังกอดตัวเองอย่างแน่นหนาเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายของตัวเองจากอากาศที่หนาวเย็นและกำลังรีบวิ่งตรงจากสถานีรถไฟเพื่อกลับบ้านเขาก็ต้องหยุดวิ่งแล้วหันไปมองตามเสียงพูดที่ลอยเข้ามาหาเขา แล้วเขาก็เห็นคนสูงอายุคนนึงกำลังนั่งพิงกับพื้นที่ซอกตึกหันหน้ามาทางเขา

    "พูดกับผมเหรอครับ?"

    "ถ้ายัง ‘กักขัง’ เขาคนนั้นเอาไว้ในใจแบบนี้ต่อไปมันจะมีแต่เรื่องวุ่นวายเข้ามา ระวังเอาไว้"

    "ผมไม่ดูดวงครับ"

    เขารู้สึกหงุดหงิดกับตัวเองที่ยอมหยุดยืนฟังเรื่องไร้สาระจากผู้ชายที่ดูเหมือนเป็นพวกไร้บ้านแล้วยังมาหาเงินจากเขาเพียงแค่พูดอะไรขึ้นมาเรื่อยเปื่อยเพื่อเรียกร้องความสนใจเท่านั้น

    วันนี้มันวันอะไรของเขากันนอกจากจะหนาวจนเหมือนว่าตัวเองกำลังจะเป็นไข้แล้วยังต้องเจอคนข้างถนนที่เขาไม่รู้จักและพยายามอวยพรให้ชีวิตเขาพังซ้ำเข้าไปอีก ชายคนนั้นไม่สนถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความโมโหของเขาเพราะยังคงส่งเสียงดังไล่ตามหลังเขามา แต่เขาไม่มีกระจิตกระใจที่จะฟังหรือเถียงกับชายคนนั้นเขาจึงเลือกเดินจ้ำอย่างเร็วเข้าที่พักของเขา


    "คุณจอห์นผมว่าคุณควรไปหาหมอที่โรงพยาบาลคลีนิคอาจจะไม่ใช่ทางออกของอาการคุณ"

    "มันดูแย่ขนาดนั้นเลยรึครับ?"

    "ครับ วันนี้ผมว่ามันไม่หนาวถึงขนาดต้องใส่โอเว่อร์โค้ท"

    เมื่อเช้าเขาตื่นสายกว่าปกติการรีบเดินทางทำให้เขาไม่ได้สังเกตุคนรอบตัวของเขาเลยว่าไม่มีใครสักคนที่จะแต่งตัวป้องกันความหนาวเต็มสูตรแบบเขา คนอื่นใส่กันแค่แจ๊คเก็ทคลุมเท่านั้นมีเพียงเขาที่ใส่โอเว่อร์โค้ทตัวยาวออกมาจากบ้าน

    อาการหนาวเหมือนจับไข้ของเขาที่เป็นมาตั้งแต่วันก่อนมันไม่ดีขึ้นเลยและดูเหมือนว่ามันจะแย่ลงเพราะไม่ว่าเขาจะปรับอุณหภูมิในห้องให้สูงขึ้นจากเครื่องทำความร้อนเท่าไหร่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่พอ ตอนแรกเขาก็แอบคิดว่าตัวเองจะเป็นไข้เขาจึงไปหาหมอที่คลีนิคแถวบ้านเพื่อที่จะรับยามาทานดักอาการเอาไว้ไม่ให้มันแย่ไปกว่านี้ แต่ว่าวันนั้นเขาก็เสียเวลาไปเปล่าเมื่อคุณหมอบอกว่าร่างกายของเขาแข็งแรงดีเลยไม่ได้จ่ายยาให้กับเขา

    "ถ้าอีกวันไม่ดีขึ้นสงสัยผมคงต้องไปที่โรงพยาบาลตามที่คุณบอกแล้วละครับ"


    “ฮัลโหลครับ?”
    เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาส่งเสียงร้องเป็นการเตือนว่ามีคนอยากที่จะติดต่อเขาอยู่หลายครั้ง ตั้งแต่เช้าที่เขาปล่อยทิ้งไว้ให้ดังไม่ใช่ว่าไม่รู้ตัวหรือว่าไม่มีแรงที่จะลุกขึ้นมารับแต่กว่าที่เมื่อคืนเขาจะข่มใจให้หลับแล้วเอาชนะกับความหนาวที่รุมเร้าเขาอย่างหนักนี้ได้ก็ผ่านช่วงเวลาตี 1 ไปนานมากแล้ว เขารู้ตัวของเขาดีว่าเขาคงไม่จะไม่สามารถลุกไปทำงานได้ไหวในวันรุ่งขึ้นดังนั้นก่อนหน้าเขาจึงตัดสินใจล้มตัวลงนอนเขาได้กดส่งอีเมลล์สั้นๆ ไปลางานกับหัวหน้าแผนกเป็นที่เรียบร้อย

    เสียงที่ดังมาจากมือถือนั้นน่าจะเป็นเสียงเรียกจากคนที่ทำงานเขาจึงพยายามเป็นอย่างมากที่จะทำตัวเพิกเฉยกับเสียงเรียกนั้น แต่ในที่สุดเขาก็ต้องยอมแพ้เมื่อฝ่ายที่โทรเข้ามามีความอดทนที่มากกว่าเขา
    “คุณโอเครึเปล่า? ผมไม่เห็นคุณมาที่ร้านก็เลยลองโทรมาถามดู คุณโอเคไหมครับ?”

    “คุณทอม?”

    “ครับผมทอมเอง”

    แค่รู้สึกตัวตื่นลืมตาความหนาวก็จู่โจมเข้าเล่นงานเขาอีกครั้ง ช่วงที่เขาตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์เขาแค่รู้สึกถึงลมเย็นที่เหมือนจะผ่านเข้ามาในห้อง แต่กลับกลายว่ายิ่งใช้เวลาคุยกับคุณทอมมากเท่าไหร่ความหนาวก็ยิ่งเพิ่มสูงมากขึ้นจนตอนนี้เริ่มมีไอออกมาจากปากของเขาเวลาที่เขาพูด สงสัยมันเป็นเพราะว่ามือของเขายื่นออกไปนอกผ้าห่มนานเกินไปเขาจึงดึงมือเข้ามาแล้วคลุมโปงตัวเองทั้งตัวอยู่ในผ้าห่ม

    “วันนี้ผมคงไม่ได้ไปครับ ผมเพิ่งล้มตัวลงนอนได้ไม่นานเอง”

    “งั้นคุณพักผ่อนเถอะครับ ผมขอโทษด้วยที่รบกวน ดูแลตัวเองด้วยครับ”

    “ขอบคุณครับที่เป็นห่วง”

    “เดี๋ยวครับ คุณอยากไปหาหมอไหม?”

    “ผมว่าเย็นนี้ผมจะไป”

    “ให้ผมไปเป็นเพื่อนไหม?”

    “ไม่เป็นไรครับ ผมไปคนเดียวได้”

    “ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยโทรมาได้เลยนะครับ”

    “ขอบคุณครับ”

    เขาพยายามหลับตานอนหลังจากที่วางสายของคุณทอมไปแต่ไม่ว่าเขาจะพยายามพลิกซ้ายพลิกขวามากเท่าไหร่เขาก็ไม่สามารถหลับตาลงเขาจึงลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวและออกไปโรงพยาบาลตั้งแต่ตอนนี้

    “ผลจากการตรวจคุณไม่มีอาการของคนเป็นไข้แต่อย่างไรค่ะ ถ้ายังไงหมอคงต้องขอเจาะเลือดและรอผลมาส่งนะคะจะได้สามารถหาสาเหตุของอาการหนาวเย็นของคุณได้”

    เพราะยังหาสาเหตุที่ทำให้ผมรู้สึกหนาวตลอดเวลาได้ผมจึงไม่ได้ยาอะไรติดมือกลับมา คุณหมอให้คำแนะนำเกี่ยวกับการทำร่างกายให้อบอุ่นมากขึ้นในช่วงนี้มาแทนการเปิดเครื่องทำความร้อนที่มากขึ้นเพราะตอนนี้ผิวที่ตัวของผมเริ่มแห้งจนมีหลายที่ที่เริ่มแตกเป็นขลุยและเริ่มเป็นสะเก็ดแผลแล้ว

    “ผมไปหาหมอมาแล้วนะครับ”

    “คุณหมอว่ายังไงบ้างครับ?”

    “ยังไม่ทราบสาเหตุครับแต่เจาะเลือดไปแล้ว คุณหมอบอกให้ผมสร้างความอบอุ่นให้ตัวเองผมเลยกำลังจะไปสวนสาธารณะเพื่อไปวิ่งออกแรงสักหน่อยครับ”

    “น่าสนใจนะครับ ตั้งแต่มาที่เมืองนี้ผมยังไม่เคยได้ไปออกกำลังกายที่ไหนเลย”

    “มาด้วยกันไหมครับ?”

    “ผมยังไม่เลิกงานเลย คุณไปเถอะ”

    “เอางี้ผมก็ไม่อยากออกวิ่งคนเดียวเหมือนกันกลัววิ่งเพียง 5 นาทีก็หยุดเอาซะแล้ว ผมจะไปที่สวนไฮปาร์คไม่รู้ว่าคุณสะดวกไหม?”

    “สะดวกครับผมเคยได้ยินชื่อ”

    “คุณกลับไปเตรียมตัวที่บ้านก่อนก็ได้แล้วพอใกล้ถึงแล้วโทรมาแล้วกัน บ้านผมอยู่ตรงข้ามสวยเอง”

    “เอางั้นเหรอครับ?”

    “แบบนั้นแหละครับ แล้วเจอกัน”

    เมื่อครู่ตอนที่เขากดโทรศัพท์เพื่อโทรรายงานผลตรวจกับคุณทอมก็ด้วยเหตุผลเดียวว่าเมื่อเช้าเขารู้สึกได้ถึงมิตรภาพความเป็นห่วงเจืออยู่ในน้ำเสียงนั้นเขาเลยคิดว่าเขาควรที่จะบอกผลให้กับเจ้าตัวได้รู้สักหน่อยก็เท่านั้นแต่ผลที่ได้กลับมามันดีเกินคาดกลายเป็นว่าเขาไม่ต้องไปวิ่งออกกำลังกายเพียงคนเดียวดีจริงเพราะถ้าให้เขาออกวิ่งคนเดียวมีหวังเขาอาจจะได้หยุดหลังจากที่ออกวิ่งเพียงไม่นาน


    “คุณทอมคุณหอบลมหนาวมาด้วยทำไมครับเนี่ย”

    แม้ว่าเวลานี้มันจะเป็นช่วงเย็นหลังเลิกงานก็ตาม แต่เพราะที่สวนแห่งนี้มักจะมีผู้คนมาออกกำลังกายจึงมีเสาไฟมากมายที่ถูกติดตั้งให้เปิดเอาไว้เพื่อเป็นแสงสว่างของผู้คนภายในสวนนี้ ตอนที่เขามานั่งรอคุณทอมเขายังไม่รู้สึกว่าอากาศมันจะหนาวเย็นถึงขนาดที่เขาต้องรูดซิปจนมิดคอ แต่พอคุณทอมเดินเข้ามาภายในสวนอากาศก็เปลี่ยนแปลงกระทันหันจนเขาต้องรูดซิปขึ้นมาจนสุดแถมยังรู้สึกเสียใจที่เขาเลือกใส่ขาสั้นมาแทนขายาว


    “คุณจะขึ้นไปทานอะไรบนห้องก่อนไหมครับ? น้ำหรือขนม?”

    “ก็ดีครับผมอยากล้างหน้าล้างตาเล็กน้อยด้วย”

    “ได้สิครับ”

    สรุปผลของการวิ่งออกกำลังกายมันเป็นไปอย่างที่เขาคิด 2 คนยังไงก็ดีกว่าคนเดียวเพราะวันนี้เขาวิ่งได้ถึง 40 นาทีซึ่งมันเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้ทำมานานแล้วตั้งแต่เขาใช้ชีวิตคนเดียว หลังจากสี่สิบนาทีผ่านไปคุณทอมเหนื่อยหอบแถมยังร่ำๆ ว่าจะปาเสื้อทิ้งตั้งแต่ 20 นาทีแรกส่วนเขาแค่รูดซิปเสื้อนอกให้มันลงมาที่กลางตัวได้ก็ถือว่าเขาเก่งมากแล้ว

    “ทำตัวตามสบายเลยนะครับห้องน้ำอยู่ทางด้านในห้องนอนเสร็จแล้วคุณออกมารอผลที่โต๊ะทานข้าวได้เลยนะ ผมขอเข้าไปอุ่นแซนวิชก่อน ว่าแต่คุณอยากได้ชา หรือ โกโก้ดี?

    “ผมขอโกโก้ดีกว่าครับ”

    แต่ไม่ทันที่น้ำจะเดือดและพร้อมจะชงเครื่องดื่มหรือว่าแซนวิชที่เขาจับมันยัดมันเข้าไมโครเวฟจะอุ่นเสียงตะโกนร้องแบบคนตกใจสุดชีวิตของทอมก็ดังออกมาจากทางห้องนอนของเขา

    “มีอะไรรึเปล่าคุณทอม? มีอะไรครับ?”

    หน้าของคุณทอมซีดจนแถบจะไม่เหลือสีเลือดที่เคยสูบฉีดจากการออกกำลังอยู่ มือของคุณทอมสั่นระริกปลายนิ้วของคุณทอมชี้ไปที่จอโน๊ตบุ้คของคุณที่ถูกตั้งเอาไว้ที่โต๊ะทำงานของเขา

    บนหน้าจอนั้นมีวีดีโอที่ถูกเล่นค้างเอาไว้ มันคือวีดีโอที่เขาเพิ่งเปิดขึ้นมาดูอีกครั้งเมื่อเช้าเนื่องจากวันนี้เขาไม่ได้ไปทำงานเขาเลยถือโอกาสจัดการกับไฟล์ที่อยู่ในเครื่องให้เรียบร้อยส่งสัยว่าเขาคงจะเปิดดูแล้วลืมปิดมัน วีดีโอที่โชว์อยู่ในนั้นมีเพียงแค่ใบหน้าของที่โชว์หน้าต่อหน้ากล้องแต่มีเสียงพูดของใครบางคนเป็นแบคกราวน์อยู่ทางหลังกล้องซึ่งนั้นก็คือเสียงที่ออกมาจากคนที่กำลังบันทึกวีดีโอนี้เอาไว้นั้นเอง

    “ไหนยิ้มให้กล้องหน่อยสิครับ?”
    “จะยิ้มหวานไปไหม? จะแอบเอาไปอ่อยใคร”
    “อ่อยคุณ”
    “ให้มันจริงเถอะ”

    แล้วภาพก็ถูกตัดไปเป็นภาพมืดสนิทถ้าคนที่ไม่รู้มาก่อนอาจจะคิดว่าวีดีโอนี้จบลงแล้วแต่สำหรับเขาคนที่อยู่ในนั้นรู้ดีว่ามันยังถ่ายอยู่เพียงแค่กล้องตัวนั้นได้หล่นไปอยู่ที่พื้น แล้วที่เขาไม่ตัดส่วนนี้ทิ้งตั้งแต่แรกเพราะในความมืดนิทนั้นมันมีเสียงหัวเราะที่สดใสของคน 2 คนดังรอดเข้ามาในตัวกล้องและนั้นก็คือเหตุผลที่ตัวกล้องยังไม่ได้หยุดทำการบันทึก

    “ผมรักคุณนะเดฟ”

    และนั้นก็คือเสียงสุดท้ายที่อยู่ในวีดีโอก่อนทุกอย่างจะหยุดลง

    “คนชื่อเดฟคือใครครับ?”

    “คุณกดมันเล่นได้ยังไงใครอณุญาตคุณ”

    “ผมเปล่ามันเปิดเล่นของมันเอง”

    “โกหก!!”

    “คุณจอห์นผมเปล่าจริงๆ แต่ช่างมันเถอะเดี๋ยวผมอธิบายแต่ตอนนี้ผมอยากรู้ว่า เดฟ คือใคร?”

    “วันนี้คงไม่เหมาะที่จะอยู่ทานของว่าง ผมว่าคุณกลับไปก่อนเถอะครับ”

    “เดี๋ยวคุณเดี๋ยว ผมต้องการรู้เขาคือใคร เขาใช่คนที่คุณเล่าให้ผมฟังไหม เดี๋ยวคุณจอห์น”

    “ปังๆๆๆ เดี๋ยวคุณ ผมอธิบายได้แต่คุณต้องคุยกับผมก่อน”

    ในเมื่อพูดขอร้องดีๆ คุณทอมไม่ยอมทำตามในสิ่งที่เขาขอเขาจึงลงมือลากคุณทอมออกมาที่หน้าประตูส่วนอีกมือเขาก็คว้าหยิบเอาของคุณทอมออกมาด้วย เมื่อคุณทอมพ้นเขตของประตูห้องเขาก็ยัดของทุกอย่างลงไปในมือของคุณทอมโดยที่ไม่สนว่ามันจะอยู่ในมือนั้นหรือว่าตกลงที่พื้นเขาก็ปิดประตูบานนั้นลง

    เขาเดินกลับเข้าไปที่ห้องนอนมองดูหน้าจอที่ถูกเปิดทิ้งค้างเอาไว้ด้วยความโมโห เขาโมโหที่มีคนรู้เรื่องราวของเขาและเดฟ วันนั้นเขาไม่น่าอ่อนแอแล้วเล่าเรื่องนี้ให้กับคุณทอมได้ฟัง เขาลงไปนั่งลงตรงหน้าจอและกดมันเล่นซ้ำอีกครั้งโดยเฉพาะประโยคที่ว่า “ผมรักคุณนะเดฟ”

    นอกจากไฟล์นี้เขายังมีอีกหลายไฟล์ที่บันทึกเรื่องราวความรักระหว่างเขากับเดฟเอาไว้ตั้งแต่วันที่เดฟจากไปไม่มีไฟล์ไหนเลยที่เขากดลบ เพราะเขาไม่ต้องการที่จะลืมคนๆ นี้ เขาต้องการให้เดฟยังอยู่ในดวงใจของเขาตลอดไปและเขาก็ไม่ต้องการให้ใครมารู้จักเดฟเพราะเขากลัวเหลือเกินว่าจะมีแต่คนมาบอกให้เขาลืมเดฟ ปล่อยเดฟไป อย่าขังเดฟเอาไว้ในใจแบบนี้ เหมือนกับหลายคนในอดีตที่คนรู้จักเขา

    ‘ไม่มีวัน’ นี่คือคำมั่นที่เขาพูดกับตัวเองเสมอไม่มีวันที่เขาจะลืมเดฟและไม่มีวันที่เขาจะปล่อยเดฟไป ในเมื่อเขายังคือคนที่เดฟจดจำก่อนที่จะจากโลกนี้ไปเพราะฉะนั้นก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไปเขาจะมีแค่เดฟในใจเท่านั้น

    เขาจะ ‘กักขัง’ เดฟเอาไว้แบบนี้ให้ไม่ลืมกับความผิดที่เขาทำเอาไว้กับเดฟ





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in