เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Novelber 2017fdfeefa
Day 14 เสียงกระซิบ
  • Day 14 – เสียงกระซิบ

    “กลับไป”

     

    “...”

     

    “กลับไป!!”

     

    ‘เฮือก!!’

     

    เขาเบิกตาตื่นพร้อมกับเสียงลมหายใจที่พ่นเร็วเขาเอามือจับตรงกดลงไปที่ตำแหน่งหัวใจของตัวเองเพื่อเป็นการระงับการเต้นเร็วจากความตื่นกลัวหลังจากที่เขากระพริบตาให้สติของตัวเองกลับมาได้อีกครั้งเขาถึงรู้สึกว่ามีเหงื่อไหลอาบไปทั้งแผ่นหลังของเขาแม้ว่าอากาศมันจะหนาวมากจนก่อนนอนเขาต้องห่มผ้าถึง2 ชั้นก็ตาม คอของเขาแห้งพากจนแทบจะกลืนน้ำลายไม่ได้จากที่พยายามจะข่มตาหลับเขาจึงเปลี่ยนเป็นตวัดผ้าห่มออกแล้วเดินไปรินน้ำดื่มในครัว

     

    ก่อนที่จะหมุนตัวกลับเข้าที่ห้องนอนเขาเดินเลยไปที่โต๊ะอ่านหนังสือหยิบเอานิยายเล่มล่าสุดที่เขาอ่านค้างเอาไว้ติดมือกลับไปที่เตียงด้วยเพราะดูทรงแล้วคืนนี้ก็น่าจะเหมือนทุกคืนที่กว่าจะล้มตัวลงนอนได้อีกทีก็เกือบรุ่งเช้า

     

    หลายคืนมานี้เขามักจะสะดุ้งตื่นกลางดึกเสมอเขาเองก็พยายามหาทางแก้มาหลายทางทั้งพยายามอุ่นนมร้อนดื่มก่อนนอนก็แล้วเลิกดูพวกหนังสืบสวนสอบสวนก็แล้วแต่มันก็ไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นเลย

     

    หนังสือที่อยู่บนตักของเขาถูกเปลี่ยนหน้าไปมาแบบไม่ได้ใส่ใจเพราะในหัวของเขาตอนนี้กำลังพยายามคิดย้อนกลับไปในความฝันเขาจำความรู้สึกก่อนที่จะตกใจสะดุ้งตื่นได้ลางๆ ว่าเหมือนตัวเองกำลังอยู่ที่ไหนสักที่หรือสักเหตุการณ์แล้วเหมือนมีคนมาตะโกนด้วยคำพูดอะไรบางอย่างใส่หน้าของเขาด้วยเสียงตะโกนอันนั้นนั่นแหละที่ทำให้เขาต้องตกใจและสะดุ้งตื่น

     

    ที่น่าแปลกใจคือเขามีความรู้สึกแต่กลับจำอะไรไม่ได้สักอย่างที่อยู่ในฝันนั้นภาพที่เห็นในฝันยิ่งพยายามนึกมันก็ยิ่งพล่ามัวเหมือนถูกหมอกจางๆ คลุมเอาไว้จนพาลทำให้เขาปวดหัวเสียทุกทีที่พยายามนึกเหมือนเช่นในตอนนี้ที่เขาต้องวางหนังสือลงแล้วเอามือกดนวดที่ศีรษะของตัวเอง

     

    “เมื่อคืนนอนไม่หลับอีกแล้วเหรอครับ?”

     

    “หน้าผมฟ้องขนาดนั้นเลยเหรอครับคุณจอห์น?”

     

    “เปล่าครับ”

     

    “งั้นผมก็ค่อยสบายใจหน่อยไม่อยากหน้าโทรมไปทำงาน”

     

    “หน้าคุณไม่ฟ้องแต่ตาของคุณ”

     

    “เฮ้อ...มันไม่ตลกเลยนะครับคุณจอห์น”

     

    เขากับคุณจอห์นยังเจอกันในตอนเช้าเหมือนเช่นเคยที่เพิ่มเติมขึ้นมาก็คือความสนิทที่เพิ่มมากขึ้นมากกว่าช่วงแรกที่เขาสองคนได้คุยกันความสนิทมันเกิดขึ้นได้ในมื้อเย็นวันนั้นก็เพราะมันไม่ได้จบแค่เพียงคุณจอห์นที่เล่าเรื่องราวของตัวเองแต่เขาเองก็ได้เปิดเผยถึงปัญหาของชีวิตรักของตัวเองให้คุณจอห์นให้ฟังเช่นกัน

     

    “อย่าปล่อยให้เรื่องมันเกิดขึ้นแล้วเสียใจทีหลังแบบผม”

     

    เขายังจำคำเตือนของคุณจอห์นหลังจากที่ฟังเรื่องของเขาจบในวันนั้นได้เป็นอย่างดีความจริงถึงคุณจอห์นไม่พูดแต่หลังจากที่เขาได้ฟังเรื่องราวความรักของคุณจอห์นมันก็ทำให้เขาฉุกคิดถึงเรื่องราวของตัวเองขึ้นมาเหมือนกันสิ่งแรกที่มันแวบขึ้นมาในหัวก็คือถ้า ณ วันนี้ถ้าเขาเกิดจากไปแบบที่แฟนของคุณจอห์นจากไปแฟรงค์ก็อาจจะมีความรู้สึกไม่ต่างจากคุณจอห์นในวันนี้ความไขว้เขวที่คิดว่าตัวเองกำลังทำในสิ่งที่ถูกที่หนีออกมาตั้งหลักพร้อมกับให้เวลากับแฟรงค์ในการคิดทบทวนให้ดีมันเริ่มสั่นคลอนเพราะมันอาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดก็ได้แต่ยังไงเสียเขาขอเวลาที่จะคิดทบทวนอีกสักหน่อยแล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้ง

     

    “คุณจะลองไปหาหมอเพื่อขอยามาทานไหม?”

     

    “ยานอนหลับนะเหรอครับ?”

     

    “ผมก็ไม่รู้ก็ลองไปคุยดูก่อนไหมคุณนี่มันก็จะครบอาทิตย์อยู่แล้วนะที่เป็นแบบนี้ คุณจะไม่ไหวเอานะสิ”

     

    “เอาไว้ไม่ไหวจริงๆก่อนดีกว่าครับ ไม่อยากพึ่งยาเลยครับ”

     

    “ถ้างั้นก็พยายามหาเวลานอนงีบก่อนตอนดึกดูแล้วกันนะครับเพื่อจะช่วยให้หายเพลียได้ดูแลตัวเองด้วย”

     

    คุณจอห์นยกมือขึ้นมาตบเขาที่ต้นแขนทางด้านซ้ายเบาๆเหมือนเป็นการให้กำลังใจกัน เขาที่รับรู้ถึงกำลังใจนั้นกำลังเงยหน้าขึ้นไปยิ้มเป็นการขอบคุณกลับต้องชะงักและรีบหลับตาให้สนิทเมื่อจู่ๆลมก็พัดหอบเอาฝุ่นปลิวขึ้นมา แต่ในที่สุดเขาก็ต้องลืมตากว้างมารับเอาฝุ่นพวกนั้นให้เข้าไปในดวงตาเมื่อมีเสียงที่เขารู้สึกคุ้นเคยมากระซิบอยู่ที่ข้างหูว่า‘ออกไปซะ’

     

    ‘โอ๊ย’ เขาร้องเสียหลงเมื่อฝุ่นที่เขาพยายามจะหลับตาหนีดันปะทะเข้ากับดวงตาของเขาเต็มๆ

     

    “เป็นอะไรไปครับคุณทอม?”

     

    “ตาผม”ความเจ็บที่ดวงตาทำให้เขาลืมเสียงกระซิบนั้นไปเสียหมด ลืมไปกระทั่งว่าเสียงมันช่างคล้ายกับเสียงที่เขาได้ยินทุกคืนมากขนาดไหน

     

    “เจ็บมากไหมคุณ?”

     

    “ครับ”

     

    “ผมว่าผมพาคุณไปล้างตาดีที่โรงพยาบาลดีกว่า”               

     

    “ไม่เป็นไรครับที่บริษัทผมมีห้องพยาบาลผมรบกวนให้คุณไปส่งผมที่นั้นได้ไหมครับ?”

     

    “ได้สิครับ”

     

    โชคดีที่ตาของเขาไม่เป็นอะไรมากแค่เพียงล้างตาความเจ็บแสบของฝุ่นที่บาดเข้ากับดวงตาของเขาก็หายไปหมอประจำห้องพยาบาลจึงอณุญาตให้เขากลับขึ้นไปทำงานได้

     

    “ผมไม่ได้รู้สึกไปคนเดียวใช่ไหมครับว่าวันนี้มันหนาวมากกว่าทุกวัน?”

     

    เย็นวันนี้คุณจอห์นขออาสาไปคนส่งเขาที่บ้านเพราะกลัวว่าอาการบาดเจ็บที่ตาของเขาจะทำให้ตัวเขาเดินทางกลับบ้านลำบากแม้ว่าเขาจะได้อธิบายไปทางโทรศัพท์ว่าอาการของเขาไม่เป็นอะไรแต่ก็ดูเหมือนว่าคุณจอห์นจะแปลข้อความเหลานั้นเป็นว่าเขากำลังเกรงใจมากกว่าไม่เป็นอะไรเขาจึงปล่อยให้เลยตามเลย

     

    “เพราะคุณจอห์นมารอผมนานรึเปล่า?”

     

    “แต่ผมก็รอคุณด้านในนะ”

     

    “งั้นคุณเอาถุงมือผมไปใส่เถอะครับ”

     

    “ไม่เป็นไรคุณคุณใส่เอาไว้เถอะคุณก็คงจะหนาวเหมือนกัน”

     

    “ไม่มากเท่าคุณแน่นอนครับ”เขาถอดถุงมือออกแล้วยื่นมันให้กับคุณจอห์น คุณจอห์นพอได้ถึงมือก็ดูเหมือนว่าจะอุ่นขึ้นเราเลยออกเดินทางกันต่อ

     

    เวลาช่วงนี้เป็นเวลาเลิกงานทำให้ร้านอาหารที่อยู่บริเวณนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่ต่อแถวเพื่อจะได้ลิ้มรสอาหารเย็นเขาสองคนที่ไม่ได้ทำการจองคิวเอาไว้ล่วงหน้าทำได้แค่ไปลงชื่อและนั่งต่อคิวอยู่ที่ทางหน้าร้าน

     

    “ผมว่าไปทานอะไรที่ห้องของผมดีกว่าครับ”

     

    เขาตัดสินใจเลิกรอและชวนคุณจอห์นหาซื้ออะไรไปทานที่ห้องของเขาแทนไม่ใช่ว่าเขาทนรอไม่ได้แต่คุณจอห์นที่นั่งรอด้วยกันกับเขาตอนนี้กำลังนั่งสั่นด้วยความหนาวจนริมฝีปากและผิวหน้าต่างซีดขาวไปหมด

     

    “มันจะรบกวนคุณเปล่าๆ”

     

    “นั่งแบบนี้คุณจะไม่ไหวเอานะสิไปครับ”

     

    เขากับคุณจอห์นแวะซื้ออาหารตามสั่งที่ตรงป้ายรถเมล์ก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปที่ซอยที่พักของเขาไม่รู้ว่าอากาศมันเย็นลงอย่างกระทันหันหรืออย่างไรจู่ๆ มือของเขาก็เย็นแข็งทำให้ถุงอาหารที่อยู่ในมือเกือบล่วงลงพื้น

     

    “คุณเอากลับไปใส่เถอะครับ”

     

    “ไม่เป็นไรครับคุณจอห์นเดี๋ยวก็ถึงห้องผมแล้ว”

     

    “ถ้าไม่งั้นก็เอาถุงอาหารมาให้ผมถือครับคุณไม่น่าไหว”

     

    “งั้นผมขอใส่ถุงมือดีกว่าครับ”

     

    ในขณะที่เขากำลังจะใส่ถุงมือที่รับกลับคืนมาจากคุณจอห์นเขารู้สึกเหมือนมีใครสักคนกำลังมองเขามาจากทางด้านหลังด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเขาจึง ใช้หางตามองไปทิศทางที่เขารู้สึกแต่กลับกลายเป็นว่าเขาก็จะไม่เห็นว่ามีใครยืนอยู่ตรงนั้น

     

    “มีอะไรรึเปล่าครับ?”

     

    “เปล่าครับไม่มีอะไร”

     

    น้องที่อยู่ตรงประชาสัมพันธ์ของตึกพยายามควักมือเรียกเขาเอาไว้เหมือนส่งสัญญาณว่าให้รอก่อนเพราะเธอกำลังคุยโทรศัพท์อยู่เขาหยุดยืนรออยู่ 5 นาทีก็ดูเหมือนว่าธุระในสายของเธอจะไม่จบลงง่ายๆ

     

    ความจริง 5นาทีเป็นเวลาที่ไม่นานแต่เพราะตอนนี้มันก็เย็นมากแล้วและเขาเองก็หิวข้าวมากเขาเลยส่งสัญญาณกลับไปว่าเดี๋ยวเขาจะกลับลงมา

     

    “นี่คุณเปิดเครื่องทำความร้อนยังครับ?”

     

    “เปิดแล้วนะครับคุณไม่รู้สึกอุ้นขึ้นมาเลยรึครับ?”

     

    “ครับอากาศไม่ต่างจากข้างนอกเลย สงสัยคุณเป็นคนขี้ร้อนแน่เลย”

     

    “คุณก็คงจะขี้หนาวมากแน่เลย”

     

    เสียงหัวเราะที่ไม่เคยได้เกิดขึ้นในห้องนี้ทำให้บรรยากาศในห้องดูอบอุ่นจากความหนาวเย็นอยู่เล็กน้อยแต่เพียงไม่นานหลังจากมื้อเย็นจบลงคุณจอห์นก็ขอตัวกลับไปที่พักของตัวเองด้วยเหตุผลที่ว่าห้องของเขามันหนาวจนเกินไปจะว่าไปแล้วเขาก็เริ่มรู้สึกเหมือนกันว่าอุณหภูมิภายในห้องนี้มันแทบจะไม่แตกต่างจากข้างนอกเลยเขาเลยตั้งใจที่จะตื่นเช้าให้มากกว่าเดิมในวันพรุ่งนี้สักหน่อยจะได้มีเวลาไปแจ้งเรื่องกับทางตึกเพราะอาจจะเป็นไปได้ว่าเครื่องทำความร้อนในห้องของเขาเสีย

     

    หลังจากที่เขาล้างจานทำความสะอาดเก็บข้าวของเรียบร้อยอากาศในห้องก็ไม่ชวนให้เขาทำอะไรยกเว้นการห่อตัวเองเอาไว้ในผ้าห่มแล้วจิบนมอุ่นๆนั่งดูละครที่โซฟาหน้าทีวีเขากะว่าหลังจากละครจบเขาจะลุกขึ้นไปอาบน้ำชำระร่างกายแต่กลายเป็นว่าเขาเคลิ้มหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้

     

    เสียงทีวียังส่งมาแผ่วๆให้เขาพอได้ยินการพูดคุยแม้ว่าเขาจะไม่สามารฟังเข้าใจได้ก็ตามแต่แล้วเสียงทีวีนั้นก็ดังขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนว่ามีใครสักคนกำลังมานั่งพูดที่ข้างหูของเขา

     

    “อย่ามายุ่งกับเขา”

     

    “...”

     

    “ผมรักเขา”

     

    “...”

     

    “หรือว่าเราจะแลกคนรักกันดี”

     

    “...”

     

    “คนของคุณอยู่ในมือของผมนะ”

     

    “...”

     

    “ออกไปจากชีวิตเขาซะไม่งั้นจะหาว่าไม่เตือน”

     

    “ออกไปจากชีวิตเขาซะ!! ได้ยินไหม!!”

     

    “ใครนะ!!”

     

    เสียงตะโกนที่แปลเปลี่ยนมาจากเสียงกระซิบมานั้นมันทำให้เขาสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้นมาครั้งนี้มันไม่เหมือนกับครั้งไหนๆ ทุกคำพูดนั้นที่เขาได้ยินเขาจำมันได้เขาจำได้แม้กระทั่งลมหายใจที่กระทบกับหูของเขาเลยด้วยซ้ำแถมเสียงนี้ที่เขาได้ยินมันก็คือเสียงที่เขาได้ยินอยู่ทุกคืนเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น

     

    เขามองไปรอบห้องก็ไม่เห็นใครแถมทีวีที่เปิดอยู่ก็เป็นรายการเกมส์โชว์ของเด็กซึ่งไม่น่ามีอะไรที่ออกมาเป็นคำพูดที่เขาได้ยินเมื่อกี้ได้

     

    แล้วเสียงที่เขาได้ยินเมื่อกี้มันเป็นเสียงกระซิบของใครกัน

     

     

     

     

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in