เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Novelber 2017fdfeefa
Day 17 ขยำ
  • Day 17 ขยำ

    อากาศในวันนี้ดีมากกว่าทุกวันมันไม่หนาวจนเขาต้องคอยเอามือปิดหูและก็ไม่ร้อนจนให้ตัวเองรู้สึกเหนอะหนะแถมสวนในตอนนี้โล่งจนเขาไม่เห็นใครเลยสักคน อาจเป็นไปได้ที่เมืองนี้มีการจัดงานใหญ่ที่ไหนสักแห่งคนก็เลยแห่ไปแต่ที่นั้นไม่มาเดินเล่นที่สวนนี้

    เขานั่งสูดอากาศรับเอาลมเขาปอดในสวนสาธารณะที่มันช่างคุ้นตาแต่เขากลับนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าเขาเคยเห็นมันที่ไหนแต่ช่างเถอะเขายังเหลือเวลาอยู่ที่นี่อีกตั้งหลายเดือนยังมีเวลาคิดอีกถมเถไป ช่วงเวลาสงบที่หาได้ยากแบบนี้เขาขอเก็บเกี่ยวเอาความสบายใจเอาไว้ก่อนดีกว่า

    ‘แฟรงค์’ ไม่ใช่ว่าจู่ๆ ปากของเขาจะหลุดชื่อนี้ขึ้นมาโดยที่ไม่ตั้งใจแต่เพราะในขณะที่สายตาของเขาที่กำลังมองซึมซับบรรยากาศนี้เอาไว้เขาก็เห็นร่างของคนๆ นึงเดินผ่านแนวสายตาของเขาไป ร่างนั้นช่างคุ้นตาจนเขาต้องคอยมองตามโดยที่เขาไม่ละสายตาแล้วเขาก็รู้ว่าร่างนั้นก็คือแฟรงค์

    โดยที่ไม่ต้องคิดว่าทำไมแฟรงค์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้เขาก็ลุกและเดินตามจนตอนนี้เหมือนกับว่าเขากำลังวิ่ง น่าแปลกที่ทั้งที่แฟรงค์ก็แค่เพียงออกเดินธรรมดาแต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเดินไม่ถึงตัวของแฟรงค์สักที

    “แฟรงค์” เขาลองตะโกนเรียกแฟรงค์ดูอีกหลายครั้งไล่ตั้งแต่เสียงโทนเหมือนเสียงกระซิบจนเขาเพิ่มโทนเสียงกลายเป็นเสียงของการตะโกนแฟรงค์ก็ยังเอาแต่เดินตรงไปทางด้านหน้าโดยที่ไม่กลับมาหันมองที่เขาเหมือนว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้

    เขาเดินตามแฟรงค์มาเรื่อยๆ จนเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาหลุดออกมาจากสวนนั้นตั้งแต่ตอนไหนแล้วแสงอาทิตย์หายไปตั้งแต่เมื่อใดเพราะสิ่งเดียวที่เขาสนใจก็คือแผ่นหลังของคนตรงหน้าเท่านั้น แต่แล้วแผ่นหลังแผ่นนั้นก็หายไปจากเขาหลังจากที่เดินผ่านตอกตรอกซอยจนมาหยุดที่บ้านหลังนึง

    “แฟรงค์ คุณอยู่ในนั้นรึเปล่า?”

    เขาลองตะโกนเรียกแฟรงค์อยู่ที่หน้าบ้านอยู่นานแต่ก็ไร้เสียงตอบรับจะหันไปถามผู้คนว่าบ้นหลังนี้เป็นบ้านของใครถนนตรงนี้ก็วางเปล่าจนเขาเองเริ่มรู้สึกแปลกใจว่าสรุปแล้วเมืองนี้คือเมืองที่เขาอาศัยอยู่จริงใช่ไหม? ทำไมเมืองที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนวันนี้ผู้คนเหล่านั้นต่างหายไปไหนกันหมดถึงจะมีงานก็เถอะมันก็ออกจะดูแปลกไปสักหน่อย

    ในเมื่อตะโกนเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบรับลองเอามือขยับที่กลอนประตูก็เปิดเข้าไปไม่ได้ลองเดินรอบๆ นอกบ้านก็ไม่เห็นแสงไฟเพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่คิดได้ก็คือไม่มีใครอยู่ในบ้านหลังนี้และนั้นก็หมายความว่าแฟรงค์ก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้เช่นกัน เขาจึงหันหลังและเตรียมเดินออกหาอีกทีในระแวกใกล้ๆ นี้คิดว่าเขาคงคลาดกับแฟรงค์ตรงไหนสักตรอกแถวนี้

    คลิ้ก เสียงกลอนประตูที่เหมือนถูกสะเดาะดังขึ้นและเสียงนั้นก็ดึงความสนใจของเขาให้หันกลับไปที่บ้านหลังเดิม เขาไม่แน่ใจว่าหูของเขาแว่วรึเปล่าแต่เขาก็ลองเอามือผลักไปเบาๆ ที่ประตูแล้วก็พบว่ามันสามารถเปิดออกได้

    เปิดเข้าไปเขาก็เห็นว่าบ้านเป็นบ้านสองชั้นตกแต่งอย่างเรียบง่ายเพียงแต่ด้านล่างมืดสนิทไม่มีแม้แต่แสงของพระอาทิตย์ที่กำลังตกดินส่องผ่านผ้าม่านเข้ามา เขาพยายามเดินมองหาสวิตช์ไฟเพื่อจะได้เพิ่มการมองเห็นของเขาให้ดีขึ้นแต่แล้วความสนใจของเขาก็ถูกแย่งจากเสียงที่มีคนพูดคุยกันอยู่ทางด้านบน

    “สวัสดีครับ?”

    เขาลองส่งเสียงเป็นการนำทางขึ้นไปก่อนแต่ก็ไม่ได้ยินคนตอบรับ ‘จะขึ้นไปดีไหม?’ คือคำถามที่วนเวียนอยู่ตลอดการหาสวิตช์ไฟแต่ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะทำอะไรเขาก็ลองเงี่ยหูฟังการพูดคุยทางด้านบนอีกครั้งแล้วเขาก็ได้ยินใครสักคนกำลังตะโกนเรียกชื่อของคนชื่อ ‘เดฟ’ ซึ่งเป็นชื่อที่เขาจำได้ไม่ลืม สิ้นสุดเสียงเรียกนั้นเขาลบเอาความมีสติและหลักการออกให้หมดแล้วเดินไปที่บรรไดที่เป็นทางขึ้นไปชั้นสอง

    ‘อึก’

    เขาเพิ่งก้าวขึ้นบรรไดได้เพียงแค่สองขั้นเขาก็รู้สึกเหมือนว่ากำลังมีคนเดินตามเข้ามาทางด้านหลังเขาจึงหยุดเดินและหันกลับไปดู แต่เพียงแค่เขาหันหน้ามายังไม่ทันได้เห็นว่าคนที่เดินตามเขามาเป็นใครก็มีลมที่พัดแรงวูบนึงพัดมาปะทะกับตัวของเขา

    ทันทีที่ลมวูบนั้นพัดเขามาเขาก็ไม่รู้สึกเป็นตัวของตัวเองอีกต่อไปเหมือนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเขาเขาไร้การควบคุมโดยสิ้นเชิงเขาอยากที่จะหยุดก้าวเดินขึ้นขั้นบรรไดไปทางด้านบนแล้วตรงกลับไปที่สวนนั้นเขาก็ไม่สามารถที่บังคับให้ร่างกายของตัวเองหยุดเคลื่อนไหวไปทางด้านบนได้

    “เดฟ คุณไปไหนมา?”

    “คุณกลับมาได้แล้วเหรอ? คุณเลิกเป็นลูกแหง่ของที่บ้านได้แล้วเหรอ?”

    เสียงที่เปล่งเรียกออกไปก็ไม่ใช่เสียงของเขาแต่มันเป็นเสียงของคนที่ชื่อว่าเดฟ น้ำตาที่กำลังไหลออกมาอยู่ในตอนนี้ก็ไม่ใช่น้ำตาที่ออกมาจากความรู้สึกของเขาเช่นกัน

    “ผมมาหาก็พูดแต่เรื่องดีๆ ไม่ได้เหรอเดฟ เรื่องที่บ้านของผมเราก็พูดกันแล้วนิว่ามันต้องใช้เวลา”

    “เวลาอีกแล้ว!! แล้วต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนผมต้องตายไปเลยไหม!!”

    “ฟังกันก่อนสิเดฟ”

    “ฟังอีกแล้วฟังตลอดเลยจะต้องให้ฟังให้คุณมานั่งแก้ตัวเอาตัวรอดที่ไม่สามารถออกมาเลี้ยงดูตัวเองได้อีกนานแค่ไหนกัน!! แล้วคุณต้องเกาะพ่อแม่ที่แสนมั่งมีนั้นไปอีกนานแค่ไหนกัน!!”

    “คุณจะลามปามมากไปแล้วนะ โธ่เว้ย ถ้ารู้ว่ามาแล้วจะเป็นแบบนี้ผมไม่มาให้เสียเวลาหรอก เอาไว้คุณมีสติมากกว่านี้แล้วเราค่อยมาคุยกันแล้วกัน”

    “ถ้าออกไปจากบ้านหลังนี้ผมจะถือว่าคุณไม่รักผมอย่างที่คุณพูดเอาไว้แต่คุฯเลือกที่จะปกป้องตัวเองกลัวว่าตัวเองจะไม่มีกิน”

    “ถ้าคุณคิดได้แค่นี้ผมก็ไม่มีอะไรที่จะพูดกับคุณจริงๆ”

    “จอห์น!!” แม้ปากจะเอ่ยปากไล่แต่เพียงแค่คุณจอห์นหันหลังกลับเดฟก็พุ่งเข้าไปคว้าแขนของคุณจอห์นเอาไว้แล้ว แต่คราวนี้กลับกลายเป็นคุณจอห์นแกะมือคู่นี้ออกจากแขนตัวเองกับมือ

    “เดฟ ผมเหนื่อย เอาไว้เราทั้งสองดีขึ้นกว่านี้แล้วเราค่อยคุยกันคุยไปก็ไม่รู้เรื่องหรอก ก็เหมือนกับทุกทีที่คุยกันทีไรเราก็ไม่เคยเข้าใจกัน”

    “อย่าไป”

    “…”

    คุณจอห์นก้าวเดินออกไปจากห้องนี้แล้วเหลือเพียงแค่เขาที่ไม่ยอมก้ามเดินไปไหนและจากความรู้สึกที่เขากำลังสัมผัสอยู่ไม่ใช่ว่าไม่อยากเดินตามไปแต่เพราะหัวใจดวงนี้มันกำลังเจ็บช้ำอย่างหนัก

    ถ้อยคำแต่ละถ้อยคำที่ออกมาจากปากปากของคุณจอห์นมันมีผมต่อใจดวงนี้มากเหลือเกินถ้อยคำเหล่านั้นมันเหมือนมือที่เข้ามาขยำหัวใจที่เปรียบเหมือนกับมะพร้าวที่พอถูกขยำสิ่งดีๆ เช่นกะทิก็จะล่วงหล่นไปและเหลือเพียงแต่ความทรงจำที่เลวร้ายนั้นก็คือกากที่ใช้ไม่ได้นั้นเอง

    คุณจอห์นจะรู้บ้างไหมว่าเขากำลังจะทำให้ใจของคุณเดฟนั้นเหลือเพียงแค่กากที่แทบจะไม่เหลือสิ่งดีๆ เอาไว้หล่อเลี้ยงให้มันอยู่ต่อไปได้เพราะมันถูกขยำด้วยคำพูดจนช้ำไปหมดแล้ว

    ‘อึก’

    ลมนั้นพัดผ่านตัวเขาออกไปแล้วเขารู้สึกเหนื่อยล้าเหมือนกับเขาได้แบกความเสียใจเป็นเวลานาน คุณเดฟเจออะไรมานะ ทำไมใจของคุณถึงได้บอบช้ำมากขนาดนี้

    ตึงๆๆๆๆ ปัง เสียงเหมือนมีของตกและไปหยุดที่ชั้นล่างทำให้เขาวิ่งออกมาจากห้องเพื่อมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วภาพที่เขาเห็นก็ทำให้เขานึกถึงคำพูดของคุณจอห์นที่ว่าคนรักของเขาได้หนีจากเขาไปแล้วโดยการจากไปแบบถาวร หรือว่าคุณเดฟจะ..

    “เฮือกกก”

    ดวงตาของเขาเบิกโพรงเพราะเขารู้สึกเหมือนว่าเขากำลังจะตกจากที่สูงที่ไหนสักที่ เมื่อกี้เขาฝันใช่เขารู้ตัวว่าเขากำลังฝันเพียงแต่เขาไม่รู้ว่ามันคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริงหรือแค่จินตนาการที่เขาคิดเอาเองและคนเดียวที่จะสามารถตอบเขาได้ก็คือคุณจอห์น

    กึกๆๆๆๆๆ เสียงเตียงเหล็กของโรงพยาบาลสั่นส่งเสียงดังทำให้เขาได้สติเต็มตาและมองดูคนข้างกายที่เขากอดเอาไว้แฟรงค์ที่ตอนนี้กำลังใช้มือที่เขาปลดล้อคออกกำต้นแขนที่กอดเขาเอาไว้แน่นและทั้งตัวของแฟรงค์กำลังสั่นกระตุกแบบที่นางพยาบาลคนนั้นแจ้งอาการเอาไว้กับเขาแถมมันยังเหมือน เหมือนกับการกระตุกเกร็งของร่างกายคุณเดฟในฝันในตอนที่คุณเดฟได้ตกลงไปที่ชั้นล่างของบ้าน ทำไมละทำไมทั้งสองคนถึงมีอาการเดียวกัน

    “แฟรงค์ๆ ตื่นมามองผมสิตื่นมามองผม แฟรงค์ได้โปรด”

    เขาพยายามเขย่าตัวของแฟรงค์เรียกสติของแฟรงค์ให้กลับมาให้ลืมตาสักนิดก็ยังดีแต่ดูเหมือนว่าการเรียกของเขาจะไม่เป็นผลเขาจึงกดออดเรียกพยาบาลผู้ดูแลเข้ามาดูอาการของแฟรงค์ โชคดีที่ใช้เวลาไม่นานพยาบาลก็เข้ามาในห้องพร้อมกับหลอดยาและเข็มฉีดยาในมือ

    “เดี๋ยวครับ!!”

    ก่อนที่ยาเข็มนั้นจะปักลงไปที่ข้อแขนของแฟรงค์เขาเห็นว่าแฟรงค์ลืมตาขึ้นแล้ว เขาเห็นด้วยว่าแฟรงค์กำลังมองมาทางเขาด้วยสายตาที่เจ็บปวดแต่ในสายตาของความเจ็บปวดนั้นมันยังมีสายตาขอความช่วยเหลือปนอยู่ด้วย แต่เขาช้าเกินไปนางพยาบาลได้ทำการปักยาเข็มนั้นลงไปที่ข้อแขนของแฟรงค์แล้วและตอนนี้แฟรงค์ก็ได้หลับตาลงและกลับมาสงบอีกครั้ง

    “ผมบอกว่า…”

    เขาหัวเสียที่ทำไมนางพยาบาลไม่ฟังคำพูดของเขาหรือแม้กระทั่งไม่สังเกตุอาการของแฟรงค์ก่อนที่ฉีดยาเข็มนั้นลงไป แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักคำพูดที่จะต่อว่าเพียงแค่นางพยาบาลคนนั้นหันมาโดยที่มีใบหน้าที่เหมือนกับคุณเดฟมากแม้กระทั่งไฝใต้ตายังมีเหมือนกัน

    “คะคุณ?”

    เขาสบัดหัวไล่อีกทีเมื่อพยาบาลคนนั้นเอ่ยปากพูดกับเขา เมื่อเขาลองมองอย่างพิจารณาอีกครั้งเขาก็พบว่าใบหน้าของคุณเดฟนั้นได้หายไปแล้วเหลือเพียงแค่หน้าของพยาบาลที่เขาเห็นตอนที่เข้ามาในห้อง

    “ไม่มีอะไรครับ”

    “งั้นเดี๋ยวดิฉันจะเข้ามาเช็ดตัวและเปลี่ยนสายน้ำเกลือให้ ส่วนคุณถ้าอยากได้อะไรแจ้งทางเราได้นะคะ”

    “ขอบคุณครับ”

    เขายิ้มขอบคุณให้กับนางพยาบาลอีกครั้งก่อนที่เธอจะออกไปจากห้อง แต่แล้วรอยยิ้มของเขาก็ต้องหายไปแล้วเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่มีแต่ความหวาดกลัวเข้ามาครอบครอง

    เมื่อช่วงที่เธอหันกลับตัวจะออกไปจากประตูเขาเห็นเงาสองเงากระทบที่พื้นมันคงไม่แปลกถ้ามันมีไฟส่งมาแล้วเป็นมุมที่ทำให้เงาแยกออกมาเป็นหลายเงาได้แต่เขากลัวกับสิ่งที่เห็นอยู่มากขนาดนี้ก็เพราะหนึ่งในเงาเป็นเงาที่สูงกว่าอีกเงาไม่มีหมวกพยาบาลแต่เป็นทรงผมไม่ได้รวบและปล่อยสยายละที่ต้นคอที่สำคัญเงานั้นมันเป็นเงาของผู้ชายไม่ใช่นางพยาบาลสาวที่สวมกระโปรงคนนี้แน่นอน





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in