อาม่าที่ว่าก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก
"คนเขียน" เอ๊งงงง ใช่ค่ะ แน็ตเองค่ะ
เพราะไปโอซาก้าแบบเส้นเอ็นข้อเท้าอักเสบ ขอวีลแชร์ทุกสนามบิน เดินยังไงก็โดนเด็กสองขวบแซง อาม่าลงบันไดเร็วกว่า นึกภาพตามไปเนอะ ขำตัวเองตลอดเวลา
แล้วที่บอกว่า "ไม่อิน" เพราะตัวเองไม่เคยอินญี่ปุ่นเลย ชีวิตนี้ไปญี่ปุ่นมา 6 รอบแล้ว ทั้งเที่ยวเองทั้งเป็นแอร์โฮสเตสทำไฟลท์ไป ก็ไม่เคยมีรอบไหนที่บอกตัวเองว่า เด๋วจะกลับมา เวลาใครชวนมา vacation ที่ญึ่ปุ่นก็จะปัดตลอด จนมาถึงรอบนี้ รอบที่ 6 ที่ไปแบบมึนๆ กลายเป็นรูุ้สึกว่า ช้านต้องมาอีก ช้านต้องกลับมาให้ได้ แล้วช้านจะไปเมืองอื่นด้วย !
ทริปนี้ใช้เวลา 4 วันถ้วน นอกจากจะเป๋แล้วก็ยังเดินช้ามากด้วย ประเด็นคือ "เวลายังน้อยอีก !"
ได้วันหยุดกันมาแค่นี้จริงๆ กว่าจะตัดสินใจว่าจะไปไม่ไปคือก่อนวันเดินทาง 1 วัน
แพลนก็ไม่มี มีแค่แพลนวันแรก นอกนั้นเด๋วคิดอีกที โชคดีที่ชิวทั้งคู่เลยไม่ซีเรียส มีคติคือ ออกเที่ยงแต่ได้นอนอีกทีเกือบเช้า
สรุปทั้ง 4 วันนั้น เราก็เลยได้ไปแค่ 3 เมืองหลักๆค่ะ
O S A K A - N A R A - H I M E J I
Day 0 B K K - K I X
Day 1 K I X - O S A K A - N A R A - N A M B A
Day 2 N A M B A - S H I N S A I B A S H I -
D O T O N B U R I
Day 3 O S A K A - H I M E J I
Day 4 K I X - B K K - D X B
ทริปนี้อาจจะรีวิวไม่ละเอียดเท่าไหร่นะคะ ตอนแรกแน็ตไม่ได้ตั้งใจจะเขียนบลอคของทริปนี้ด้วยซ้ำ เพราะตัวแน็ตเองก็จะโฟกัสที่ขาตัวเองซะส่วนใหญ่และปากท้องของเราและเพื่อนร่วมทริปมากกว่าการหาที่เที่ยวและวิธีเดินทาง เอาเข้าจริงตัวแน็ตเองไม่ได้จัดการเรื่องแพลนอะไรเลย บอกแล้วว่าชิลล์ แค่ตัดสินใจว่าจะไปไหนอย่างเดียว ทั้งหมดขึ้นอยู่กับสภาพขาตัวเองค่ะ เพราะฉะนั้นทริปนี้ถ่ายรูปถือว่าน้อยมากๆ ถ้าเทียบกับทริปอื่นๆ (ถ้าไปอ่านสตอรี่เก่าๆก็จะรู้ว่าแน็ตรีวิวละเอียดแทบจะเหมือนคุณมีสัมผัสที่ 6 บอกทางคุณตลอดเวลา ไม่หลอนเนอะ) แต่พอเห็นจำนวนรูปทั้งหมดแล้วมันก็ไม่ได้น้อยนะ เขียนซะหน่อยดีกว่า รูปอาจจะไม่ละเอียดไม่ทุกชอตทุกตอน แต่ก็จะพยายามเล่าให้ไม่งงเนอะ
โชว์ความเอ็นข้อเท้าพังก่อน ไม่มีเทปพันเดินไม่ได้นะ
Day 0 B K K - K I X
เนื่องจากว่าเส้นเอ็นข้อเท้าอักเสบอย่างที่บอก ถึงกับต้องใส่เฝือกอ่อน ทางบริษัทจึงกรุณาให้เรากลับมารักษาตัวที่ไทยประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนหน้านั้น รอบนี้ก็เลยบินออกจากดอนเมืองค่ะ เทอร์มินอล 1 ซึ่งเราก็อ่านผิดให้พี่แท๊กซี่ไปส่งตรงเทอร์มินอล 2 พอเข้าไปถึง อ่าวเพื่อนอยู่ไหนว่ะ โทรหาสิ ปลายสายบอกว่า บินตปท.ก็ เทอร์มินอล 1 สิ ทำไงล่ะ ลากยาวสิคะ ไม่เป็นไรก็ค่อยๆไถๆไป เป็นการเริ่มทริปที่ smooth จริงๆ -_-
บอกตามตรงว่ามีอคติกับแอร์เอเชียเล็กๆ เพราะตอนเด็กๆ เคยนั่งไปกลับฮ่องกง สรุปว่ากลับมา เอ็นก้นกบอักเสบ ด้วยความที่เป็นคนขายาวมาก และปวดหลังง่าย (ตอนนั้นไม่ออกกำลังกายอ่านะ) แต่อยากบินกับเพื่อนเลยลองดูค่ะ
แล้วก็ประทับใจนะ เพราะตอนเชคอินก็บอกเค้าว่า ขาเจ็บ อยากขอวีลแชร์ที่โอซาก้า พอขึ้นเครื่องมา ก็เพิ่งมา realize กันได้ว่า เค้าจัดที่ข้างหน้าๆ ที่มันกว้างกว่าที่ปกติให้ เอาใจไปเลยค่ะ เพราะเวลานั่งห้อยขานานๆ ยิ่งในที่แคบๆ มันจะปวดขามาก แล้วไม่รู้จะพาดกับอะไร พอที่กว้างขึ้นมันก็ยังพอขยับได้บ้างเนอะ .... แล้วก็ เพิ่งรู้ด้วยว่า ซื้อน้ำซื้ออาหารบนเครื่องไม่รับบัตรเครดิต
ทำม๊ายยยยยยยยยย !?
Day 1 K I X - O S A K A - N A R A - N A M B A
ตัดภาพความง่อยความเหี่ยวบนเครื่องไปถึงโอซาก้าเลยล่ะกันเนอะ
เราถึงโอซาก้ากันตอน 8:45 am (โดยประมาณ)
ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก นั่งวีลแชร์ออกมา แหะๆ ได้เห็นนวัตกรรมบันไดเลื่อนที่วีลแชร์ขึ้นได้ครั้งแรกในชีวิตตื่นเต้นมากกก แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา กำลังตกใจ lol
พอออกมาเพื่อนก็จัดการไปซื้อบัตรรถไฟกับตั๋วบัสเข้าเมืองให้ เพราะเราก็เดินไม่ค่อยได้อยู่ดี ยืนเฝ้าของดีกว่าเนอะ
อย่าถามเรื่อง Osaka Thru Pass อะไรที่เห็นในพันทิป เพราะทริปนี้ไม่ได้ใช้ใบนั้นเลยค่ะ แล้วเพื่อนก็ไปซื้อบัตรหน้าตาแบบในรูปมาให้ เหมือนใบนี้จะใช้ได้ทุกอย่างยกเว้น ชินคันเซน เป็นคอนเซปท์เดียวกับบัตร T-Money ที่เกาหลีอ่ะค่ะ เติมเงินได้ (เรื่องเกาหลีถามเราได้เราเคยเรียนที่นั่นค่ะ แต่เรื่องญปเราไม่โปรเท่าไหร่) ยังไงก็แล้วแต่ อย่าเพิ่งเชื่อเรา 100% เนอะ เอารูปไปถามคนที่เค้าไปบ่อยๆ เค้าน่าจะให้ข้อมูลที่ accurate กว่านี้ค่ะ
แน็ตแนะนำให้ใช้บัสในการเดินทางระหว่างสนามบินเข้าเมืองหรือออกจากโอซาก้าไปสนามบิน เข้าใจว่ารถไฟอาจจะเป็นช้อยส์แรกที่เข้ามาในหัว แต่นั่งบัสยังไงก็สบายกว่า บัสสายที่เรานั่งกันมันก็จอดอยู่ป้ายเดียว ถ้าเป็นที่เกาหลีอาจจะต้องลำบากคอยฟัง แต่อันนี้หลับยาวได้เลยนะ
พอมาถึงที่พัก เราก็ settled down ขอรีเฟรชตัวเองหลังจากความอึดอัดบนเครื่องบินมาอย่างยาวนาน ให้เวลากับขาตัวเองแล้วเราก็ไป นารา กันค่ะ
เนื่องจากว่าเคลื่อนตัวช้ากัน กว่าจะถึงนาราก็ประมาณบ่ายสามกว่าๆ เรานั่งรถไฟไปจากโอซาก้าใช้เวลา 1 ชั่วโมงเองค่ะ
ที่ๆเราจะไปคือวัดโทไดจิ ที่ๆมีกวางเยอะๆ นั่นเอง ตื่นเต้นนน 55 เดินจากสถานีไปถึงวัดน่าจะนานอยู่ค่ะ แต่แน็ตเดินไม่ไหวจริงๆ เพื่อนเลยบอกว่านั่งแท๊กซี่ดีกว่าไม่เกิน 10 นาทีถึงหน้าวัด
การเดินทางจากโอซาก้าไปนารา : ขึ้นรถไฟที่สถานี Osaka-Namba ไปลงที่ สถานี Kintetsunara จากนั้นจะเดินหรือนั่งรถเมล์หรือนั่งแท๊กซี่ไปแบบแน็ตก็ได้ค่ะ
เวลาไม่ต้องเดินเยอะๆมันก็จะแฮปปี้หน่อยๆ :p
บัตรค่าเข้าวัดคนละ 500 เยนค่ะ มีวีลแชร์ให้ด้วยนะ ไม่แน่ใจว่าเช่าเสียตังหรือยืมฟรี ไม่ได้เข้าไปถาม เผื่อใครพาญาติผู้ใหญ่มาแล้วเดินไม่สะดวก พอขาเจ็บแล้วเข้าใจคนขาไม่ดีทันที
Daibutsuden Hall
เมื่อก่อนโน้น วัดนี้ใหญ่มากกก แต่ว่าโดนไฟไหม้เสียหายหมด (เพื่อนบอกมา) ที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้เป็น reconstruction ค่ะ มีความใหญ่แค่ 2 ใน 3 (อ้นนี้อ่านป้ายเอา) ของอาคารจริงที่สร้างไว้ในอดีต ถ้าเดินอ้อมไปหลังพระพุทธรูปจะเจอเป็นโมเดลจำลองวัดโทไดจิในสมัยก่อนค่ะ
ทุกวันนี้ก็เหลือแค่อาคารกลางที่เดียวเท่านั้น เดินไปก็นึกถึงสภาพสมัยก่อนว่ามันต้องขลังกว่านี้มากแน่ๆ ทั้งที่ตอนนี้ก็รู้สึกว่าขลังอยู่แล้ว
เดินวนต่อไปจะไปเจอกับทางลอดเล็กๆที่จะมีแต่เด็กๆตัวน้อยๆ เข้าไปลอดเล่น เค้าบอกว่า ถ้าใครได้มุดหรือลอดผ่านช่องนี้จะได้รับความโชคดีอะไรประมาณนั้นค่ะ คือ รูเล็กมากจริงๆ ถ้าเกิน 4 ขวบก็ไม่ควรพยายามมุดเข้าไปแล้วค่ะ อยากเห็นต้องบินไปดูเอง แน็ตมัวแต่เจ็บขา ไม่ได้ถ่ายรูปมา
จากนั้นก็จะเป็นโซนขายเครื่องรางค่ะ ซึ่ง ซื้อไม่ทัน ! เพราะเค้ากำลังจะปิดแล้ว ฮืออออออ อดเลย เด๋วไว้ไปซื้อใหม่ หาเรื่องไปญี่ปุ่นปีละร้อยครั้ง :)
ใบไม้ (เกือบ) เปลี่ยนสีพอดี
Nandaimon Gate
ตามทางออกที่จะเดินไปที่ Nandaimon Gate (ในรูปลิบๆ) ก็จะเจอ กวาง กวาง กวาง แล้วก็กวาง กวางที่นี่โหดจริง แน็ตอยู่มาจนจะแก่แล้ว เพิ่งรู้ตัวว่าเป็นคนกลัวกวางมาก กวางที่นี่ตามประชิดติดตัวแม้ว่าคุณจะมีอาหารให้มันหรือไม่ก็ตาม มันจะมาดมๆก่อนแล้วถ้าเราไม่มีมันก็จะเมินเดินไปหาคนอื่น ตอนแรกแพลนอย่างดีว่าเราจะป้อนอาหารกวาง หึหึ ไม่เอาแล้วกลัว แถวนั้นมีเซมเบ้ขายเอาไว้เลี้ยงกวางน้าาา เอาที่สบายใจเลยค่ะทุกคน แน็ตหนีก่อนล่ะ สุดท้ายเดินออกจากประตูไปเจอมันเผาของคนกิน เราก็ซื้อด้วยความตะกละโดยที่ลืมไปว่าฝูงกวางกำลังจ้องอยู่ ยังไม่ทันจะเอาเข้าปากเอง กวางเดินตามอย่างกะมีคณะผู้ติดตาม น่ากลัวมาก เราวิ่งก็ไม่ได้ จะก้าวขายังคิดแล้วคิดอีก เราเลยโยนมันเผาให้เพื่อนถือ 555555555 (รู้ตัวว่าเลว) พอมันเริ่มถอยๆไปเราก็เอามากินต่อ พอมันมาอีกก็โยนเปลือกให้ัมันกินแทน โยนแบบไม่มอง โยนไปข้างหลังแล้วรีบเดินไปเลย ไม่ก็โยนมันเผาทั้งอันให้เพื่อนถือไปเลย เลวต่อไป แล้วก็มีเพื่อนที่เคยไปมาบอกว่าระวังโดนมันกัด เราก็เลยหลอน ไม่ป้อนจากมือเข้าปากมัน อาจจะดูเว่อ แต่วันนั้นมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ยังขำตัวเองจนถึงทุกวันนี้
" หยุดนะ นี่คือการปล้น (อาหาร) ! "
กว่าจะเข้าไปยืนใกล้ขนาดนั้น ทำใจนานมาก
หลังจากนั้นเราก็ไปนั่งพักเท้าพักใจกันที่ Nara Park ค่ะ ขากลับเรานั่งรถเมล์กลับไปที่สถานีแล้วก็นั่งรถไฟกลับโอซาก้าค่ะ
ก่อนกลับบ้านนอนก็ต้องไปกินข้าวค่ะ เพื่อนพาไป Torikizoku กินไก่กินเบียร์ ร้านเสียงดังๆ นั่งฮาเสียงหัวเราะคนญี่ปุ่นโต๊ะข้างๆ ตะโกนแข่งกับโต๊ะอื่นแค่จะคุยกะเพื่อนตัวเอง ฮาดีค่ะ ได้ความญี่ปุ่นดี กินเสร็จก็ไปคีบตุ๊กตาคีบอยู่นานมาก ไม่ได้อะไรเลย
Day 3 N A M B A - S H I N S A I B A S H I - D O T O N B U R I
วันนี้เพื่อนไม่อยู่ เพื่อนทิ้งเราไปทำธุระของนาง ให้นางไปค่ะ แน็ตตื่นมาประมาณ 10 โมง จัดการเก็บของเก็บห้อง ตอนเก็บไปก็คิดไปด้วยว่า "วันนี้ไปทำไรดีว่ะ?" บอกแล้วว่าไปแบบชิลล์จริงๆ ที่คิดไว้ตอนแรกคืออยากไปหาที่ถ่ายรูป ลองเล่นกล้องที่เพิ่งได้มาจากเพื่อนอีกคนค่ะ หาข้อมูลในพันทิปไว้เรียบร้อย แต่วันนี้ดันเจ็บขามากๆ เลยพับแพลน นอนพักขา
พอประมาณบ่ายๆ เริ่มหิวค่ะ เลยมี motivation ฝืนเดินออกไป family mart ไปซื้อ ปูอัดไส้มายองเนส (recommended !!) กับ drinking yoghurt มากินรองท้องไปก่อน แล้วก็ได้คาร์ดิแกนจากร้านเสื้อผ้าแถวนั้นเฉ้ย เลยรู้ล่ะว่าวันนี้แหละวันชอปปิ้งของเรา แต่ก่อนอื่นต้องกลับไปพันเทปเท้าซ้ายให้แน่นกว่าเดิมก่อน วันนั้นอาการค่อนข้างหนักค่ะ จริงๆแล้วใครที่ใช้เท้าหนักๆรู้สึกเมื่อยๆ แต่ยังต้องเดินหรือยืนต่อแนะนำให้พันเทปอันนี้ไว้มันจะช่วยพยุงเท้าไว้ค่ะ มันเป็นเทปที่นักกีฬาใช้กัน บางๆ ใส่รองเท้าได้ไม่มีปัญหา มีขายที่ Super Sport ค่ะ
อ่ะๆๆๆ กลับมา อยู่ดีๆเป็นหมอเฉยเลยย
จริงๆวันนี้ไม่มีอะไรมากค่ะ เดินจากบ้านไป Dotonburi ผ่าน America Mura อย่างฮิป แน็ตชอบมาก
พอมาถึงป้ายกูลิโกะ สิ่งแรกคือ ตกใจคนก่อน คนหรือมด แล้วก็เพิ่งรู้จากเพื่อนว่าวันนั้นเป็นวันหยุดพอดี เพิ่งรู้วันนั้นเลย
ด้วยความที่ยังหิวอยู่ และต้องจัดการหนึ่งใน checklist ของตัวเอง นั่นคือ "ต้องได้กินทาโกยากิ" เราก็แล่นไปที่ร้านทาโกยากิก่อน ร้านในรูปบนเราไม่ไปค่ะ แถวยาวมากกกก หิวเกิ๊นนนน ก็เลยเดินไปอีกฝั่ง ฝั่งที่จะเดินไปอิจิรันค่ะ ผ่าน Forever21 ไปหน่อยนึง ร้านอยู่ด้านซ้ายมือค่ะ แน็ตว่ามันคือร้านเดียวกันแหละ แต่มีที่นั่งแบบหัวไม่เหม็น ร้านบนรูปมีที่นั่งเหมือนกัน แต่หัวเหม็นมาก อันนี้เป็นสาขาที่ติดกับ Konamon Museum .... มิวเซียมอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน หิวอย่างเดียวตอนนั้น
ฟินทาโกยากิแล้วเราก็เริ่มไป Matsumoto และชอปเสื้อผ้าไปเรื่อย ได้ตั่งหูมาอีก 2 คู่ แบบไม่ได้ตั้งใจ เวลาช๊อปปิ้งที่นี่อย่าลืมเอา passport ไปด้วยนะคะ เค้าทำ Tax Refund ให้ตรงนั้นเลย สะดวกมากๆ อยากให้ทุกประเทศเป็นแบบนี้ เดินไปเดินมา มืดค่ะ หิวอีกรอบค่ะ อีกหนึ่ง checklist ที่เราต้องทำคือ "ต้องได้กินปลาไหล" ด้วยความที่ขาเจ็บและเพื่อนไม่อยู่เลยต้องพึ่งพันทิปเอา ก็ไปเปิดเจอคนแนะนำร้านนี้ไว้ค่ะ Maido千日前たよし แต่แน็ตลืมถ่ายรูปหน้าร้าน เป็นร้านแบบคน local แจแปนนีส เข้าไปไม่มีนักท่องเที่ยวซักคน หรือเค้านั่งชั้น 2 กันก็ไม่รู้ ร้านนี้อยู่ข้างๆ อิจิรัน เลย ถึงก่อนอิจิรันด้วย ถ้าเลี้ยวมาจากนัมบะ แน็ตก็ไปตามgoogle mapแหละ แต่งงว่าทำไมเดินเลยรอบแรก ต้องเดินย้อนกลับมา สรุปคือมันอยู่ข้างๆแบบข้างๆจริงๆเลยมองข้ามไปตอนแรก
ก็เป็นข้าวหน้าปลาไหลที่ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ว้าวววว ถ้าเทียบกับราคาก็คุ้มกว่ากินที่ไทยนะ จำราคาเป๊ะๆไม่ได้ ตอนแรกจำมาตลอดว่า 1,030 เยน ตอนนี้ไม่แน่ใจ แต่มันไม่ได้แพงงงน่ากลัวนะ กลุ่มข้างๆทั้งซ้ายและขวาเค้าสั่งไข่ม้วนแล้วมีซุปขลุกขลิกด้วย เราไปคนเดียวเราก็ไม่กล้าสั่งง่ะ เราอิ่ม เหมือนจานนี้จะเป็นเมนูยอดนิยม ดูจากการที่เกือบทุกโต๊ะสั่ง รอบหน้าต้องไปลอง มันดูน่ากินจริงๆค่ะ อาหารร้านนี้ราคาน่าคบนะถ้าเทียบกับว่าอยู่ในย่านนี้แล้ว
พอจบมื้อนี้ แน็ตก็พังเลยค่ะ ยอมแพ้ เดินไม่ไหวแล้ว มีแค่แวะ Don Quijote แถวบ้านก่อนกลับไปพักขา แต่วันนั้นมันยังไม่จบแค่นั้นหรอกค่ะ เพราะการที่กินข้าวไม่หมด กินแต่ปลาเข้าไป ทำให้เราหิวตอนเที่ยงคืน 5555555 ก็เลยจบที่สิ่งนี้
รอบนี้เราลากผู้ร่วมอุดมการณ์ออกมาด้วยค่ะ กึ่งๆบังคับเพื่อนมากกว่า แต่เราหิวจริงๆนะ แล้วก็อยากด้วย โดยส่วนตัวไม่ชอบอิจิรันค่ะ มันเค็ม รอบนี้เลยลองสั่งแบบ light ทุกออปชั่น ก็เลยทำให้ซดน้ำซุปหมดโดยไม่ทรมานเท่าไหร่ (ปกติกินราเม็งกินแต่น้ำกับชาชูค่ะ ถ้าเส้นไม่อร่อยจริงๆจะกินเส้นไม่หมด)
คือมันก็เป็นสิ่งเดียวที่เปิด ณ เวลานั้น แล้วก็ไม่ต้องไปเสี่ยงเดาด้วยว่ารสชาดจะเป็นไง เพราะก็รู้ๆกันอยู่แล้วเนอะ แต่ยอมรับว่าไข่ต้มเค้าอร่อยจริง ชอบแค่นั้นแหละร้านนี้
โดยส่วนตัวแล้วชอบออกมาเดินเที่ยวตอนกลางคืน มันทำอะไรให้เห็นอีกมุมนึงของคนที่นั่น ซึ่งวันนั้นตรง ชินไซบาชิก็มีนักดับเพลิงมาเปิดหมวกร้องเพลง คนยืนฟังเต็มเลย เสียงเพราะนะเอาจริงๆ
ไปต่อหน้า 2 กันเนอะ :)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in