“สารวัตรไมเคิล เฟย์ จากทีมสืบสวนคดีอาชญากรรมพิเศษของเดอะยาร์ดใช่ไหม... ผมเข้าใจว่าอย่างนั้น” เขาเอ่ยขึ้นก่อน เมื่อผมไขกระจกรถลงเพื่อให้พูดและฟังเขาได้ถนัดขึ้น
กลิ่นประจำตัวของเขาบ่งบอกว่า เขาเป็นอัลฟ่า... และเป็นไฮอัลฟ่า ไม่ใช่อัลฟ่าธรรมดาทั่วไป
แม้ไม่ใช่คำทักทาย แต่ก็ฟังดูใกล้เคียง และยังโชคดีที่ผมไม่ตกใจจนเผลอเหยียบคันเร่งแทนเบรก ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ รอให้ผมออกจากรถมาพูดคุยกับเขา และคืนนี้คงเป็นคืนที่วุ่นวายและหนักหน่วงกว่าที่ควรจะเป็นอีกหลายเท่า
ผมไม่เคยพบเขา ทว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาดูคุ้นตาอย่างประหลาด กลิ่นของเขามีองค์ประกอบบางอย่างที่ชวนให้นึกถึงใครบางคน ท่าทีของเขาไม่ได้แสดงอาการคุกคามอย่างชัดแจ้ง ภาษาท่าทางเปิดเผยเกินกว่าจะเป็นคนร้าย ประเมินคนตรงหน้าดูแล้ว ผมใช้เวลาไม่มากนักในการตัดสินใจลงจากรถไปหาชายที่ก้าวขึ้นไปยืนมองผมอยู่อย่างพินิจพิจารณาอยู่บนทางเท้าหน้ารั้วบ้านของ ดร. ฟอล์กเนอร์
ถึงจะมั่นใจว่าผมได้แต่หวังว่า ตัวเองคงไม่ถูกอีกฝ่ายโจมตีด้วยอาวุธหรือถูกบีบให้แปลงร่าง เพราะตำรวจส่วนใหญ่ทั้งนอกและในเครื่องแบบในสหราชอาณาจักรไม่ได้รับอนุญาตให้พกปืนไปไหนมาไหนเหมือนกับตำรวจในสหรัฐอเมริกาหรืออีกหลายประเทศ และการเปลี่ยนร่างเพื่อใช้ศักยภาพในการต่อสู้ของร่างสัตว์ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้อย่างพร่ำเพรื่อหรือไม่มีเหตุผลอันสมควร
แสงไฟส่องสว่างริมถนนและโคมไฟเหนือประตูบ้านของ ดร. ฟอล์กเนอร์ ทำให้ผมเห็นหน้าคู่สนทนาได้อย่างชัดเจน
เขาเป็นชายผิวขาว ผมสีน้ำตาล รูปร่างสูง ไม่ใหญ่หนาแต่ก็ไม่เพรียวบาง อายุอยู่ในช่วงสี่สิบต้น ๆ อาจมากหรือน้อยกว่าผมไม่กี่ปี เขาเป็นคนหน้าตาดีแต่ไม่มีอะไรโดดเด่นนัก ยกเว้นดวงตาสีเขียวคมกริบที่จ้องมองมายังผมราวกับต้องการถอดรื้อผมออกเป็นชิ้น ๆ แล้วประกอบกลับเข้าเป็นร่างมนุษย์ใหม่เหมือนถอดประกอบหุ่นยนต์สักตัว แต่ก็ไม่แคร์ว่าจะทำชิ้นส่วนของผมหายไปสักชิ้นหรือสองชิ้นหลังจากประกอบคืนร่างจนแล้วเสร็จ
ยิ่งยืนประจันหน้า ผมยิ่งสัมผัสได้ถึงความเป็นอัลฟ่าระดับสูงของเขา แม้เราสองคนไม่ได้อยู่ในลำดับชั้นที่ด้อยไปกว่ากันเท่าใดนัก แต่ความสงบนิ่งและการวางท่าข่มกันอยู่ในทีทำให้รู้ว่า เขามีสถานะทางสังคมที่เหนือกว่าผมอย่างเห็นได้ชัด
เขาไม่ได้เห็นผมเป็นศัตรู แต่ก็ยังไม่เป็นมิตรด้วย ถึงไม่มีท่าทางคุกคาม แต่ก็แสดงความหวงกันอย่างไม่สงวนท่าที
เป็นเรื่องปกติที่ไฮอัลฟ่าส่วนใหญ่จะไม่ชอบกลิ่นของกันและกันตามธรรมชาติของการแย่งชิงตำแหน่งจ่าฝูง แต่มีบางอย่างในตัวเขาที่ใกล้เคียงและคล้ายคลึงกับกลิ่นของโทเบียส ฟอล์กเนอร์... กลิ่นที่ทำให้นึกถึงทุ่งหญ้าในฤดูใบไม้ร่วง
แม้จะยังไม่แสดงตัวว่าเป็นใคร แต่คาดเดาได้ไม่ยากว่า อัลฟ่าที่อยู่ตรงหน้ามีความสัมพันธ์อย่างไรกับโอเมก้าที่อยู่ภายในบ้านที่ผมแวะมาเยี่ยมเยียน
ท่าที สีหน้า กิริยาทั้งหมดที่เขาแสดงออกเป็นสิ่งที่ผมเคยทำมาแล้วทั้งนั้น ในวันที่อดีตสามีของน้องสาวผมมาหาที่บ้านเพื่อพูดคุยเรื่องการแต่งงานกับเธอ ขาดแค่เรื่องที่ผมไม่เคยไปยืนขวางหน้ารถของหมอนั่นอย่างเดียวเท่านั้น
“คุณสินะ สารวัตรเฟย์” เขาเอ่ยย้ำอีกครั้ง ไม่ใช่เพื่อความแน่ใจ เพราะผมเชื่อว่าเขารู้จักและมีข้อมูลของผมอยู่ในมือด้วยซ้ำไป “หรือผมควรจะถามว่า ใช่คุณหรือเปล่าที่มีข่าวว่าคบกับโทบี้”
“คำตอบแรก คือ ใช่... ผมคือไมเคิล เฟย์ จากแผนกสืบสวนอาชญากรรมพิเศษ” ผมบอก หยิบบัตรประจำตัวตำรวจออกจากกระเป๋าแจ็คเก็ตยื่นให้เขาดูเพื่อยืนยันตัวตน “คำตอบข้อสองของผมขึ้นอยู่กับว่า คุณอยากรู้เรื่องนี้ในฐานะอะไร และผมกำลังพูดอยู่กับใคร”
อัลฟ่าที่ยืนประจันหน้ากับผมขยับมุมปาก แต่ผมไม่แน่ใจว่านั่นควรนับเป็นรอยยิ้มได้หรือไม่
“ในฐานะพี่ชายคนโตที่อยากรู้จักอัลฟ่าที่ฝ่ากำแพงของน้องชายคนเล็กและเป็นโอเมก้าคนเดียวของครอบครัว และในฐานะหนึ่งในคณะกรรมาธิการความมั่นคงระหว่างประเทศ... ชัดเจนพอไหม”
“คุณยังตอบคำถามของผมไม่ครบ”
อัลฟ่าที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมทำเสียงหึในลำคอ หยิบบัตรประจำตัวออกมา แล้วยื่นให้ผมรับไปอ่าน “ทิโมธี ฟอล์กเนอร์... ถ้าคุณยังติดใจ ใช้มือถือถ่ายบัตรประจำตัวผมไว้ แล้วไปค้นหาในฐานข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยก็ได้”
“ไม่จำเป็นถึงขนาดนั้นครับ ขอบคุณมาก คุณฟอล์กเนอร์” ผมส่งบัตรคืนให้เขา
แม้ไม่ถึงกับไม่ใส่ใจการเมือง แต่งานของผมยุ่งเกินกว่าจะเที่ยวจดจำใบหน้าของนักการเมืองในประเทศ ทิโมธี ฟอล์กเนอร์ไม่ใช่ข้อยกเว้น ผมอาจคุ้นหน้าเขาจากข่าวบ้าง แต่ใช่ว่าจะจดจำได้ตั้งแต่แวบแรกที่มองเห็น แต่เมื่อได้ยินชื่อ ผมยอมรับว่าผมคิดไม่ถึงว่าโทเบียส ฟอล์กเนอร์และทิม ฟอล์กเนอร์จะเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน เพราะชายคนหลังมีชื่อเสียงในฐานะนักการเมืองรุ่นใหม่ที่ทำงานในตำแหน่งสำคัญด้านกิจการต่างประเทศและความมั่นคงภายในประเทศหลายฉบับด้วยกัน
“คุณได้คำตอบของคุณแล้ว คราวนี้จะตอบผมเรื่องความสัมพันธ์ของคุณกับน้องชายของผมได้หรือยัง” ทิโมธี ย้อนกลับไปยังคำถามที่ผมยังไม่ได้ตอบเขาก่อนหน้านี้
“ยัง คุณฟอล์กเนอร์” ผมส่ายหน้า “ผมยังไม่เข้าใจว่าทำไมกรรมาธิการด้านความมั่นคงระหว่างประเทศของรัฐสภาต้องสนใจคดีคนตกน้ำที่รีเจนท์สพาร์คด้วย และเหตุผลว่าเพราะน้องชายของคุณเป็นคนที่พยายามเอาชายคนนั้นขึ้นจากน้ำ ไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่เพียงพอสำหรับผม”
“คุณรู้เหตุผลนั้นอยู่แล้ว สารวัตรเฟย์” เขาว่า “ผมคิดว่าโทบี้น่าจะเล่าเรื่องความสัมพันธ์และภารกิจของเขากับเซบาสเตียน อาร์เชอร์ คู่หมั้นของเขาสมัยอยู่อัฟกานิสถานให้คุณฟังแล้ว และเซบาสเตียนก็เกี่ยวข้องกับคนที่เสียชีวิตที่รีเจนท์สพาร์คทางใดทางหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย”
คำพูดของเขาที่เน้นย้ำถึงอดีตคู่หมั้นของโทเบียส ฟอล์กเนอร์เหมือนปลายเข็มที่สะกิดเข้าเนื้อของผมไปหลายหน ไม่ได้สร้างความเจ็บปวดมากนักแต่ก็ก่อความระคายเคืองได้ไม่น้อย และผมจะไม่พยายามหลอกตัวเองว่าไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้
ผมอดคิดไม่ได้ว่าพี่ชายของ ดร. ฟอล์กเนอร์อยากทดสอบปฏิกิริยาบางอย่างของผม เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา เพราะคนส่วนใหญ่ต่างรับรู้ว่า ร้อยโทเซบาสเตียน อาร์เชอร์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของ ดร. ฟอล์กเนอร์มานานปี เคยประกาศหมั้นหมายกัน และผมพบประกาศหมั้นตามธรรมเนียมนั้นในหน้าโฆษณาของฐานข้อมูลหนังสือพิมพ์ และเมื่อนายทหารหนุ่มผู้นั้นจะเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ที่อัฟกานิสถาน นายแพทย์หนุ่มผู้เป็นคู่หมั้นก็ไม่มีข่าวว่าคบหากับใครอีกนับแต่นั้นเป็นต้นมา
“นั่นไม่ใช่คำตอบของคำถามที่ผมถามอยู่ดี” ผมยังยืนยันจุดยืนของตัวเอง “ผมต้องการคำตอบที่ตรงไปตรงมาจากปากของคุณเพื่อประกอบการตัดสินใจ ผมไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดของคดีในความรับผิดชอบกับบุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวกับคดีโดยตรงได้ ผมเชื่อว่าคนที่ทำงานเกี่ยวกับความมั่นคงอย่างคุณคงเข้าใจเรื่องนี้ดี”
ทิโมธี ฟอล์กเนอร์ยืนกอดอกมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนยกมือสองข้างขึ้นเสมอไหล่แทนการยอมแพ้ ถ้าตาไม่ฝาดไป ผมคิดว่าเขากำลังยิ้ม “ได้... ผมเข้าใจเหตุผลที่สื่อตั้งฉายาให้คุณว่า ‘สุนัขล่าเนื้อแห่งสก็อตแลนด์ยาร์ด’ แล้ว สารวัตร”
“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ” ผมตัดบท จงใจละที่จะต่อความเกี่ยวกับคำสัพยอกประโยคหลัง “สิ่งที่ผมอยากรู้จากคุณ ในฐานะที่คุณทำงานด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ คือ หนึ่ง คุณอยากได้ข้อมูลอะไรจากผม และ สอง ดร. ฟอล์กเนอร์ กับพี่น้องอาร์เชอร์เกี่ยวข้องอะไรกับคุณในคดีที่ผมทำอยู่บ้าง”
“เรียกผมว่า ‘ทิม’ ก็ได้ แล้วผมจะเรียกคุณว่าไมเคิล ถ้าคุณไม่ว่า” ทิโมธี ฟอล์กเนอร์บอก ใช้นิ้วหัวแม่มือชี้ไปทางประตูบ้านของ ดร. ฟอล์กเนอร์ “เราเข้าไปคุยกันในบ้านดี ๆ ดีกว่าผมเดาว่า คุณยังไม่ได้กินอะไรมาใช่หรือเปล่า ตอนนี้ มิสซิสดาร์ลตัน แม่บ้านที่มาดูแลโทบี้ในช่วงฮีทยังอยู่ ผมจะขอให้เธอทำอาหารง่าย ๆ กับชงชาให้ เราจะได้กินกันไปคุยกันไป ดีไหม”
ท่าทีของเขาดูเป็นมิตรมากขึ้นกว่าเก่า แต่ความเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างกะทันหันของเขาก็ทำให้ผมลังเลอยู่บ้างเล็กน้อย แม้จะเห็นภาพของตัวเองในฐานะพี่ชายที่มีน้องคนเล็กเป็นโอเมก้าทาบทับตรงกับเขาอยู่ก็ตาม เพราะในฐานะของผู้ที่เกี่ยวข้องกับพยานสำคัญคนหนึ่งในคดีของผมและมีความเกี่ยวพันกับงานด้านความมั่นคงทำให้ผมไม่มั่นใจนักว่า เขาจะช่วยผมให้ได้ข้อมูลมากขึ้นหรือดึงความสนใจของผมให้เบนออกไปจากภารกิจในอดีตที่น้องชายของเขากับอดีตคู่หมั้นเคยเข้าไปเกี่ยวข้องกันแน่ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมกังวลมากที่สุด
“ดร. ฟอล์กเนอร์อยู่ในช่วงฮีท... ให้ผมเข้าไปในบ้านจะดีหรือ”
ทิม ฟอล์กเนอร์มองผมก่อนยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่จริงใจที่สุดครั้งแรกที่ผมได้รับจากเขา
“ผมพอเข้าใจแล้วว่า ทำไมโทบี้ถึงชอบคุณ” เขาเปิดประตูรั้วให้ผมเดินเข้าไปในเขตบ้าน “ไม่ต้องห่วงหรอก น้องชายผมเป็นคนระวังตัว คุณคงรู้แล้วว่าเพราะอะไร คุณไม่ได้รับผลกระทบจากฟีโรโมนของโอเมก้าแน่ เพราะมิสซิสดาร์ลตันกับอัลเฟรดช่วยฉีดสเปรย์บล็อกไว้แล้ว ต่อให้เขาได้กลิ่นของอัลฟ่าแบบคุณ โทบี้ก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะพุ่งเข้าใส่ใครง่าย ๆ ผมเชื่อว่าคุณคงรู้นิสัยเขาอยู่บ้าง”
เขาพูดถูกทุกอย่าง และผมกลายเป็นฝ่ายที่ไม่มีอะไรจะเถียงหรือแย้งเขาบ้างแล้ว
ความจริง ผมมีกุญแจสำรองและรหัสสำหรับผ่านเข้าไปในบ้านของ ดร. ฟอล์กเนอร์ แต่ผมปล่อยให้พี่ชายคนโตของเขาจัดการเปิดบ้านให้ผมเข้าไปข้างใน และเปิดตู้ยาที่ติดอยู่ข้างทางเดินที่ตรงเข้าไปภายในห้องรับแขก แล้วหยิบบางอย่างโยนส่งให้ผมรับไว้
“ถ้าคุณยังไม่มั่นใจ ลองใช้นี่”
สิ่งที่อยู่ในมือผมเป็นขวดสเปรย์ที่ดูคล้ายกับสเปรย์ที่ใช้บล็อกกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าไม่ให้ส่งผลต่ออัลฟ่า แต่เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกันคนละขั้ว และผมค่อนข้างแน่ใจว่าไม่เห็นวางขายในตลาดทั่วไป หน้าตาของมันคล้ายสิ่งที่ถูกส่งตรงออกมาจากห้องทดลองของมหาวิทยาลัยหรือของรัฐ หรือโรงงานภายใต้กำกับของหน่วยงานราชการบางแห่ง
“สเปรย์ที่ใช้บล็อกกลิ่นของอัลฟ่าไม่ให้รบกวนโอเมก้า” ผมอ่านชื่อผลิตภัณฑ์นั้นออกมาและมองยังคนที่ส่งมันให้ผม
“มันเป็นผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยที่ดี แต่ขายไม่ค่อยออก” ทิโมธีบอก ผมเริ่มสังเกตได้ว่าเขามักใช้โทนเสียงเฉพาะตัวเวลาพูดความจริงที่ชวนหงุดหงิดใจ และความไม่สบอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในคำพูดเหล่านั้นเป็นของจริง ซึ่งเขาอาจตั้งใจให้ผมรับรู้จากการสังเกตเอาเอง เพราะเราต่างทำงานเกี่ยวกับความลับ การเก็บงำความลับและความรู้สึกเป็นสิ่งที่เราฝึกฝนมาจนแนบเนียน และผมเชื่อว่าเขาทำได้ดีกว่าผมมากแน่นอน “อัลฟ่าส่วนใหญ่คิดว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องลงทุนอะไร ในเมื่อมีผลิตภัณฑ์สำหรับโอเมก้าอยู่แล้ว”
“แต่ของที่ขายไม่ออกพวกนี้ก็ยังมีคนผลิตเอาไว้ใช้งานอยู่” ผมเปรย “ว่าแต่ ผมต้องใช้มันมากน้อยแค่ไหน”
นักการเมืองเลิกคิ้วน้อย ๆ รอยยิ้มยังไม่หายไปจากใบหน้าของเขา ดวงตาสีเขียวที่คล้ายกับดวงตาของ ดร. ฟอล์กเนอร์แต่กร้าวกว่ามากมองผมเหมือนแมวป่าเห็นนกเคลื่อนไหวอยู่ในพุ่มไม้ เขายื่นมือมารับขวดสเปรย์ไปจากผม ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองลง พ่นสเปรย์ในมือลงบริเวณสองข้างลำคอที่ตำแหน่งต่อมกลิ่นที่มีเฉพาะในอัลฟ่าและโอเมก้าเป็นอันดับแรกและบนเสื้อผ้าที่สวมอยู่ ใช้ไม่มาก และดูจะน้อยกว่าสเปรย์ที่โอเมก้าต้องใช้พ่นทั้งตัวเสียอีก
ใช้เวลาเพียงไม่ถึงนาที กลิ่นของอัลฟ่าที่ชวนอึดอัดสำหรับอัลฟ่าด้วยกันเองก็หายไป ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอด แต่แทบไม่ได้กลิ่นของอัลฟ่าจากตัวของทิโมธี ฟอล์กเนอร์ ถ้าไม่ได้พิจารณาบุคลิกลักษณะเฉพาะตัวแบบอัลฟ่าที่เขามีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ผมอาจคิดว่าเขาเป็นเบต้าเพศชายธรรมดาคนหนึ่งด้วยซ้ำไป
ผมรับสเปรย์มาจากเขาและทำแบบเดียวกัน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวเองหลังจากสเปรย์นั้นเริ่มทำงาน คือ รู้สึกแปลกเล็กน้อยที่รับกลิ่นของตัวเองได้น้อยมาก แต่การไม่มีกลิ่นแบบอัลฟ่าติดตัวทำให้เราสองคนต่างไม่อาจจัดวางลำดับชั้นของตัวเองด้วยกลิ่นได้เหมือนปกติอีกต่อไปแล้ว ความรู้สึกเหมือนมีบางอย่างขาดหาย อำนาจในฐานะอัลฟ่าถูกลิดรอนลงอาจทำให้อัลฟ่าบางคนไม่อาจยอมรับตัวเองและความว่างเปล่าแบบนี้ได้ และผมสามารถเข้าใจได้ทันทีว่า ทำไมผลิตภัณฑ์หลายอย่างที่มีผู้ทดลองทำมาเพื่อให้อัลฟ่าเป็นฝ่ายควบคุมตัวเองบ้างถึงไม่ได้รับความสนใจ
“มีคนคิดว่า สเปรย์บล็อกกลิ่นประจำตัวของอัลฟ่าจะทำให้เซ็กซ์เสื่อม” พี่ชายของ ดร. ฟอล์กเนอร์บอก มองหน้าผมเหมือนสำรวจปฏิกิริยาที่ได้รับคำกล่าวนั้น ขณะรับสเปรย์จากผมไปเก็บในตู้ “ดูเหมือนคุณจะไม่แคร์เรื่องนั้นสักเท่าไหร่มั้ง”
“ถ้าเรื่องแค่นั้นจะทำให้ใช้ชีวิตปกติไม่ได้ ผมคงเป็นอัลฟ่าที่ล้มเหลวน่าดู” ผมว่า “ผมไม่คิดว่าส่วนที่อยู่ตรงระหว่างขาจะช่วยให้ผมเลื่อนตำแหน่งในหน้าที่การงานของตัวเองได้หรอกนะ”
“ถ้าผมขอให้คุณใช้สเปรย์นี้เพื่อโทบี้ คุณทำได้ไหม”
เป็นคำถามที่ผมไม่คาดคิด และยิงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ไม่ว่าจะใช้เวลาคิดหรือไม่ คำตอบผมมีทางเดียว
คำตอบของผมทำให้ทิโมธี ฟอล์กเนอร์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“ผมดีใจที่ได้ยินแบบนั้น ไมเคิล... มีคนเคยพูดกับผมแบบนี้ และทำแบบที่คุณทำ แต่เขาตายไปแล้ว”
มีความนัยบางอย่างอยู่ในคำบอกเล่านั้น
“คุณหมายถึงเซบาสเตียน อาร์เชอร์”
ทิโมธีพยักหน้ารับหนักแน่น
“ไว้เรากินมื้อค่ำกันเรียบร้อยแล้ว ผมจะเล่าเรื่องปฏิบัติการที่อัฟกานิสถานให้คุณฟัง”
To be continued...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in