เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
A SUMMER TO REMEMBERแบงค์
Moscow in Translation: Prologue
  •            หลังจากเครื่องบินได้ทำการไต่ระดับมาสักพัก ผมบอกลาประเทศอันเป็นที่รักผ่านหน้าต่างเครื่องบิน ไร้การโบกมือ ไร้คำพูดบอกลา มีเพียงสายตาและความรู้สึกโปรยคำลาอันแสนเงียบงันลอยละล่อง หวังว่ามันจะส่งไปถึงผู้คนอันเป็นที่รัก

                   ผมแทบไม่ได้นอนจากเมื่อคืนเนื่องด้วยการที่ต้องเดินทางออกจากบ้านแต่เช้ามืด ความตื่นเต้นก็ไม่อาจต่อกรกับอาการอ่อนล้าได้ ผมปล่อยตัวเองสู่ห้วงการหลับใหล หยุดคิดเรื่องปลายทางสักงีบ

                    ผมลืมตาตื่นขึ้นเป็นระยะๆใช้เวลาไปกับการดูหนังบนเครื่องฯ ทานอาหาร หันออกไปดูวิวทิวทัศน์ข้างล่างที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆจากเมืองเป็นผืนป่าสีเขียว จากป่ากลายเป็นพื้นที่สีน้ำตาลแดงดูแห้งแล้ง บ้างก็มีชุมชนเล็กๆประปรายไปถึงมหาสมุทรอินเดียอันเวิ้งว้าง

                     เครื่องบินจากสายการบิน Air Astana สู่มอสโคว์ลำนี้ต้องทำการแวะเปลี่ยนเครื่องก่อนที่สนามบิน อัลมาตี้  คาซัคสถาน

                      แน่นอนว่ามันได้พาผมเคลื่อนผ่านประเทศที่ชื่อลงท้ายด้วยคำว่า“สถาน” มากมาย พร้อมไปกับแนวเทือกเขาหิมะอันประหลาดตาสำหรับผม 

    ทิวทัศน์แนวเทือกเขาฮินดูกุช บริเวณรอยต่อระหว่างประเทศอัฟกานิสถานและปากีสถาน 

                   เวลาผ่านไปราวๆ หกชั่วโมงเครื่องบินทำการลดระดับเพื่อเตรียมสู่การลงจอดจากท้องฟ้าครามพลันเปลี่ยนเป็นฟ้าสีเทาฉาบด้วยเม็ดฝนโปรยลงทุกย่อมหญ้าไปทั่วอัลมาตี้ดูเป็นวันที่แสนจะเหงาเหลือเกิน

                   เครื่องบินโบอิ้ง 757-200 ทำการลงจอดอย่างราบรื่นแม้ฝนจะตกมาไม่เบาก็ตาม อีกเกือบสามชั่วโมง ผมถึงต้องเดินทางต่อ

                                                      สนามบินอัลมาตี้ คาซัคสถาน ในวันฝนตก  

                   ผมปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปด้วยการอ่านนิยายและฟังเพลงสัญญาณไวฟายก็ใช้การไม่ได้และสนามบินแห่งนี้ก็เล็กเหลือเกินในการเดินเตร็ดเตร่อาหาร เครื่องดื่ม และของปลอดภาษีก็ต้องจ่ายเป็นเงินสกุลยูโรซึ่งผมไม่ได้แลกมาช่างฟังดูน่าเบื่อแต่รอได้เพื่อปลายทางที่ผมเฝ้าฝัน  

                     ดูท่าว่าฝนตกหนักขึ้นส่งผลให้เที่ยวบินของผมดีเลย์ไปหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็ถึงเวลาเรียกขึ้นเครื่องสภาพอากาศที่อัลมาตี้หนาวจับใจ แต่เมื่อมาถึงตัวห้องโดยสารกลับร้อนอบอ้าวเหลือทนพร้อมกันผู้โดยสารมากมายอัดแน่นไปทั่วทั้งลำ

                         เครื่องบินโดยสาร แอร์บัส 321พุ่งทะลุผ่าเมฆฝนสู่ท้องฟ้าอันแสนเงียบสงบเผยให้เห็นทัศนียภาพอันแสนประทับใจ เหมือนกับว่าความมืดกำลังวิ่งไล่จับตัวผมพยายามกลืนกินให้ผมรวมเป็นหนึ่งกับยามค่ำ แต่ผมไม่สนผู้ไล่หลัง ผมมุ่งไปข้างหน้าที่ซึ่งมีแสงสว่างยากที่จะหยุด  แม้รู้ดีว่าผมไม่อาจหนีพ้นความมืดนั้นก็ตาม

                                                               วิ่งไล่จับกับราตรีกาล 

  •                 
                     สามชั่วโมงอันยาวนานกว่าที่คิดได้ผ่านพ้นไปเสียทีขณะนี้เวลาราวๆ สามทุ่ม ตามเวลาท้องถิ่นในมอสโคว์ผมเคลื่อนผ่านท้องฟ้ากรุงมอสโคว์ด้วยความสูงที่ถูกลดระดับลงอย่างต่อเนื่อง แม้เป็นเวลาที่ดูดึกแล้วสำหรับชาวไทยแต่สำหรับที่นี่นั้นพระอาทิตย์พึ่งจะลาลับขอบฟ้าไป เห็นริ้วสีสมของแสงอาทิตย์ที่ยังหลงเหลือเพียงน้อยนิดตัดกับท้องฟ้าสีมืดมนอย่างลงตัว ประดับตกแต่งด้วยแสงไฟศิวิไลซ์ของเมืองหลวงมหาอำนาจประเทศนึงของโลก 

                อีกไม่กี่อึดใจ ผมจะได้สัมผัสดินแดนแห่งนี้เต็มสองเท้าของผมแล้ว


                ขณะนี้ถึงสนามบินเชเรเมียเตโว (Sheremetyevo) เป็นที่เรียบร้อย ณ เวลาเกือบสี่ทุ่ม ผมผ่านตม.อย่างราบรื่นบทสนทนาระหว่างผมกับเจ้าหน้าที่มีเพียงแค่ผมฝ่ายเดียวเท่านั้นที่เอ่ยปาก “สวัสดีครับ” “ขอบคุณครับ” มีเพียงเท่านั้น ไร้การซักถาม ไร้การขอดูเอกสารเพิ่ม และไร้รอยยิ้ม มีเพียงส่งพาสปอร์ตคืนให้แนบด้วยเอกสารที่”สำคัญ”อย่างยิ่งในการอยู่ในประเทศนี้เท่านั้นและแน่นอนอีกว่าไร้คำแนะนำ


                                             ใบสำคัญที่ตม.ให้มา คุณจะได้รับชื่อ-สกุลเป็นอักษรซีรีลลิกเป็นที่ระลึก


                 เนื่องจากผมเคยได้ยินมามากมายเกี่ยวกับความเย็นชาของคนรัสเซียผมเลยรู้สึกว่านั่นไม่ใช่ปัญหาอะไร และผมกลับรู้สึกผ่อนคลายกว่าที่คิดเสียอีก


                 ผมออกไปรอข้างนอกสนามบิน สัมผัสอากาศมอสโคว์ครั้งแรกอากาศเย็นสบายและไม่หนาวอย่างที่คิด อาจเป็นเพราะช่วงเวลานี้รัสเซียกำลังเข้าสู่ฤดูร้อนส่งผลให้อากาศนั้นเหมือนผสมผสานอากาศเย็นจากเหมันต์ที่แล้วกับความอบอุ่นของคิมหันต์ที่ใกล้เข้ามาอย่างลงตัว เป็นมิตรต่อชายชาวเอเชียซึ่งไม่เคยพบพานหิมะมาทั้งชีวิตเป็นอย่างยิ่ง


                 รอไม่นานรถจากที่ก็ได้เดินทางมาถึง มุ่งหน้าสู่ที่พักประจำค่ำคืนนี้ทันที เมื่อมาถึง ผมทำการเช็คอิน จ่ายเงิน อย่างไม่รอช้าท่ามกลางความตะกุกตะกักบ้างในการสื่อสารเนื่องจากทางที่พักแทบไม่มีคนพูดอังกฤษได้เลยแต่ทุกอย่างก็ผ่านมาอย่างราบรื่นเรียบร้อยดี


                 ห้องกว้างขนาดกำลังพอดีกับการพักผ่อนชั่วคราว ความกว้างประมาณห้าตารางเมตร ไม่มีเครื่องปรับอากาศเพราะหาได้จำเป็นไม่ เพียงแง้มหน้าต่างออกเพียงนิดเดียวก็เย็นสบายไปตลอดการหลับใหลแล้ว ผมทำการเตรียมความพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้จนถึงวันมะรืนซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ผมอยู่ที่มอสโคว์ 


                  กว่าผมจะจัดการทุกอย่างเสร็จก็ปาเข้าไปตีสามแล้ว อาการเจ็ทแลคหรือเหนื่อยล้าก็ไม่สามารถหยุดความตื่นเต้นกับเช้าวันพรุ่งนี้ได้เลยแม้จะเดินทางมาอย่างยาวนานก็ตาม อย่างไรก็ตามไม่เป็นเรื่องที่ดีแน่ถ้าคืนนี้ไม่พักผ่อนให้เพียงพอ พลันหลับตาลง เฝ้าฝันถึงมอสโคว์ยามเช้าวันต่อไป


    ฝากตัวด้วยครับ รัสเซีย….

            

  •                เช้าตรู่วันถัดมา ผมถูกปลุกด้วยเสียงนาฬิกาปลุกอันคุ้นเคยในสถานที่ห่างไกลกับคำว่าคุ้นชิน ท้องฟ้าครามสดใสทักทายผมผ่านหน้าต่างและรอต้อนรับอยู่ภายนอก

                    ผมจัดการตัวเองให้เรียบร้อยเพื่อที่จะเดินทางกลับไปที่สนามบินเชเรเมเตียโวที่เดิม หากแต่ว่ากลับไปเพื่อขึ้นรถไฟ Aeroexpress สู่ใจกลางมหานครที่รอผมอยู่

                    ระหว่างทางผมได้ลองพยายามพูดคุยกับพี่คนขับรถเบื้องต้นเกี่ยวกับการเดินทางและข้อแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยว ผลปรากฎว่า...
                      
                     ต่างคนต่างไม่รู้เรื่องครับ...

                     เนื่องจากผมซึ่งพูดได้เพียงภาษาอังกฤษ และพี่แกที่พูดได้แต่ภาษารัสเซีย กลายเป็นช่วงเวลาแห่งความมึนงง เราจึงได้ทำการใช้ภาษามือประกอบในการสื่อสาร จากที่ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยว กลับได้เป็นภาษารัสเซียเพื่อชีวิตประจำวัน101 มาแทน
              
                     จะว่าไปก็ตลกดีนะครับ ภายใต้ความเคร่งขรึมของคนรัสเซียกลับซ่อนด้วยอารมณ์ขันอันแสนเรียบง่าย ดังเช่นพี่คนขับคนนี้ ซึ่งตลอดเวลาที่ได้เห็นเค้า เค้าแทบจะไม่ยิ้มหรือหัวเราะเลย แต่กลับหัวเราะและยิ้มให้กับบทสนทนาอันตะกุกตะกักและจับใจความได้ยากนี้ 

                       ผมอำลากับพี่คนขับรถ โดยที่พี่แกได้มอบของที่ระลึกเป็นเงินสัญชาติยูเครนมา ผมทำการแลกเปลี่ยนกับพี่แกด้วยเงินสกุลไทยที่ผมมีอยู่ด้วยเช่นกัน นับเป็นเช้าที่เริ่มต้นได้ดีเกินกว่าที่คิดไว้

     การต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพี่คนขับรถ Спасибо !
                    เวลาไม่เคยรอใคร เช่นเดียวกันกับรถไฟ... 

                     ค่าโดยสารราวๆ สองร้อยห้าสิบบาทไทยถูกจ่ายไป ใช้เวลาประมาณ สี่สิบห้านาทีสู่ปลายทาง

     จากสนามบิน Sheremetyevo สู่ สถานี Belorussakaya

                    จากย่านชานเมืองสู่พื้นที่ในเมือง ตึกมากมายผุดขึ้นเป็นระยะๆ ไปตลอดทาง เป็นสัญญาณว่าใกล้ถึงที่หมายแล้ว

                    รถไฟเคลื่อนมาถึงสถานี Belorusskaya เป็นที่เรียบร้อย สิ่งที่ผมต้องทำต่อจากนี้คือย้ายไปต่อ เมโทร หรือรถไฟใต้ดิน เพื่อเดินทางต่อไปที่ Arbat Street เป็นที่ตั้งของโฮสเทลที่ผมจะเข้าพักคืนนี้ รวมถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศรัสเซีย

     สถานีรถไฟ Belorusskaya ที่ซึ่งผมพึ่งเดินออกมา

                    ขณะนี้อุณหภูมิราวๆ ยี่สิบห้าองศา ฉาบด้วยแสงแดดในระดับพอดี อากาศเหมาะสมเหลือเกินกับการออกมาใช้ชีวิตข้างนอก เพื่อพบเจอกับความสวยงามของหน้าร้อน ฤดูแห่งความมีชีวิตชีวา

                      ผมพร้อมสัมภาระใบโตน้ำหนักเกือบยี่สิบกิโลกรัมกำลังเคลื่อนที่พร้อมกับฝูงชนมากมายหมายมุ่งสู่สถานีรถไฟใต้ดินซึ่งห่างออกไปไม่ไกล พร้อมกับในมือที่ถือโทรศัพท์ไว้ใช้แปลภาษารัสเซียอย่างคร่าวๆ 

                       ผมหลงอยู่ท่ามกลางความไม่รู้อย่างแท้จริง มีเพียงโทรศัพท์พร้อมอินเตอร์เน็ตที่เป็นเหมือนแสงไฟนำทางสู่จุดหมาย ผมจ้ำไปข้างหน้าอย่างมีความมั่นใจเยี่ยงคนสัญชาติรัสเซียแม้ในหัวไม่สามารถอ่านอักษรซีรีลลิกได้ออกเลย

                       จนได้มาเจอสัญลักษณ์ของเมโทร ผมไม่รอช้าที่จะเข้าไป แล้วทำการซื้อตั๋วแบบเหมาจ่ายยี่สิบเที่ยว เฉลี่ยราคาต่อเที่ยวก็ตกเกือบๆยี่สิบบาท ผมไม่รอช้า รีบพาตัวเองและกระเป๋าลงบันไดเลื่อนอันสูงชันอย่างทุลักทุเล

     รู้สึกเหมือนอยู่ในหนัง Sci-Fi สักเรื่อง

    (ปล.สำหรับการพาเที่ยวสถานีรถไฟในมอสโคว์ ไว้ติดตามในเร็วๆนี้นะครับ)
     
       

                     ผมใช้แอพฯ Yendex ในการเทียบชื่อสถานี โดยตัวแอพจะมีให้ใช้ทั้งภาษารัสเซียและภาษาอังกฤษซึ่งอำนวยความสะดวกตลอดทริปของผมเป็นอย่างมาก  

    แน่นอนว่าผมอ่านไม่ออก แต่เมื่อเดินทางบ่อยขึ้นก็เริ่มคุ้นเคยมากขึ้น

                     ผมพาตัวเองและสัมภาระใบโตมาจนถึงสถานีเป้าหมาย มีเพียงปัญหาเดียวเท่านั้นคือ สถานี Arbatskaya สายสีฟ้า ไม่มีบันไดเลื่อน... ผมไม่มีทางเลือกนอกจากใช้สองมือแบกมันขึ้นสู่ผืนดินด้วยตัวเอง 

                       ผมแบกกะเป๋าขึ้นมาอย่างทุลักทุเลจนออกมาสู่ภายนอกสถานีอย่างสมบูรณ์พร้อมอาการเหนื่อยหอบ ลมหนาวกำลังเบาออกมาทักทาย ช่วยให้ผมลืมอาการเมื่อยล้ากล้ามเนื้อไปบ้าง

                      ผมเดินไปตามถนน Arbat เสาะหาที่พักที่ได้จองไว้สำหรับค่ำคืนนี้ แม้รู้ดีว่ายังไม่ถึงเวลา Check-in แต่แค่ได้ปล่อยวางสัม"ภาระ" จะเป็นเรื่องดีต่อการท่องเที่ยวในวันนี้เป็นอย่างมาก 

    สถานี Arbatskaya สายสีฟ้า 

                    ถนนอาบัติ (ขออนุญาติเรียกชื่อนี้) ในช่วงเช้ายังไม่คึกคักมากนัก มีเพียงร้านอาหารเช้าและร้านกาแฟเท่านั้นที่เปิด ผมพบกับโฮสเทลเป้าหมายผ่านการช่วยเหลือจากคนท้องถิ่น แม้การสื่อสารภาษาอังกฤษจะเป็นไปได้ยากกับคนส่วนใหญ่ที่นี่ และความไม่เป็นมิตรจากภายนอกที่สัมผัสโดยคร่าวๆ 

                    ลักษณะภายนอกของชาวรัสเซียก็คงเหมือนน้ำแข็งปั่นเกล็ดหิมะก่อนตกแต่งจนเสิร์ฟเป็นบิงซู ดูลักษณะเย็นชาและแข็งทื่อไม่น่าอภิรมย์ แต่เมื่อได้สัมผัสจริงๆก็พบว่า คนที่นี่ส่วนใหญ่นั้นกลับอ่อนโยนและเป็นมิตรโดยไม่ได้แสดงออก 

                     การช่วยเหลือที่เกิดขึ้นนั้นมาในรูปแบบที่หลากหลาย ไม่ว่าจะชี้ทางด้วยนิ้วบ้าง เปิดรูปให้ดูบ้าง รวมไปถึงการเดินพาไปถึงที่ (ตัวผมก็เดินตามอย่างว่าง่าย โดยไม่คำนึงถึงเลยว่าเค้าจะเป็นมิจฉาชีพหรือเปล่า) 

                       เมื่อมาถึง ผมทำการรายงานตัวคร่าวๆและฝากกระเป๋ากับที่พักเป็นที่เรียบร้อย พร้อมแล้วสำหรับการออกลาดตระเวนกรุงมอสโคว์ แต่เดี๋ยวก่อน... ผมยังไม่ได้ทานข้าวเลยนี่นา 

                       ผมออกเดิน เสาะแสวงหาร้านอาหารในย่านที่พักของผม จนมาเจอร้าน My-My (ออกเสียงว่า Mu-Mu) เป็นร้านแนวๆข้าวแกงบ้านเราที่มีการต่อแถวแล้วเลือกเอาว่าจะเอาอะไรบ้าง โดยมีครบทั้งของคาวและของหวาน โดยครั้งแรกของผม ผมไม่มีเมนูในใจเป็นพิเศษจึงทำการชี้มั่วเลย เนื่องจากหิวจนหน้ามืดตามัว ค่าเสียหายราวๆ 250 กว่าบาท อาหารรสชาติค่อนข้างเลี่ยนแต่ไม่แย่นัก ได้แปรสภาพเป็นพลังงานต่อร่างกาย แม้ท้ายที่สุด ผมจะกินไม่หมดก็ตาม

     ซีซ่าร์สลัด,ขนมปัง,ซุปเนื้อไก่,มันฝรั่งทอด,เสต็กเนื้อ และ น้ำแครนเบอรี่ สำหรับเช้านี้

                      มื้อแรกกับอาหารรัสเซียผ่านไปโดยความพึงพอใจคาบเส้นแต่ความอิ่มเกินคาด พร้อมออกไปเดินทอดน่องในมหานครอันเปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์ โดยสถานที่แรกประจำทริปนี้คือการไปเยือน สนามฟุตบอลลุจนิกี สนามประจำชาติรัสเซีย... 


                      

  •                      ขอเท้าความก่อนว่า ประเทศรัสเซียได้รับการคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2018 ซึ่งจะเริ่มฟาดแข้งในอีกสองสัปดาห์ในช่วงที่ผมอยู่ที่นั่น โดยสนามแห่งนี้จะถูกใช้ในนัดเปิดสนามและนัดชิง รวมถึงนัดอื่นๆอีกราวๆ ห้าเกม 

                          สำหรับผม ผู้คลั่งไคล้ในเกมลูกหนังคนนึงและบังเอิญว่าได้มาเที่ยวรัสเซียในช่วงนี้ ก็ไม่อยากพลาดโอกาสมาสัมผัสสนามที่จะใช้ในมหกรรมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก 

                          ผมเดินทางมาถึงสนาม ด้วยรถไฟใต้ดินพร้อมเดินเท้าต่ออีกหน่อย ตลอดทางที่เดินผ่านมาก็ดูเหมือนว่าตัวสนามยังคงปรับปรุง ไม่สามารถเข้าไปทัวร์ได้ในฐานะคนทั่วไปผู้ไม่มีบัตร FAN ID
     สถานี Sportivnaya อันดูแข็งแกร่ง
    ลุจนิกี อีก 150 เมตร
                         สิ่งที่ผมทำได้ มีเพียงเดินดูบรรยากาศรอบๆ สัมผัสความยิ่งใหญ่ของตัวสนาม มนต์ขลังแห่งกีฬา และ ประวัติศาสตร์ ผ่านสองตาของผม แม้จะไม่เป็นดั่งที่หวังไว้ก็ตาม... 
    สนามกีฬาแห่งชาติ ลุจนิกี
    เป็นรูปปั้นที่มีทุกที่... "อดีตท่านผู้นำโซเวียต วลาดิเมียร์ เลนิน"
    อนุสรณ์สถานความโศกของแฟนบอลเชลซี... เนื่องจากสนามแห่งนี้เคยใช้เป็นนัดชิงยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก ระหว่าง แมนฯยูไนเต็ดพบเชลซี เมื่อปี 2008 ส่วนผลนั้น ผมไม่ขอกล่าว... (ขอไปแอบร้องไห้สักครู่)
    ด้านหลังสนามเป็นลานโล่ง และ ตึกตรงนั้นคืออาคารของ มหาวิทยาลัยมอสโคว์ 

                     แม้จะเป้าหมายแรกจะไม่เป็นอย่างที่หวัง แต่สิ่งที่ได้สัมผัสก็นำมาหักล้างจนเกินความอิ่มเอมทางด้านความรู้สึก ผมเดินกลับไปที่เมโทร(รถไฟใต้ดิน) อีกครั้ง เตรียมพร้อมสำหรับแลนด์มาร์คประจำประเทศอันโด่งดัง จุดที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องมา ใช่แล้วครับ "จตุรัสแดง" นั่นเอง



    โปรดติดตามได้ในบทต่อไป เร็วๆนี้ครับ 


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in