ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความหิว
พลิกข้อมือดูนาฬิกาเพิ่งจะ7 โมงกว่า แสดงว่าหลับไปได้แค่ 30 นาที
ในเมื่อนอนต่อไม่หลับแล้วเพราะท้องร้อง เลยเปิดจอดูว่ามีหนังอะไรบ้าง ฉันเลือก MIB ภาคล่าสุดเพราะคิดว่าน่าจะดูง่าย ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ ระหว่างที่เปิดหนังไปได้ประมาณสิบกว่านาที พนักงานก็ยกอาหารเช้ามาเสิร์ฟ
ฉันเลือกหมี่ผัดกุ้ง รสชาติเค็ม ๆ อร่อยดีมั้ง กินไปเกือบหมดด้วยความหิว ก่อนจะตามด้วยขนมปัง โยเกิร์ต และผลไม้
แปลว่ากินเกลี้ยงนั่นเอง
แต่พอท้องอิ่มแล้วกลับหลับต่อไม่ลง ฉันเลยนั่งจดบันทึกเรื่องที่เจอเพื่อนใหม่หน้าเกทE4 ลงในมือถือเพราะกลัวจะลืม พอคิด ๆ ไปแล้วการเดินทางคนเดียวมันก็น่าจะดีตรงนี้มั้ง ทำให้กล้าคุยหรือกล้าทำในสิ่งที่คิดว่าถ้ามากับคนอื่นเราคงจะไม่ได้ทำ
พอจดบันทึกเสร็จก็ตั้งใจว่าจะดูหนังต่อ แต่บอกตามตรงว่าหนังไม่สนุกเลยหยุดดูแล้วเปลี่ยนเป็นฟังเพลงแทน
พอฟังเพลงแล้วก็ผล็อยหลับไปในที่สุด รู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงสัญญาณรัดเข็มขัดเพื่อเตรียมตัวแลนดิ้งแล้ว
ฉันมองผ่านหน้าต่างลงไปยังเบื้องล่าง มองเห็นผืนน้ำทะเลสีเข้มก่อนจะค่อย ๆมองเห็นฝั่งตามด้วยตึกสูงนับสิบ เห็นแล้วก็อดนึกถึงแผงเมนบอร์ดไม่ได้ ฉันนั่งมองมันอยู่อย่างนั้นพลางคิดในใจว่าตม.จะถามอะไรบ้างนะ เดินทางมาคนเดียวแบบนี้จะโดนเรียกเข้าห้องเย็นไหม ในหัวพาลนึกไปถึงประสบการณ์ที่เพื่อนเคยเจอตม.ฮ่องกง การเป็นสตรีสัญชาติไทยเดินทางด้วยตัวคนเดียวแบบนี้ดูเหมือนจะเป็นที่เพ่งเล็งอยู่เสมอๆ
พอเครื่องจอดสนิท ผู้โดยสารก็ทยอยกันลง ฉันกวาดสายตามองไปรอบ ๆ คนน่าจะไม่ถึง 1 ใน 3 ของลำมั้งเนี่ย พอเดินออกมาฉันก็เจอรูบี้ ผู้หญิงที่เจอกันหน้าเกท E4 เราเดินคุยกันจนฉันแยกไปทางตม. ส่วนรูบี้เดินไปหาซื้อซิมการ์ดเพื่อจะติดต่อกับทางบ้านและขอตัวไปช้อปปิ้ง
ตม.แถวไม่ค่อยยาวเท่าไหร่ หรือจะพูดให้ถูกคือไม่มีคิวด้วยซ้ำ ฉันเลยเลี้ยวเข้าห้องน้ำก่อนจะเดินตรงไปเจอเจ้าหน้าที่เป็นผู้หญิงที่ดูท่าทางจะอายุน้อยกว่าฉัน เธอมองหน้าแล้วเริ่มยิงคำถาม
“มากี่วัน”
“5วัน”
“มากี่คน”
“คนเดียว”
“คนเดียวเหรอ ?” น้ำเสียงและสีหน้าเริ่มเปลี่ยน ฉันเลยส่งยิ้มแล้วตอบกลับไป
“ใช่ มาดูคอนเสิร์ต คอนเสิร์ตเล่นวันนี้”
“คอนเสิร์ตอะไร มีตั๋วไหม”
กะแล้วว่าต้องถาม ฉันเลยหยิบปึก(?)เอกสารที่มีทั้งเอกสารการรับบัตรคอนเสิร์ต ตั๋วนิทรรศการจิบลิที่ปริ๊นออกมาแล้ว ใบจองห้องพักทั้ง 2 แห่ง และรายละเอียดการจองตั๋วเครื่องบิน
เธอดูเอกสารทุกแผ่นก่อนจะคืนให้ฉันกลับมาก่อนจะตามด้วยส่งพาสปอร์ตให้ ฉันเลยเลิกคิ้วถามเธอก็ทำหน้าเนือย ๆแล้วบอกว่าไปได้
หน้าตาแม่งไม่ค่อยจะเป็นมิตรเลย
แต่ตม.ก็แบบนี้ป่ะวะ
ฉันยักไหล่ก่อนจะเดินไปยังสายพานรับกระเป๋า สัมภาระที่น้อยพอ ๆ กับผู้โดยสารค่อย ๆทยอยกันไหลมาตามสายพาน ไม่นานเท่าไหร่กระเป๋าเดินทางสีแดงเข้มที่แปะสติ๊กเกอร์ของฉันก็ค่อยๆ เคลื่อนที่เข้ามาใกล้ ฉันจึงลากมันลงมาแล้วเดินไปตามป้ายบอกทางเข้าเมือง
แต่เอ๊ะ... เราลืมอะไรไปหรือเปล่านะ
เออ... จากรีวิวเขาบอกว่าต้องซื้อ Octopus จากสนามบินเลยนี่นา ตอนนั้นนึกไม่ออกจึงเดินเข้าเซเว่นก่อน หยิบลูกอมคุมะมงมา 1อันแล้วถามพนักงานว่าที่นี่มี Octopus Card ขายไหม ได้ความว่าต้องเดินไปซื้อตรงเคาน์เตอร์ที่เพิ่งเดินผ่านมา
ฉันลืมไปว่าที่นี่ไม่เหมือนไทเปที่มีEasy Card ขายแทบจะทุกร้านสะดวกซื้อ แถมยังมีลายน่ารัก ๆ เต็มไปหมด
พอเดินไปตามทางที่เขาชี้ก็เห็นเคาน์เตอร์และตู้ขายอะไรสักอย่างที่ดูเป็นตู้อัตโนติมัติ เราเลยเดินไปต่อแถวแล้วกดซื้อ Octopus มา 1 อัน ในบัตรดูเหมือนจะมีเงินอยู่ 150 ดอลลาร์ เลยเติมไปอีก 100 ยังไงก็คิดว่าใช้หมดอยู่แล้ว
พอได้Octopus ก็เดินไปตามป้ายรถบัสที่เข้าเมือง คืนแรกฉันจองที่พักใกล้ ๆ KITEC ซึ่งเป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ต ตามข้อมูลแล้วจะต้องนั่งสาย A29 เพื่อไปลงตรง Kowloon Bay เราเดินลงมาหาจุดขึ้นรถ มองเห็นช่องขายตั๋วเลยไปซื้อตั๋วจากคุณป้า ก่อนจะมารู้ทีหลังว่าบนรถก็ใช้ Octopus ได้เลยนี่หว่า
และนี่คือหน้าตาของตั๋ว
ฉันยืนรอรถอยู่สักพัก ก่อนจะหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเล่น ไม่นานนักรถก็มา จึงลากกระเป๋าขึ้นรถบัสด้วยความทุลักทุเล พอได้ที่นั่งแล้วก็จัดการปลดสัมภาระลงจากบ่า นั่งมองวิวและพยายามถ่างตาไว้แม้จะง่วงมาก คิดว่าเดี๋ยวคงจะต้องหากาแฟกินสักหน่อย ถ้ารับบัตรคอนเสิร์ต ซื้อกู๊ดส์เสร็จแล้วอาจจะได้หลับสักงีบ
แต่ใครจะไปคิดว่าหลังจากนั้นจะตาสว่างแบบไม่ต้องพึ่งกาแฟเลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in