เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
รีวิวเว้ย (3)Chaitawat Marc Seephongsai
รางวัลแด่ความว่างเปล่า By ฐนพงศ์ ลือขจรชัย
  • รีวิวเว้ย (1941) "OBE (Outcome-Based Education) คือ แนวคิดในการจัดการศึกษาที่เน้นไปที่การตั้งเป้าหมายว่า "ผู้เรียนจะสามารถทำอะไรได้บ้างเมื่อเรียนจบ" เป็นหลักสำคัญที่แทนที่จะเน้นเพียงแค่เนื้อหาที่ต้องสอนหรือชั่วโมงเรียนที่ต้องครบถ้วน แนวคิดนี้จะเริ่มจากการกำหนด ผลลัพธ์การเรียนรู้ (Learning Outcomes) ที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม จากนั้นจึงค่อยออกแบบหลักสูตร วิธีการสอน และเครื่องมือวัดผลทั้งหมดให้มุ่งไปสู่การบรรลุผลลัพธ์เหล่านั้น เพื่อให้มั่นใจได้ว่าบัณฑิตที่จบออกไปทุกคนจะมีสมรรถนะและคุณลักษณะที่ตรงตามความต้องการของสังคมและตลาดแรงงานอย่างแท้จริง ทำให้ OBE เป็นกระบวนการที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและให้ความสำคัญกับ คุณภาพ ของผลลัพธ์ที่วัดผลได้มากกว่า ปริมาณ ของเนื้อหาที่สอนไป" ถ้าดูนิยามความหมายของ OBE ที่ถูกเขียนไว้ในเบื้องแรก จะพบว่าระบบนี้ดูจะเป็นระบบที่ดีและช่วยให้ผู้เรียนในระดับอุดมศึกษาได้รับอะไรมากมายจากตัวระบบที่ถูกออกแบบเอาไว้ แต่ในทางกลับกันผลในทางปฏิบัติดูจะออกไปในแนวตรงข้ามกับนิยามและข้อความที่กล่าวถึง OBE เพราะหลายปีมานี้ระบบการวัดมาตรฐานการศึกษา หรือมาตรฐานต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่ในการกำหนดกฎเกณฑ์ เงื่อนไข ข้อบังคับ ที่เกี่ยวกับการศึกษา โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษาดูเหมือนจะช่วยให้ระบบการศึกษาเหมือนรถยนต์ที่เข้าเกียร์ถอยหลังและตีนขวาเหยียบคันเร่งเต็มตีนให้รบถอยลงคลองไปให้ไวที่สุด ซึ่งปัญหาดังกล่าวมิใช่แค่เรื่องของการจัดการเรียนการสอน การพัฒนาผู้เรียน หรือการสร้างองค์ความรู้ให้กับผู้เรียนเท่านั้น หากแต่มาตรฐานต่าง ๆ เหล่านี้ได้กลายมาเป็นเงื่อนไขบังคับที่ทั้งบั่นทอนกำลังของคนทำงาน (อาทิ อาจารย์) และลดคุณภาพของการศึกษาและงานวิชาการ ที่หลายปีมานี้งานวิชาการหลายชิ้นเหมือนอาจารย์มหาวิทยาลัยทำแบบขอไปทีเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอดจากระบบการวัดผลต่าง ๆ ในฐานะของคนทำงานในวงวิชาการที่ต้องอ่านเอกสารและบทความวิชาการแทบทุกวัน ตลอดหลายปีมานี้มีบทความน้อยชิ้นมากที่อ่านแล้วรู้สึก "ใจฟู" เพราะส่วนมานั่งอ่านแล้วก็ได้แต่สบถในใจว่า "เขียนเชี่ยไรกันวะ"
    หนังสือ : รางวัลแด่ความว่างเปล่า: เมื่อการศึกษาทำให้มนุษย์ลืมว่าเคยฝัน
    โดย : ฐนพงศ์ ลือขจรชัย
    จำนวน : 70 หน้า 
    .
    "รางวัลแด่ความว่างเปล่า: เมื่อการศึกษาทำให้มนุษย์ลืมว่าเคยฝัน" ทำให้นึกถึงเพลง "รางวัลแด่คนช่างฝัน" ของ จรัล มโนเพ็ชร ที่เนื้อท่อนหนึ่งร้องว่า "บนทางเดินที่มีขวากหนาม ถ้าเธอคร้าม ถอยไปฉันคงเก้อ ฉันยังพร้อมช่วยเธอเสมอ เพียงตัวเธอ ไม่หนีไปเสียก่อน" หากแต่เรื่องราวที่ปรากฏใน "รางวัลแด่ความว่างเปล่า" คือส่วนที่บอกเล่าเรื่องของผู้เขียนที่ "หนีออกมาจากระบบ" ที่เซาะกร่อนบ่อนทำลายระบบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาทั้งผู้เรียนและผู้สอน 
    .
    "รางวัลแด่ความว่างเปล่า" จึงเป็นเหมือนกับบันทึกเรื่องราวขนาดกระชับ ที่บอกเล่าเรื่องราวของระบบการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่น้อยคนนักจะได้เข้าไปคลุกคลีอยู่กับระบบ ระบบการศึกษาที่คนนอกเทิดทูนส่วนคนในระบบนั้นต่างส่ายหัวและหันหน้าหนี ซึ่งบางคนก็เลือกที่จะเดินจากระบบดังกล่าวเพราะในท้ายที่สุดแล้วหนทางที่ระบบการศึกษาระดับอุดมศึกษาของไทยกำลังเดินไป มันไม่ได้สร้างการศึกษาที่ให้ชุดเครื่องมือกับผู้เรียน หากแต่ด้วยมาตรฐานต่าง ๆ ของระบบการศึกษาในปัจจุบันมันคล้ายกับระบบการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าจำนวนมาก ๆ โดยที่สินค้าเหล่านั้นคือสินค้าแบบเดียวกัน ชนิดเดียวกัน ฟังก์ชันการทำงานแบบเดียวกัน "รางวัลแด่ความว่างเปล่า" กำลังบอกผู้อ่านเป็นนัยว่า ระบบการศึกษาไทยในปัจจุบันกำลังทำตัวคล้ายกับ โรงงานฟอร์ด ในปี ค.ศ. 1903 ที่นำเอาสายการผลิตแบบฟอร์ดมาใช้เป็นครั้งแรก ซึ่งโรงงานระดับอุดมศึกษาของไทยก็แทบไม่ต่างกัน ในส่วนของเนื้อหา "รางวัลแด่ความว่างเปล่า" แบ่งการเล่าเรื่องออกเป็น 7 บทหลัก 1 บทนำ และ 1 บทส่งท้าย ที่แต่ละบทมีรายละเอียดดังนี้
    .
    บทนำ เมื่อความว่างเปล่าคือรางวัล: อ่านระบบการศึกษาที่ไม่เหลือความหมาย โดย วัชรพล พุทธรักษา
    .
    บทที่ 1 มหาวิทยาลัยที่ผลิต "คนว่างเปล่า" ด้วยความภูมิใจ
    .
    บทที่ 2 OBE การออกแบบการศึกษาเพื่อสร้างฟันเฟืองแห่งรัฐ
    .
    บทที่ 3 อาจารย์ที่เชื่อฟังกับระบบที่รางวัลคือการไม่ตั้งคำถาม
    .
    บทที่ 4 นักศึกษาที่ถูกบีบให้เลิกคิด
    .
    บทที่ 5 ความว่างเปล่าที่ถูกให้รางวัล
    .
    บทที่ 6 รอยร้าวที่คนยังไม่พูดถึง
    .
    บทที่ 7 ถ้าคุณยังอยากเรียนรู้จริง ๆ อย่ารอระบบอนุญาต
    .
    บทส่งท้าย: ไม่มีรางวัลแด่ความว่างเปล่า โดย ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์
    .
    เมื่ออ่าน "รางวัลแด่ความว่างเปล่า" จนจบ ทำให้นึกถึงเพลงอีกเพลงหนึ่งอย่าง Another Brick in the Wall ของ Pink Floyd ที่ท่อนหนึ่งของเพลงกล่าวไว้ว่า "Hey teacher leave us kids alone. All in all it's just another brick in the wall. All in all you're just another brick in the wall" ที่ระบบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาของไทยกำลังสร้างผลผลิตที่เป็น Another Brick in the Wall ทั้งจากตัวผู้เรียนและจากตัวผู้สอนไปพร้อมกัน

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in