จะเริ่มเล่ายังไงดีนะ ความเป็นจริงมันก็ไม่ใช่กการนั่งรถไฟครั้งแรกของเราหรอกนะ ปกติจะนั่งแต่สายเหนือเราเป็นคนเชียงใหม่ นั่งเชียงใหม่-กรุงเทพ ครั้งสองครั้งเอง ปกติจะนั่งกลางคืนไม่ค่อยเห็นบรรยากาศอะไรถึงกรุงเทพก็เช้าพอดี ส่วนการเดินทางครั้งนี้เจออะไรมาบ้างหรอ ไปกับใครหล่ะไม่ต้องถามเลยคนเดียวคนเดิม ซึ่งครั้งนี้แตกต่างทั้งเส้นทางและเวลากับครั้งก่อนๆที่ผ่านมา ไปกันดีกว่า
ถ้าพูดถึงรถไฟไทยก็คงจะปฏิเสธไม่ได้กับสถานีหัวลำโพงที่ทุกๆปลายทางจะมาบรรจบกันที่นี่ เราก็เป็นคนหนึ่งที่เลือกเริ่มการเดินทางครั้งนี้จากที่นี่เช่นกัน
เริ่มจากโบกแท็กซี่ไปลำโพง
15:30 น.
การผจญภัยก็เริ่มต้นอีกครั้ง
การเดินทางรถไฟสายใต้ สิ่งที่เคยคิดจะทำมาตลอดตั้งแต่สมัยมหาลัย พอถึงสถานีหัวลำโพงแท็กซี่เบรคเอี่ยด....เราก็เดินไปซื้อตั๋วที่เค้าเตอร์เลยค่ะ
“ตั๋วไปหัวหินค่ะ รถออกกี่โมงคะ”
“ 5 โมง 5 นาที กี่คน กรอกเอกสารรึยัง” เจ้าหน้าที่ถามเรา
“ ยังเลยค่ะ ” เรารีบตอบ
“กรอกเอกสารให้เรียบร้อย แล้วมายื่นพร้อมบัตรประชาชน” เจ้าหน้าที่พูดทิ้งท้าย
เรียบร้อยพร้อมกับตั๋วรถไฟในราคา 194 บาท เราไปหาอะไรรองท้องกันก่อนเดินทางดีกว่า ก็ได้ข้าวราดแกงหน้าสถานีช่วยไว้ หลังจากทานข้าวเสร็จก็ต้องซื้อขนมกับน้ำติดกระเป๋าไว้เป็นเสบียงนิดหน่อยกลัวบนรถไฟไม่มีอะไรกิน แล้วเราก็เดินหาขบวนรถไฟของเรา ทำอะไรเสร็จก็ใกล้ถึงเวลาพอดี พอเดินเข้ามาในชานชาลาเท่านั้นแหละ ไม่ง่ายเลย รถไฟหลายขบวนจอดอยู่เทียบชานชาลา แล้วขบวนไหนหล่ะ
“ขอโทษนะคะ พี่คะไปรถรอบห้าโมงห้านาทีขบวนไหนคะ” ถามเจ้าหน้าที่ค่ะ ง่ายสุด
ไม่ได้สนใจเลยว่า รถไฟห้าโมงจะมีปลายทางที่ไหนบ้างคือเชื่อใจในคำตอบพี่เขาสุด พอเจอขบวนที่เราจะต้องเดินทางแล้วดูนาฬิกาอีก 1 นาทีรถไฟจะออก เรายังหาหมายเลขขบวนเรายังไม่เจอเลย วิ่ง ค่ะ วิ่ง คันที่ 4 วิ่งเกือบสุดทางชานชาลาอยู่แล้วกว่าจะถึง
และเราก็หาคันที่ 4 และที่นั่งของตัวเองจนเจอ
การตัดสินใจเดินทางครั้งนี้ไม่ทำให้ผิดหวังเลยได้เรียนรู้ว่าความธรรมดาที่แสนพิเศษมีอยู่จริงๆนะ ความอบอุ่นของครอบครัว พ่อแม่ลูก เด็กๆบนรถไฟขบวนนี้ทำให้เกิดรอยยิ้มระหว่างทางตั้งแต่เริ่มต้นเดินทาง รถไฟขบวนนี้เปรียบเสมือนสนามเด็กเล่นที่น่าตื่นเต้นของเด็กและเราด้วย บรรยากาศวิวสองข้างทางที่มีความน่าตื่นเต้นตลอดเวลา รถไฟวิ่งเลียบถนนไปเรื่อยๆตัดถนนอีกเส้นสลับกับชุมชน ลมพัดเย็นพร้อมแสงอาทิตย์ที่กำลังจะลับฟ้า สีของฟ้าที่่เปลี่ยนไปตามเข็มนาฬิกาพร้อมไปกับเสียงล้อที่หมุนอยู่บนราง
ลำโพง
รถไฟเริ่มเคลื่อนตัวจากชานชาลาอย่างช้าๆ ผ่านบ้านเรือนริมทางรถไฟ การจราจรที่แออัดกลับหยุดนิ่งเพราะรถไฟกำลังแล่นผ่าน เด็กนักเรียนที่กำลังเลิกเรียนและกำลังกลับบ้านในเมืองหลวงแสนวุ่นวายแห่งนี้ รถออกจากสถานีหัวลำโพงมาสักพักใหญ่ ถึงสถานีชุมทางบางซื่อ
ที่นี่มีดูใหญ่โตมาก พอๆกับหัวลำโพงเลย “สถานีกลางบางซื่อ” เป็นสถานีระบบรถไฟแห่งใหม่ที่รวมเอาระบบคมนาคมทางรางที่มีความสมบูรณ์แบบที่สุดของประเทศไทย หรือเป็นสถานีรถไฟทางไกลความเร็วสูงแห่งใหม่ของไทยในอนาคตนั้นเอง
สถานีบางซื่อเป็นสถานีที่มีผู้โดยสารรอต่อขบวนค่อนข้างมาก และเก้าอี้ตรงหน้าเราจากที่ว่างมาจากสถานีหัวลำโพงตอนนี้มีผู้ร่วมทางด้วยแล้ว เป็นคุณป้าหญิงสาววันกลางคนมาในลุคสุภาพแต่งตัวคล้ายข้าราชการหรือคุณครู ดูคล้ายๆนะ ขออนุญาตเรียกคุณป้านะคะ เราทำได้เพียงทักทายด้วยรอยยิ้ม ตอนนั้นเราคิดในใจว่าเขาต้องขึ้นรถไฟไปกลับบ้านเพื่อทำงานแบบนี้ทุกวันเลยมั้ยนะ ในเมืองที่วุ่นวายและเร่งรีบขนาดนี้ ต้องตื่นเช้าตั้งแต่กี่โมงหรือกว่าจะกลับถึงบ้านต้องใช้เวลานานแค่ไหนกัน เธอหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่านแบบไม่รีบร้อนเหมือนเป็นความเคยชินที่เตรียมมาไว้ก่อนแล้ว รู้ตัวอีกทีก็ไม่ทันสังเกตแล้วว่าคุณป้าท่านนั้นเธอลงไปตอนสถานีไหน หลังจากนั้นเราก็นั่งคนเดียวไปสุดทางเลย
ผ่านชุมทางบางซื่อมาสักพักใหญ่เรารู้สึกถึงเส้นทางของรถไฟได้มุ่งหน้าสู่ทางใต้แล้ว จากรถไฟที่มุ่งหน้าไปทางตะวันตก ดวงอาทิตย์เปลี่ยนมาอยู่ฝั่งขวาของเราเพื่อที่จะพาเราสู่เส้นทางสายใต้ร้อยเปอร์เซ็นต์
ออกจากกรุงเทพมาสักพักใหญ่ใหญ่สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดสำหรับเราก็คงเป็นท้องฟ้าของวันนี้ ช่วงเวลาระหว่างพระอาทิตย์ตกเป็นอะไรที่โรแมนติกสำหรับเรามาก แสงอาทิตย์ส่องผ่านช่องว่างถนนและเสาไฟมาตกที่ใบหน้า แสงอาทิตย์สะท้อนน้ำวิบวับมองจากมุมหน้าต่างรถไฟที่กำลังแล่นผ่านสะพานเหล็กไปพร้อมกับเสียงที่ดังกว่ารถแล่นบนรางปกติ เปรียบหน้าต่างรถไฟบานนี้เป็นกรอบรูปที่ภาพในนั้นเปลี่ยนไปตลอดเวลา พร้อมมีเสียงบรรยากาศประกอบไปด้วย
เสียงประกาศจากสถานีปลายทางดังขึ้นทุกครั้งที่รถไฟจอด ผ่านไปแต่ละสถานีมีแม่ค้าหาบเร่ขายอาหารวิ่งตามขบวนรถไฟคล้ายกับเป็นร้านอาหาร ร้านชำผ่านช่องหน้าต่างแทนกรอบรูปท้องฟ้าหลากสีเมื่อช่วงเย็น มีทั้งข้าวเหนียวหมูปิ้ง ผัดไท ไก่ทอด ก๋วยเตี๋ยวแห้งเป็นห่อ ชาดำ ชานมเย็น รวมไปถึงของดีประจำจังหวัดอย่างขนมหม้อแกงของขึ้นชื่อสถานีเพชรบุรีก็มีนะ เห็นแบบนี้ของกินอร่อยจริงๆนะ ไม่ใช่แค่ประดาท้องอย่างเดียว
20:33 น
02/07/2020
.... บันทึกที่บ้านวังมะนาว
“ การเดินทางโดยรถไฟแม้ตอนนี้เราจะไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนแล้ว แต่ลมที่พัดเย็นและความจริงที่อยู่นอกหน้าต่างนั้น ทำให้เรารู้สึกเหมือนตอนนี้เรากำลังอยู่ในแกลอรี่แห่งหนึ่ง ที่มีความสวยงามของโลกใบนี้โชว์อยู่อย่างไม่มีวันสิ้นสุด”
สิ่งที่จะช่วยเราให้รู้ได้ว่าถึงไหนคือ gps ในโทรศัพท์เท่านั้น เพราะสองข้างทางเริ่มเต็มไปด้วยความมืด สองข้างทางที่ดูเงียบ สงบ ไร้ซึ่งบ้านคนนั้นดูเปลี่ยวและน่ากลัวเหมือนกันนะ เข้าใจเลยว่าเมื่อก่อนทำไมมีข่าวปล้นฆ่าแล้วโยนศพจากรถไฟ
ตอนนี้ก็ดึกแล้วปลายทางของเราวันนี้ แวะพักที่หัวหินสักคืนหนึ่งก่อน หลังจากอิ่มท้องแล้วฟ้าก็มืดสนิท จากหน้าต่างรถไฟบานเดิมตอนนี้เริ่มเปลี่ยนจากชุมชนเป็นแสงไฟตามบ้านเรือน เห็นแสงไฟจากถนนไกลๆ ลมยังพัดเย็นเหมือนเดิม หลังผ่านช่วงที่มืดสนิทมาแล้ว กำหนดเวลาถึงสถานีปลายทางของเราต้องถึงหัวหินประมาณสามทุ่ม แต่ความเป็นจริงกว่าจะถึงก็ห้าทุ่มแล้ว สิ่งนี้คงเป็นสิ่งเดียวที่ไม่ต่างจากรถไฟสายเหนือ เป็นสโลแกนของรถไฟไทยรึเปล่านะ มาช้าแต่มานะ ถึงช้าแต่ถึงนะ ... ถึงก็ชั่ง ไม่ถึงก็ชั่ง
23:00น.
ณ สถานีรถไฟหัวหิน
เสียงประกาศดังขึ้นถึงปลายทางของเราแล้ววันนี้ 6 ชั่วโมงบนรถไฟผ่านไปเรียบร้อย พักนอนหัวหินกันสักคืนหนึ่งกันก่อน พักผ่อนกันพรุ่งนี้เราค่อยเดินทางกันต่อ ฝันดีค่ะทุกคน:)
ติดตามไปดูบันทึกการเดินทางอื่นๆได้ที่
IG: nan._.koch
#nankoonthetrian
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in