TW suicidal thoughts
วันนี้เป็นวันเสาร์ แพรวเปิดเพลงเบาๆ คลอระหว่างกำลังชงกาแฟให้ตัวเอง อาหารเช้าเป็นพายแอปเปิลจากร้านญี่ปุ่นชื่อดังที่เธอสั่งเดลิเวอรี่มาตุนไว้ที่บ้านกำลังอุ่นอยู่ในเตาอบลมร้อน
ผ้าม่านกันแสงถูกเปิดออกจนสุด เหลือเพียงผ้าม่านขาวบางที่เหลือไว้เพื่อป้องกันความเป็นส่วนตัวจากกระจกบานใหญ่ในห้อง แสงแดดอ่อนๆ ตอน 8 โมงเช้าสาดส่องลงบนเฟอร์นิเจอร์สีไม้โอ๊คชวนให้แพรวรู้สึกสงบลง สมองไม่ได้คิดถึงใครหรืออะไรเป็นพิเศษ จิตใจล่องลอยไปกับเพลงที่กำลังเล่นอยู่คือ Sleep On The Floor โดย The Lumineers
แพรวติดตามเพลย์ลิสต์จากสปอตติฟายไว้หลายอัน มีอยู่เพลย์ลิสต์หนึ่งที่เมื่อไม่กี่เดือนก่อนแพรวค้นพบว่าเจ้าของเพลย์ลิสต์เปิดให้คนอื่นสามารถร่วมกันใส่เพลงที่ตนเองชอบในเพลย์ลิสต์ได้
ชื่อของเพลย์ลิสต์คือ when I die I will be on time.
จริงๆ แล้วในเพลย์ลิสต์นั้นมีเพียงแพรวกับอีกหนึ่งแอคเคาท์ที่ใช้ชื่อว่า tanthediver เท่านั้นที่ร่วมกันเพิ่มเพลงและฟังมันด้วยกันโดยไม่รู้จักกัน คนติดตามเป็น 0 แพรวค้นเจอเพลย์ลิสต์นี้โดยบังเอิญในวันที่เธอส่งงานไม่ทัน กำลังใจในชีวิตหดหาย ความรู้สึกอยากตายแวะมาทักทายที่ปลายสายตา แม้ไม่ได้พูดคุยกันเพราะสปอตติฟายเอาฟังชันแชทออกไปแล้ว แพรวกับ tanthediver ก็สื่อสารกันผ่านเพลงที่ใส่ในเพลย์ลิสต์นี้เท่านั้น และเพลย์ลิสต์นี้ก็เหมือนน้ำเกลือที่ล้างแผลในจิตใจเธอ เจ็บแสบ แต่ก็เยียวยา
If the sun don't shine on me today
And if the subways flood and bridges break
Will you lay yourself down and dig your grave
Or will you rail against your dying day
กรุงเทพนอกหน้าต่างเป็นสีเทาอมเหลืองด้วยแสงแดดยามเช้า เนื้อเพลงที่ดังแว่วเข้ามาทำให้แพรวนึกถึงความไม่แน่นอนของเมืองหลวงแห่งนี้ แผ่นดินทรุดตัวลงทุกวันเพราะเคยสูบน้ำบาดาล ระดับน้ำทะเลก็สูงขึ้นทุกปี ไม่รู้ว่าผู้ก่อตั้งเมืองหลวงคิดอย่างไรถึงตั้งเมืองบนพื้นที่ชุ่มน้ำ บางกอกน้ำท่วม ตลอดมา และตลอดไป มีแต่ชาวกรุงเทพที่พยายามหนีความจริง นี่คือสาเหตุที่อพาร์ตเมนท์ห้องนี้ไม่ได้มีชื่อเธอเป็นเจ้าของ แพรวไม่เคยคิดว่าตัวเองจะลงทุนอะไรกับอสังหาในจังหวัดที่รอจมน้ำแบบไร้แผนรับมือ
ที่สำคัญคือแพรวไม่เคยคิดปักหลักอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่เนื่องจากเธอไม่มีแผนจะเรียนต่อ การออกนอกประเทศคือการหางานเท่านั้น โอกาศที่เธอจะไปได้และนิยมที่สุดในสายอาชีพคือลองหางานที่สิงคโปร์ สถาปนิกจากไทยเคยเป็นที่นิยมอยู่พักหนึ่งเพราะค่าแรงถูก แต่ไม่นานมานี้เงื่อนไขในการขอสปอนเซอร์วีซ่ายากขึ้น แพรวเองก็ไม่มีความหวังมากนัก ทุกวันนี้ก็ทำงานไปวันๆ ประทังชีวิต
Cause if we don't leave this town
We might never make it out
เพลงจบลง สิ้นเสียงของ Wesley Schultz จาก The Lumineers แพรวยกกาแฟดื่มหมดแก้วจนฟองนมติดที่รอบปาก แพรวเลียฟองนมรอบๆ แล้วดื่มน้ำเย็นแก้วใหญ่พร้อมยาประจำวันอีกสามเม็ด
เธอเอื้อมมือไปกดปุ่มรีพีทเพลงเดิมที่มือถือ
ไม่รู้ว่าตอนนี้พราวอยู่ส่วนไหนของโลก ก่อนจะขาดการติดต่อไปพราวกำลังเรียนปริญญาโทอยู่ที่ประเทศฟินแลนด์ เหมือนกับว่าเงื่อนไขทุนของพราวจะต้องย้ายไปเรียนที่ประเทศอื่นทุกเทอม พราวไม่เคยเล่ารายละเอียดอะไรให้เธอฟัง แม้ตอนที่จะยังคุยกันดี แพรวก็รู้เรื่องเกี่ยวกับพราวเท่าที่เธออยากให้แพรวรู้เท่านั้น เรียนจบหรือยังก็ไม่มีใครทราบได้
.
แพรวตัดสินใจลงไปเช็คของที่นิติเผื่อว่าเทียนหอมที่สั่งไปจะมาส่ง เธอเช็คเลขแทร็คกิ้งจากมือถือและสถานะขึ้นว่ารับของแล้ว แต่เมื่อไปถึงเธอกลับไม่พบของของตัวเอง เจอแต่กล่องหน้าตาเหมือนมาจากร้านเดียวกับที่เธอสั่งไว้แต่เป็นของคนอื่น แพรวชอบเทียนหอมยี่ห้อนี้มาก จึงจดจำโลโก้บนกล่องได้ ในใจคิดข้ามช็อตไปแล้วว่าต้องมีคนหยิบของเธอไปผิดแน่ๆ เมื่อมองดูใกล้ๆ เหมือนกับว่าเลขห้องจะเป็นเลขห้องข้างเธอพอดี
ด้วยความหงุดหงิดในใจ แพรวคว้ากล่องใบนั้นเดิมกลับห้อง แล้วเตรียมตัวไปเคาะประตูห้องข้างๆ แต่ทันใดนั้นมือถือแพรวก็ดังขึ้น เป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก แพรวรับสายอย่างหงุดหงิด
“สวัสดีครับ ใช่คุณแพรวหรือเปล่าครับ”
“ค่ะ” แพรวตอบเสียงแข็ง อารมณ์ของแพรวตอนนี้หยาบกร้านเหมือนหินทรายล้างเบอร์หยาบสุดที่สระว่ายน้ำในหมู่บ้านตอนเธออายุ 12
“ผมหยิบพัสดุมาผิดน่ะ ผมขอเอาไปคืนคุณที่ห้องได้มั้ย”
“อ๋อ คุณนี่เอง ฉันกำลังหาอยู่เลยว่าของหายไปไหน” หางเสียงของแพรวห้วนสั้น
“ห้องคุณ 1804 ใช่ไหมครับ รอสักครู่นะครับ”
เสียงฝีเท้าดังอยู่หน้าประตูตามด้วยเสียงออด แพรวมองผ่านช่องตาแมวเห็นเป็นผู้ชายหน้าจืดๆ ผิวแทน หัวดำยืนอยู่ จึงเปิดประตูแง้มๆ เท่านั้น อีกฝ่ายเห็นเธอเพียงเสี้ยวหน้า กับเสียงของเธอที่ลอดออกมาและเพลงคลอเบาๆ
“ไหน พัสดุฉัน”
อีกฝ่ายยื่นให้แพรวผ่านช่องแคบๆ ระหว่างประตู เห็นเพียงมือสีน้ำตาลท่าทางมั่นคงยื่นกล่องมาให้ แพรวรับไว้ ก่อนจะปิดประตูใส่หน้า อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมา
“เพลงที่เปิดอยู่เพราะนะครับ ผมก็ชอบ”
แพรวไม่พูดอะไรแค่พยักหน้ารับรู้แล้วกระแทกประตูปิดเกือบโดนหน้าอีกฝ่าย
เมื่อได้ของที่รอมานาน แพรวแกะกล่องอย่างร้อนรน กรีดคัตเตอร์ด้วยความชำนาญเพราะใช้ตัดโมเดลมาเกินสิบปี
แพรวคว้าไม้ขีดไฟมาจุดเทียน ถึงแม้โลกจะมีนวัตกรรมที่เรียกว่าไฟแช็ก แต่แพรวชอบกลิ่นซัลเฟอร์ไดออกไซด์จากไม้ขีด เทียนหอมกลิ่นไม้ตัดกับวานิลลาหอมฟุ้ง แพรวสูดลมหายใจแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟา แพรวพยายามหาของที่สูดดมได้มาแทนบุหรี่ เหมือนที่เธอพยายามดื่มจินเจอร์เบียร์แทนจินโทนิก
ความคิดเกี่ยวกับพราวเข้ามาวนเวียนในหัวอีกครั้ง กลิ่นไม้และวานิลลาเป็นกลิ่นของน้ำหอมที่พราวเคยใช้เป็นประจำ ถึงแม้เทียนหอมของเธอจะไม่ได้มีกลิ่นที่เลียนแบบน้ำหอม Eau Duelle จาก Diptyque แต่ชั่ววูบที่กลิ่นไม้และวานิลลาลอยเข้าจมูก แพรวก็รู้สึกเหมือนกับพราวยืนอยู่ข้างๆ เธอ
Cause if we don't leave this town
We might never make it out
เพลงเดิมยังคงเล่นวนซ้ำ ตอกย้ำแพรวว่าเธอยังคงอยู่ที่เดิม ในขณะที่พราวหายไปที่แห่งหนอื่นแล้ว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in