The Suicide Squad
ใครจะไปคิดว่า การเปิดเรื่องด้วยลูกบ้าลูกชนแบบสุดลิ่มทิ่มประตูของ เจมม์ กันส์ จะช่วยเซตอัพความลุ้นระทึกของหนังได้อย่างยอดเยี่ยมในองก์ 3 ที่ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็คงเกินความคาดคิดของคนดู เพราะสำหรับคนที่ติดตามข่าวสารจะทราบกันดีว่า Wanner bro. ไฟเขียวทุกกรณีให้ เจมม์ กันส์ สามารถฆ่าตัวละครตัวไหนก็ได้ภายในเรื่อง และถึงแม้ว่าในช่วงต้นอะไร ๆ ก็แลดูจะพอเดาได้ ซึ่งโดยพื้นฐานมันก็เป็นมุขตลกที่กินเส้นคนดูไม่ใช่น้อย ๆ อยู่แล้ว แต่ทว่าหนังกลับสามารถเขยิบตัวเองให้ขึ้นไปอยู่เหนือกว่าความคาดหวังในเสียงหัวเราะของคนดูได้อีกหลายขั้นจนน่าประหลาดใจในความสุดทาง หรือหากต้องพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา ก็เห็นจะเป็นความ "สุดตีน"
ในปัจจุบัน เจมม์ กันส์ ควรถูกยกย่องนับถือในฐานะผู้กำกับและมือเขียนบทที่สามารถปรุงแต่งเรื่องราวซึ่งเต็มไปด้วยตัวละครมากหน้าหลายตาหลากบุคลิกมายำรวมกันได้อย่างกลมกล่อม โดยเฉพาะกับการแบ่งบทบาทให้ทุกตัวละครได้มีจังหวะโชว์ออฟอย่างสะใจทั้งนักแสดงและคนดู ไม่เพียงเท่านั้น กันส์ยังเล็งเห็นถึงแง่มุมอันเปราะบางของเหล่าตัวละครกเฬวรากที่ไม่ใช่แค่ตัวร้ายใจทราม แต่พวกเขาต่างก็ยังมีความเป็นมนุษย์ที่รักชีวิตของตนเอง ฉากอารมณ์ภายในเรื่องจึงสามารถดึงดราม่าได้โดยที่ไม่โดดไปจากความตลกไร้สาระ เป็นการเพิ่มสาระทางจิตใจให้กับหนังได้อย่างน่าอบอุ่นหัวใจ จึงไม่แปลกใจนักหากคนดูจะรู้สึกรักใคร่เห็นใจต่อตัวละครที่พึ่งจะเคยเห็นหน้าคร่าตาในภาคนี้เป็นครั้งแรก
เมื่อกล่าวถึงตัวละครมากหน้าหลายตา สิ่งที่จะทำให้ทุกอย่างไปได้ตลอดรอดฟังและล่มจมไม่เป็นท่าในเวลาเดียวกันคือ เคมีความเข้ากันของเหล่านักแสดง ซึ่งคงไม่ต้องสาธยายอะไรให้มากความ เพราะชื่อ เจมม์ กันส์ ก็พอจะสามารถการันตีการกำกับส่วนนี้ (ด้วยงานกำกับก่อนหน้า) ได้อย่างไม่ต้องเผื่อใจเป็นห่วง นอกจากนี้แคสต์นักแสดงชุดนี้ยังอัดแน่นไปด้วยเคมีที่ไม่เพียงแต่จะตบชงโยนมุขใส่กัน แต่ยังรับส่งความรู้สึกในฉากอารมณ์ผ่านเรื่องราวมืดหม่นที่ช่วยให้ Mood & Tone ของหนังชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ การพูดกับอีกฝ่ายว่า “ฉันจะพาเธอรอดชีวิตกลับไป” จึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยมากกว่าการเป็นคำประกาศที่แสดงถึงความเย่อหยิ่ง
เพราะฉะนั้นแล้ว ทุกฉากแอคชั่นภายในหนังจึงสามารถทำหน้าที่สร้างความตื่นเต้น ลุ้นระทึก ไปจนถึงแรงกดดันของความรุนแรงที่เหล่าตัวละครฉะกันแบบต้องมีคนใดคนหนึ่งตายกันไปข้างออกมาได้อย่างถึงพริกถึงขิง
ความมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นพลังพิเศษของหนังเรื่องนี้ นั่นก็คือการที่หนังสามารถหาจังหวะแวะท่าแซะความพยายามจะมีศีลธรรมของอเมริกาได้อย่างไม่ผิวเผิน เป็นการแตะต้องประเด็นทางการเมืองที่ทั้งฉลาดหลักแหลมในการหาจุดเชื่อมโยง และยังสามารถวิพากษ์วิจารณ์แบบไม่หลอกด่าให้พอจุกอกได้บ้าง
จากที่เขียนไปข้างต้นทั้งหมดคงพอจะสรุปได้ถึงคุณภาพของทีมฆ่าตัวตายในการเป็นภาคต่อที่แทบจะสามารถลบเลือนการมีอยู่ของภาคก่อนหน้าไปได้อย่างหมดจด นอกเหนือจากนั้น องค์ประกอบด้านงานศิลป์ต่าง ๆ ภายในหนัง ไม่ว่าจะเป็น งานภาพ เพลงประกอบ และเทคนิคพิเศษ ก็มากพอให้หนังเอ่อล้นไปด้วยความจัดจ้านทางความบันเทิงเชิงฉันท์มิตรกับเหล่าตัวละคร จึงไม่แปลกใจสักเท่าไหร่นักหากจะกล่าวว่า The Suicide Squad เป็นหนัง Blockbuster ที่สร้างมาตรฐานคุณภาพให้กับตัวเองและหนังที่ออกฉายไล่เลี่ยกันอย่างสูงลิ่ว
เขียนโดย: พัทธนันท์ สวนมะลิ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in