ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ถูกประดับประดาไปด้วยเครื่องเรือนวิจิตรตระการตาที่มีมูลค่านับหลายล้านเหรียญทอง ตามผนังกำแพงมีกรอบรูปที่ใส่ภาพถ่ายและภาพภาพวาดของเหล่าคนในตระกูลไล่เรียงกันตั้งแต่รุ่นแรกมาจนถึงปัจจุบัน
ตรงกลางห้องมีโต๊ะไม้ยาวขนาดใหญ่สี่เหลี่ยมผืนผ้า ถูกขนาบข้างด้วยเก้าอี้ที่ถูกจัดทำอย่างประณีตนับสิบตัว ซึ่งแต่ละตัวจะมีคนนั่งประจำตำแหน่งตามยศหรืออำนาจที่มีอยู่ในมือ ส่วนหัวโต๊ะย่อมเป็นที่นั่งของผู้อยู่จุดสูงสุด
ดยุกฟาโกซ สการ์ หัวหน้าขุนนางฝ่ายซ้ายจ้องมองไปยังพวกของตนทีละคนด้วยใบหน้ายิ้มระรื่นแต่หากลองสังเกตดูดี ๆ จะเห็นว่าแววตาเขาไม่ได้ยิ้มตามแม้แต่น้อย ทว่าทำให้บรรยากาศภายในห้องแห่งนี้ดูน่าขนลุกยิ่งกว่าเดิมแม้จะมีสิ่งสวยงามประดับประดาเต็มไปหมด
เหล่าขุนนางที่นั่งอยู่ต่างคนต่างไม่กล้าส่งเสียงถามขึ้นมา ว่าทำไมถึงมีการนัดประชุมด่วนแบบนี้เพราะปกติต้องมีการนัดล่วงหน้าอย่างน้อย 1-2 วัน เนื่องจากขุนนางบางคนมีออกไปต่างเขตหรือดูงานนอกพื้นที่ก็จะได้กลับมาทันประชุม
“พวกเจ้าคิดว่าผลงานที่ทำล่าสุดมันดีแล้วหรือไม่?”
เสียงเย็นพูดเอ่ยออกมาหลังจากเขานั่งอยู่บนเก้าอี้มาได้เกือบ 10 นาที โดยไม่ได้ปริปากพูดอะไรเลยจนขุนนางแต่ละฝ่ายต่างขนแขนลุกเสียวสันหลังไปตาม ๆ กัน
“เออ…ข้าว่ามันก็ไม่ได้แย่”
“ใช่ ๆ ข้าก็คิดแบบนั้น”
“จริงด้วย”
คำตอบที่ค่อย ๆ หลุดออกมาจากปากของเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ดังเป็นระยะ ราวกับว่าพวกเขารอใครสักคนพูดเปิดขึ้นมาก่อนทั้งที่ต่างคนต่างปอดแหกไม่กล้าแม้จะส่งเสียงหายใจ
“พวกเจ้าคิดงั้นหรือ?”
ไอเย็นที่แผ่ออกจากคนที่นั่งเก้าอี้หัวโต๊ะคืบคลานมาอย่างช้า ๆ พานทำให้ทุกคนในห้องแม้กระทั่งคนรับใช้เริ่มกระดิกตัวไม่ได้
ขาโต๊ะไม้เริ่มมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะไต่ขึ้นมาจนกินเต็มบริเวณพื้นที่โต๊ะยาว ตามมาด้วยเก้าอี้ทุกตัวในห้องและขาของเหล่าขุนนางขยับไม่ได้เพราะถูกแช่แข็งครึ่งท่อนล่าง
“ท…ท่านฟาโกซ ท่านไม่คิดว่ามันดีหรอกหรือ?”
รอยยิ้มเหี้ยมปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหนุ่มใหญ่วัย 47 ปีหลังจากที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ เขายืดตัวเอนหลังพิงไปกับพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายใจจ้องมองไปยังคนที่พูดนิ่งเฉย
ปึ้ง! เปรี๊ยะ!
แต่สักพักคนทั้งห้องต้องสะดุ้งโหยงเพราะเสียงตบโต๊ะดังลั่นจนไม้ที่ถูกไอเย็นเกาะค่อย ๆ ปริแตกร้าวน่ากลัว ถ้าหากเขาฟาดมือลงมาแรงกว่านี้โต๊ะทั้งหมดคงพังทลายลงไปในพริบตาเป็นแน่ ขุนนางที่นั่งอยู่ภายในห้องโถงกลืนน้ำลายหนืดลงคออย่างยากลำบาก
“เจ้าคิดว่าข้าควรดีใจนักหรือไง?!”
ฟาโกซตวาดก้องแล้วลากสายตากวาดมองไล่ไปทีละคนด้วยใบกึ่งยิ้มกึ่งบึ้งนั้นดูเหี้ยมเกรียม เขาเอียงคอฉีกยิ้มกว้างแล้วค่อย ๆ ลดระดับเสียงลงมาเพื่อคงมาดภาพลักษณ์ดยุกผู้ดูดีไว้ อย่างไรก็ตามเขาจะไม่แสดงอารมณ์ที่ไร้ซึ่งเหตุผลออกไปได้มากกว่านี้
“เจ้าลืมหรือแค่แกล้งโง่กันแน่ ว่า คำ-สั่ง ที่ข้าบอกไปคืออะไร ยังจำกันได้ไหมหื้ม?”
หนุ่มใหญ่เน้นย้ำคำที่พูดออกไปอีกครั้ง เขาคิดว่าตนเองก็สั่งงานละเอียดแล้วนะแต่ทำไมพวกมดปลวกถึงเข้าใจเขากันยากนักหนา งานง่าย ๆ แต่ชอบทำให้มันยุ่งยากจนน่ารำคาญใจ บางครั้งก็เป็นเขาเองที่ต้องคอยกระตุ้นจนเหมือนว่าเป็นตัวเองที่ไปทำงานแทน
…ไอ้พวกไร้ประโยชน์…
ถึงจะไม่ได้ดั่งใจไปบ้างแต่พวกมันก็จำเป็นสำหรับแผนการใหญ่ ที่เขาจำเป็นต้องใช้พวกหน้าโง่ทั้งหลายเป็นเครื่องมือไปสู่ความสำเร็จ
“พวกข้าจำได้ดีท่านฟาโกซ แต่อย่างน้อยพวกเราก็ฆ่าพวกมันยกครัวไปแล้ว คงไม่มีผีตนใดโผล่ลุกขึ้นมาจากหลุมมากล่าวคำให้การได้หรอก”
หนึ่งในขุนนางที่นั่งอยู่ใจกล้าพูดขึ้นด้วยทีท่ามั่นอกมั่นใจ ว่าพวกตนทำงานสำเร็จลุล่วงไม่มีทางผิดพลาดได้หรอก ฉะนั้นเขาจึงคิดว่าท่านดยุกฟาโกซคงหวั่นวิตกกังวลมากจนเกินไป
“เจ้าแน่ใจหรือว่าจัดการหมดจริงตามที่พูด?”
เขาเลิกคิ้วหันหน้าไปถามชายที่สวมชุดทางการสีน้ำเงินเข้ม ซึ่งมันนั่งอยู่ถัดจากเขาไปประมาณ 6 คน แม้จะไม่ไกลมากแต่ฟาโกซก็เห็นว่าอีกฝ่ายดูมั่นอกมั่นใจกับคำตอบเสียเหลือเกิน เขายกยิ้มน้อย ๆ ส่งไปให้แทนพานให้คนฟังทั่วทั้งโต๊ะกลั้นหายใจ
“ครับ…ท่านดยุกฟาโกซ”
บารอนคาร์เมนเป็นคนตอบคำถามนั้น พอเขามองตาของดยุกฟาโกซนานเข้าก็เป็นเขาเองที่เริ่มหายใจติดขัดบวก เมื่อได้ยินคำถามถัดมายิ่งพานทำให้คาร์เมนอยากกลั้นหายใจตายไปเสียตรงนี้
“แน่ใจหรือ?”
เสียงเสื้อเสียดสีดังขึ้นเนื่องจากการขยับตัวไม่ใกล้ไม่ไกลของมาร์ควิสเดเมียน ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามใกล้กับดยุกฟาโกซ หัวคิ้วของเขาขมวดมุ่นกว่าเดิม สถานการณ์เค้าลางไม่ดีเป็นอย่างมากจนเขาตัดสินใจว่าจะยื่นมือเข้าไปช่วยบารอนคาร์เมนสักเล็กน้อย
ดีกว่าปล่อยให้มันแถจนสีข้างถลอก
จากทีแรกเขาจะนั่งอยู่เงียบ ๆ แล้วปล่อยให้เป็นคนอื่นรายงานไป เขาจะได้ไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในครั้งนี้มากนัก ที่ไหนได้ต้องมาพูดแก้ต่างให้แทนทั้งที่ก็ไม่ใช่หน้าที่ของตน
“ใช่ครับ ข้าสั่งให้คนของข้าตามไปสมทบอีกรอบหลังจากคนของบารอนคาร์เมนไปถึง คนของข้าได้รายงานว่าตายหมดจริงครับ”
ฟาโกซหันหน้าไปมองหน้าเดเมียนแล้วหันหน้ากลับมามองคาร์เมนช้า ๆ อีกรอบ มือก็พลางลูบคางตนเองทำหน้าครุ่นคิดไปด้วยก่อนจะเอ่ยประโยคที่เหมือนต่อยหน้าคนทั้งห้องกลางอากาศ
“งั้นเหรอ? ทำไมข้าไม่คิดแบบนั้นนะ”
เมื่อคาร์เมนได้ยินคำถามย้ำซ้ำ ๆ แบบนั้น จากที่เคยมั่นใจเต็มร้อยกลับกลายเป็นว่าลังเลในคำตอบ ทว่าสุดท้ายเขาก็เลือกที่จะเชื่อตนเองในทีแรกแล้วตอบออกไปเพื่อหวังแก้ไขสถานการณ์
“มาร์ควิสเดเมียนมาตรวจดูอีกครั้งจริงครับท่านดยุกฟาโกซ”
ตอนนี้เขาจนปัญญาจะสรรหาคำพูดออกมาแล้ว ถ้าฟาโกซยังมีท่าทางแบบนี้ต่อไปมีหวังงานนี้จะซวยกันไปทั้งหมด
“ทั้งคฤหาสน์ไม่รอดหมด รวมทั้งคนรับใช้ครับ”
เดเมียนเลือกพูดเท่าที่บอกได้ เพราะวันนั้นเขาติดงานราชการด้วยจึงส่งคนไปตรวจเช็กแทนเท่านั้น ไม่รู้หรอกว่าสภาพเป็นยังไงและเขาก็ไม่อยากรับรู้อะไรด้วย
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำลงไปเพราะมันจำเป็นเท่านั้น อะไรอยู่นอกเหนือจากนี้ก็เป็นหน้าที่คนอื่นไปก็แล้วกัน
------
กดหัวใจ ❤️ หรือคอมเมนต์เป็นกำลังใจให้ไรต์ได้นะคะ
หากพบคำผิด แก้ไขหรือติชม โปรดคอมเมนต์อย่างสุภาพไรต์ยินดีปรับปรุงแก้ไขค่ะ
Talk with writer
ขอเป็นการเปิดตัวละครใหม่กันในบทนี้เลยแล้วกันนะคะ เป็นอีกหนึ่งความท้าทายของไรต์ที่ต้องเขียนบุคลิกตัวละครแบบใหม่ ๆ เสมอ หลังจากนี้ใกล้เข้าสู่เนื้อหาเข้มข้นที่ไม่มั่นใจว่าจะถูกใจนักอ่านไหม แต่อย่างไรก็ตามธีมเรื่องนี้คือรักแฟนตาซีอยู่แล้ว จะพยายามไม่ทำให้เนื้อหาหนักหน่วงมากจนเกินไป ชีวิตจริงเครียดกันอยู่แล้วเราก็ไม่อยากให้นิยายที่อ่านตึงจนทำให้ปวดขมับ (มั้ง) รักคุณรี้ดนะคะใกล้ปล่อยรูปเล่มแล้วดีใจมาก
แวะมาพูดคุยเล่นหรือดูอัปเดตเกี่ยวกับนิยายไรต์ได้ที่
Facebook : C.T.Tiana
X (Twitter) : @Ccttiana
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in