เกรเทลเริ่มรู้สึกตัวหลังจากเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ทว่ารอบตัวของเธอตอนนี้กลายเป็นถนนสองฝั่งที่มีเกาะกลางถนนเป็นต้นไม้และพุ่มไม้เล็ก ๆ เรียงราย
นอกจากนี้ยังมีร้านค้าต่าง ๆ ทยอยเปิดไฟให้สว่างไสวในช่วงยามเย็น ผู้คนมากมายต่างทยอยเลิกงานกำลังเดินสวนกันไปมาจนน่าเวียนหัว
มันเป็นสถานที่ดูคุ้นตามากสำหรับเกรเทล พอผ่านไปสักพักเมื่อเธอประมวลผลเสร็จถึงรู้ว่าที่นี่คือแถวละแวกร้านกาแฟที่เธอและเฮลก้ามักนัดมาเจอกันเสมอ
“หนูเหนื่อยอ่ะพี่ ไม่รู้ว่าเหนื่อยอะไรแต่มันเหนื่อยอ่ะ”
เสียงหวานคุ้นหูเรียกความสนใจให้คนอย่างเธอจำต้องหันไปมองยังทิศทางของเสียง ซึ่งมันคือฝั่งตรงข้ามถนนที่เธอยืนอยู่นั่นเอง
เกรเทลขมวดคิ้วแน่นกับภาพตรงหน้าที่เธอกำลังมองเห็นในขณะนี้ เด็กสาวผมสีบลอนด์ตัดสั้นกำลังยืนอยู่ริมถนนตรงป้ายรถเมล์ปะปนกับผู้คนที่มายืนรอรถเช่นกัน
…นั่น…มันฉันไม่ใช่หรือไง….
ไม่ผิดแน่เด็กสาวที่ยืนถือโทรศัพท์คือเธอแน่นอน ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้ากระทั่งการแต่งกายล้วนเป็นสไตล์ที่เธอชื่นชอบ ดูเหมือนว่าในมือของเธอกำลังถือโทรศัพท์คุยกับใครบางคนอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เกรเทลรีบหันกลับมามองที่ตัวเองอีกครั้ง จึงพบว่าสภาพร่างกายของตนดูโปร่งแสงใสจนมองทะลุผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
…เรื่องบ้าอะไรเนี่ย? …
แทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าจะมีตัวเธอสองคนอยู่ที่นี่ เกรเทลตื่นตระหนกจนมือสั่น ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะถ้าเธอตายแล้วก็ไม่น่าจะมาเห็นตัวเองยืนอยู่ได้สิ
กระทั่งเสียงหวานจากฝั่งตรงข้ามเอ่ยขึ้นอีกครั้งทำให้เธอต้องเงยหน้าหันกลับไปมอง
“ชีวิตหนูเหมือนไม่ใช่ชีวิตหนู หนูแค่อยากได้ชีวิตหนูแค่นั้นเอง”
‘…’
แม้จะยืนห่างกันหลายเมตรแต่เธอก็ได้ยินเสียงพูดของตนเองเหมือนยืนอยู่ใกล้แค่เอื้อม จนต้องเพ่งสายตามองดูอีกครั้งว่าเธอไม่ได้หูฝาดไป
เสียงคนในสายคือพี่ฮันเซล
“ตลอดหลายปีมานี้หนูพยายามทำตามที่ป๊าบอกแต่ก็ทำไม่ได้ ถ้าชีวิตเราไม่ลองทำอะไรเลยมันก็จะเอาตัวไม่รอด เรื่องนี้พี่รู้ดีกว่าใครนะ”
ตอนนี้เกรเทลยืนอยู่ถนนฝั่งตรงกันข้าม พลันหัวสมองนึกออกแล้วว่าวันนั้นเธอทะเลาะกับป๊าเรื่องแฟนแล้วต่อด้วยพี่ชายตนเอง เธอน้อยใจกับความไม่มีเหตุผลของคนทั้งคู่จึงแสดงออกด้วยทีท่าต่อต้านเอาแต่ใจ
“หนูน่ะ…”
เธอเห็นเด็กสาวตรงหน้าเอามือปาดขอบตาที่เริ่มมีน้ำใสซึมออกอย่างลวก ๆ เกรเทลรู้สึกว่าขอบตาตนเองมีน้ำไหลออกมาด้วยเช่นกัน
ไม่รู้ว่าจะห้ามความรู้สึกพวกนี้ได้อย่างไรเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มทะลักปริแตกเอ่อล้นออกมาทีละน้อย
“หนูน่ะอิจฉาพี่มากเลยรู้ตัวไหม”
ยิ่งฟังไปเรื่อย ๆ เธอยิ่งรู้สึกไม่ดีจึงตัดสินใจที่จะข้ามไปถนนฝั่งตรงข้าม แต่เมื่อพอจะก้าวขาออกไปไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ก้าวขาไม่ออกเสียที เหมือนกับว่าขาถูกยึดติดอยู่กับพื้นแน่นเหมือนรากต้นไม้ใหญ่
…ทำไมขาฉันขยับไม่ได้…
ไม่ว่าเกรเทลจะพยายามดึงขาตนเองหรือขยับมันอย่างรุนแรงเพียงใด เธอก็ไม่สามารถก้าวขาออกไปได้แม้แต่ก้าวเดียว
“พี่ที่เกิดเป็นผู้ชาย ไม่มีใครกล้ามารังแก ไม่ต้องมาคอยเป็นห่วงจนเกินไปเหมือนผู้หญิง อยากทำอะไรก็ได้ตามใจ”
‘เกรเทลพี่…’
เธอได้ยินเสียงพี่ฮันเซลพูดอยู่ข้างหูอย่างชัดเจน ทั้งที่เขาอยู่ในสายโทรศัพท์ห่างไกลจากตัวเธอในตอนนี้มากนัก หัวใจเริ่มบีบแน่นกว่าเดิมความรู้สึกต่าง ๆ เริ่มตีตื้นขึ้นมาคับคอ เหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำแล้วพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาเพื่อหายใจ
“พี่ฟังนะผู้หญิงนะไม่ได้สบายอย่างที่หลายคนเข้าใจหรอกและหนูก็รู้ด้วยว่าผู้ชายก็ไม่ได้สบายเช่นกันต่างคนต่างมีความยากไม่เหมือนกัน”
‘…’
“พี่ก็พยายามในส่วนของพี่ หนูก็พยายามในส่วนของหนู”
ทั้งหมดนี้คือภาพเหตุการณ์ในวันนั้นก่อนวันที่เธอจะตื่นขึ้นมาในโลกใหม่ ภายในอกเหมือนกำลังถูกฉีกออกมาทีละนิดทีละน้อย ความทรงจำที่ก่อนหน้านี้นึกไม่ออกค่อย ๆ เปิดประตูแง้มเผยให้เห็น
…พี่ฮันเซล…
ความโศกเศร้าถาโถมเข้าใส่เหมือนพายุจนข้างแก้มเปียกชื้น ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเธอถึงหยุดความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้เลย มันเริ่มทวีคูณมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสายตาพร่าเลือน
“ดูงี่เง่าเนอะพี่ที่หนูพูดแบบนี้ แต่ถ้าหนูไม่พูดออกมาคงอึดอัดจนขาดใจตายเข้าสักวัน”
“หนูไม่รู้หรอกว่าพวกพี่คิดยังไง แต่หนูเบื่อแล้วนะ…ฮึก”
ร่างโปร่งใสยกมือลูบหน้าตนเองอย่างหมดแรง สายตายังคงจับจ้องเฝ้ามองตรงไปยังเด็กสาวฝั่งตรงข้าม ฟังบทสนทนาที่เธอไม่มีทางเข้าไปแทรกได้
‘พี่มีเหตุผล’
“เหตุผล? พอเถอะพี่ฮันเซล ตอนนี้หนูไม่พร้อมฟังคำแก้ตัวหรือข้ออ้างของใครทั้งนั้น”
เธอส่ายหัวไม่เข้าใจสถานการณ์ ในหัวมีแต่คำถามว่าทำไมเธอถึงมายืนอยู่ตรงนี้ ทำไมต้องมาเห็นภาพที่เธอจำได้เพียงเลือนราง เหมือนเด็กน้อยที่ทำชิ้นส่วนจิ๊กซอว์หายไปสองสามชิ้นจนปะติดปะต่อเรื่องราวได้ไม่เต็มที่
‘เกรเทลฟังพี่ก่อน’
หลายครั้งที่ปากพยายามตะโกนเรียกชื่อตนเองจากฝั่งตรงข้าม แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามตะโกนพูดเสียงดังออกไปเท่าไร ล้วนไม่มีเสียงเธอออกมาแม้แต่นิดเดียว เหมือนพระเจ้าต้องการเพียงให้เธอเห็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วเท่านั้น
หูยังคงได้ยินเสียงพี่ชายที่เหมือนเขาพยายามจะบอกอะไรบางอย่างกับเธอ ซึ่งเด็กสาวที่ยืนถือโทรศัพท์ฝั่งตรงข้ามกลับไม่รับฟังมันแม้แต่น้อย เกรเทลไม่อยากเห็นภาพนี้แล้วทำไมมันถึงได้ปวดใจขนาดนี้ก็ไม่รู้
ทำไมตอนนั้นเธอถึงไม่ยอมฟังสิ่งที่พี่ชายจะบอก ทำไมเธอทำตัวเป็นเด็กไร้เหตุผลแบบนี้
“พี่ไม่ต้องพูดแล้ว ตอนนี้หนูขออยู่คนเดียว”
…ไม่! หยุดนะ...
เกรเทลตะโกนร้องเรียกภายในใจทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครได้ยิน เธอไม่คิดว่าตนเองจะงี่เง่าได้ขนาดนี้จนอยากวิ่งเข้าไปตบกบาลตนเองให้จบ ๆ ไป มือบางขยุ้มหัวและขยี้ผมบนศีรษะตัวเองด้วยความหงุดหงิด
พี่ชายกำลังจะบอกอะไรกับเธอกันแน่
เธอในตอนนั้นเหมือนคนไม่มีสติไม่ฟังอะไรเลยสักอย่าง เอาแต่ยืนตัวสั่นอดทนอดกลั้นร้องไห้เงียบ ๆ หน้าป้ายรถเมล์ท่ามกลางผู้คนที่ทยอยออกมารอรถเหมือนกัน
แต่ไม่นานความทรงจำที่ขาดหายไปก็เริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางของมัน เกรเทลเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นวันนั้น
แสงจ้าที่สาดเข้ามายังจุดที่ตัวเธอยืนอยู่ตรงป้ายรถเมล์เนื่องจากความเร็ว ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน เด็กนักเรียน นักศึกษา มนุษย์เงินเดือนที่เพิ่งเลิกงานต่างไม่ทันได้เตรียมตัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหัน
‘เกรเทลพี่แค่…’
โครม! เคร้ง!
เสียงสุดท้ายที่เธอได้ยินแจ่มชัดที่สุดนอกจากเสียงพี่ชายในสายก็คือเสียงกรีดร้องของตัวเธอเอง
มือบางสั่นเทายกขึ้นปิดปากกับภาพที่รถบรรทุกพุ่งเข้าชนกวาดเอาผู้คนทั้งหมดที่ยืนอยู่บริเวณนั้นกระเด็นกระจัดกระจายไปไกลด้วยความแรง
ตัวเธอที่ยืนชิดติดริมถนนมากจนเกินไปจึงโดนหน้ารถบรรทุกชนเข้าอย่างเต็มแรงเป็นคนแรก ตามมาด้วยเหล่าผู้คนที่ยืนรอรถเมล์ตามลำดับ ภาพของเหล่าผู้บาดเจ็บสาหัสมีเลือดไหลติดตาเกรเทล ร่างบางไม่คาดคิดว่าชีวิตนี้จะได้มาเห็นสถานการณ์ชวนขนลุกเกิดขึ้นตรงหน้า
แข้งขาอ่อนแรงล้มลงไปนั่งที่พื้นน้ำตาไหลเต็มหน้า มือไม้สั่นรุนแรงเพราะทำอะไรไม่ถูก หัวใจเต้นแรงมากจนหายใจไม่ออกเหมือนว่าตนเองกำลังตายจริง ๆ
ทว่าพอเหลือบหางตามองไปยังร่างตนเองที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงริมฟุตบาทใกล้ ๆ กับเสาไฟฟ้า สภาพโชกเลือดทั้งตัวแขนขาหักผิดรูปจนน่าสยดสยอง ข้าวของกระจัดกระจาย มือถือตกอยู่ไม่ห่างจากตัว
เสียงฮันเซลที่เอาแต่ตะโกนเรียกชื่อเธอดังออกมาจากสายโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นระยะ เขาดูตกใจและกระวนกระวายมากที่สุด แม้ว่าเขาจะเรียกเธอมากแค่ไหนก็ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับอยู่ดี
“ฮึก…”
เกรเทลปล่อยร้องโฮทันที ร้องไห้สะอื้นจนตัวโยกเสียงแหบเสียงแห้ง ส่ายหัวไปมาอย่างรุนแรงเริ่มรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปเมื่อครู่
งั้นแสดงว่าวิญญาณเธอหลุดออกมาจากร่างเดิมแล้วใช่ไหม เธอจะไม่มีโอกาสได้กลับไปหาพี่ชายอีกแล้วใช่ไหม หรือแม้แต่กลับไปหาป๊าและแม่
คำถามก่อเกิดขึ้นมานับไม่ถ้วนจนปวดหัว มันตีรวนสับสน สภาพจิตใจพังทลายลงอย่างไม่มีชิ้นดีเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นมันสมจริงมากเกินไป เธอไม่อยากจะเชื่อแต่สัญชาตญาณกู่ร้องดังว่ามันคือเรื่องจริง
จากนั้นภาพก็ตัดดำมืดจนมองอะไรไม่เห็น เธอก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม น้ำตายังคงรินไหลมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ทำไมกัน…ฮือ”
“หนูทำอะไรผิด…”
“ฮึกหนูขอโทษ”
เกรเทลเอาแต่กล่าวโทษตัวเองซ้ำวนไปวนมาไม่หยุด ขดตัวโอบกอดตนเองให้ได้มากที่สุด
“พี่ฮันเซล ป๊า แม่คะ”
หนึ่งในคำภาวนาที่เธอขอให้มันเป็นเพียงแค่ฝันร้ายตื่นหนึ่ง พอลืมตาขึ้นมาเธอจะได้เจอพี่ชายที่คอยดูแลเอาใจตามใจ ป๊าที่วัน ๆ เอาแต่บ่นเธอว่าเธอไม่ค่อยสนใจเขา หรือแม่เบลที่มักคอยถามไถ่เธอว่าเหนื่อยไหมหิวข้าวหรือยัง
ขอไม่ให้มันเป็นเรื่องจริง ขอแค่พระเจ้าเล่นตลกกับเธอ เธอเริ่มหายใจไม่ทันจนเจ็บหน้าอกไปหมด
ไม่รู้ว่าร้องไห้มานานแค่ไหน ไม่รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน เป็นนรกหรือสวรรค์ รอบด้านยังคงมืดสนิทจนมองไม่เห็นมือตนเอง เธอจะเดินไปทางไหนก็ไม่กล้าลุกไป
มนุษย์มักกลัวสิ่งที่มองไม่เห็น
“ไม่เป็นไร”
แว่วเสียงเบาบางเหมือนลอยมาตามสายลม เพียงแค่คำสั้น ๆ ไม่ได้สำคัญอะไรกลับปลอบประโลมจิตใจชโลมให้ชุ่มชื่นกลับมา
หยาดน้ำตาที่เคยรินไหลอย่างห้ามไม่ได้ค่อย ๆ หยุดลงเพราะเสียงที่เธอได้ยิน
“ฮึก”
“เจ้าจะไม่เป็นอะไร”
ไออุ่นบางอย่างสัมผัสลงมาบนเส้นผมอย่างนุ่มนวล เกรเทลอยากรู้ว่ามันคืออะไรจึงพยายามลืมตาขึ้น
สิ่งที่ปรากฏมันช่างเป็นภาพที่เบลอเลือนรางเหมือนถูกหมอกหนาบดบังไม่แจ่มชัดเช่นปกติ อาจจะเพราะหยาดน้ำตาหรือสติสัมปชัญญะที่ขาด ๆ หาย ๆ ของเธอเอง
เมื่อเห็นไม่ชัดเธอจึงพยายามเพ่งมองไปยังตรงหน้าแต่เปลือกตาของเธอมันช่างหนักเหลือเกิน ส่วนฝ่ามือบางที่เคยเย็นบัดนี้กลับอบอุ่นขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด
“ข้าจะอยู่กับเจ้า”
ทว่าสิ้นเสียงคำพูดนั้นก้อนหินที่เคยกดทับตัวเธอได้ถูกยกออกจนหายใจได้ดีขึ้น แทนที่ด้วยความเหนื่อยล้าถาโถมเข้าใส่
“ทุกอย่างจะดีเอง”
ขณะนี้เธอรู้แค่ว่ารู้สึกปลอดภัย เธอหยุดร้องไห้ไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่มั่นใจและไออุ่นยังคงอยู่กับเธอไม่ห่างไปไหน ไม่ว่าจะแรงบีบน้อย ๆ ที่ฝ่ามือ สัมผัสแผ่วเบาที่หน้าผาก หรือคำพูดไม่กี่คำส่งผลให้เธอสงบลงได้
“เจ้าพักได้แล้ว”
ในที่สุดภาพทุกอย่างก็ถูกตัดไปเหมือนม้วนหนังเรื่องหนึ่งที่รอเวลาคนมาเปลี่ยนม้วนฟิล์มใหม่ให้ แว่วเสียงที่อ่อนโยน สัมผัสที่หวานละมุน ชโลมความบอบช้ำที่แตกสลายให้กลับมายืนหยัดได้
แม้มันจะต้องใช้เวลาประกอบขึ้นมาใหม่ แต่เกรเทลรู้สึกได้ว่ามันจะไม่เป็นไรอย่างที่เธอได้ยินจากเสียงที่ค่อย ๆ ห่างไกลออกไป
------
กดหัวใจ ❤️ หรือคอมเมนต์เป็นกำลังใจให้ไรท์ได้นะคะ
หากพบคำผิด แก้ไขหรือติชม โปรดคอมเมนต์อย่างสุภาพไรท์ยินดีปรับปรุงแก้ไขค่ะ
Talk with writer
พล็อตตลาดมากจนแบบเขียนลบเขียนลบหลายรอบแต่ก็เขียนไปแล้ว ฮ่า ไม่เป็นไรนะคะคุณรี้ดปล่อยจอยกับฉากนี้ สัญญาว่าเรื่องหน้าเราจะเขียนแนวทะลุมิติแบบใหม่ ๆ แปลก ๆ ให้ได้ค่ะ และวันนี้ไรต์ขอแวะมาแจ้งข่าวดีและข่าวร้ายด้วยค่ะ
แวะมาพูดคุยเล่นหรือดูอัปเดตเกี่ยวกับนิยายไรท์ได้ที่
Facebook : C.T.Tiana
X (Twitter) : @Ccttiana
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in