ใครที่ตามอ่านมาตั้งแต่แรกๆ ก็คงจะพอรู้ว่าเราเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท หรือที่เรียกว่า Herniated disc หรือ Slipped disc หรือที่หมอเขียนว่า HNP ซึ่งย่อมาจาก Herniated Nucleus Pulposus ...อย่ามาถามว่าแปลว่าอะไร นี่อ่านยังอ่านไม่ถูก
เหตุมันเกิดมาจาก (เราคิดว่านะ) การที่เราเลื่อนเตียงโดยใช้เท้าดัน ...อย่างงค่ะ เราจะอธิบายให้อ่าน ขอเพียงแค่คุณตั้งสติแล้วนึกภาพตามค่ะ
- สถานที่เกิดเหตุ: ในห้องนอนซึ่งปูด้วยกระเบื้องปูพื้นแบบแกรนิโต (กระเบื้องแผ่นใหญ่ๆ ที่เค้าใช้ปูตามห้าง แนวๆ นั้นอ่ะ) เราเดาว่ามันน่าจะเป็นกระเบื้องชนิดเลว เพราะพอระยะเวลาผ่านไป มันก็แอ่น โค้ง ดีดตัวเด้งดึ๋งออกมาจากพื้นที่ปูไว้ ทำให้พื้นไม่เรียบสนิท ขอบกระเบื้องโผล่ออกมาให้เตะเล่นในบางแผ่น แล้วอิขอบเตียงก็เสือกวางอยู่บนแผ่นที่แม่งดีดพอดีไง
- ขณะเกิดเหตุ: เราคิดบ้าไรอยู่ไม่รู้ตอนนั้น (มันนานมากแล้ว จำไม่ได้จริงๆ) ที่แน่ใจคือมันคือความคิดที่ไม่ปกติ นึกคึกอยากขยับเตียง แต่พ่อ (ซึ่งเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้านในขณะนั้น) ไม่อยู่บ้าน เราก็คิดว่า เออ ไม่เป็นไร เคยเลื่อนเองแล้ว ทำเองได้ ครั้งนี้ก็ต้องทำได้ ก็...ปฏิบัติค่ะ ยืนตรงมุมเตียง ขาซ้ายวางพื้น ขาขวาถีบขอบเตียงเพื่อเลื่อน แล้วก็ กึ้ก!
ได้ยินเสียงจริงๆ สาบานได้ กึ้กเดียวทำลายชีวิต กึ้กเดียวทำลายทุกอย่าง จำได้ว่านิ่งไปเพราะรู้สึกว่าอะไรสักอย่างผิดปกติ แต่ก็ยังงงๆ อยู่ งงว่าเสียงอะไร และงงว่าทำไมเตียงเลื่อนไม่ไป ก็จะเดินไปดู แต่เอ๊ะ ทำไมหลังแข็ง และปวดแปลกๆ หลังมันแข็งเหมือนเวลานอนตกหมอนแล้วคอพัง แล้วเวลาหันต้องหันทั้งตัวเพราะคอหมุนไม่ได้ แบบนั้นอ่ะ แต่นี่คือเป็นทั้งหลัง คือตั้งแต่คอลงมาตูด หรือจะพูดให้ถูกคือตั้งแต่ตูดขึ้นไปคอ เพราะอิข้อที่เกิดความเสียหายมันอยู่ด้านล่าง จำได้ว่าเป็นงั้นอยู่หลายวัน น่าจะอาทิตย์กว่าได้ บอกพ่อ พ่อก็บอกไม่น่ามีไร เรายังเด็ก นอนพักซะ เดี๋ยวก็หาย ก็เชื่อพ่อ ตอนนั้นยังไม่ได้ทำงานด้วยไง นั่งๆ นอนๆ อ่านหนังสือสอบอยู่บ้าน เลยไม่เดือดร้อนกับการนอนพักตัวอยู่บ้าน แล้วมันก็หาย...
เราไม่ปวดหลังเลยจนกระทั่งวันนึง หลังจากเลื่อนเตียงไม่น่าจะเกินหกเดือน เราจำได้ว่าไปแมคโครกับที่บ้าน เดินๆ อยู่แล้วรู้สึกว่า ไม่ไหว เสียวและปวดขามาก ต้องลงไปนั่งยองๆ กะพื้นหลายรอบมาก ไม่กล้าบอกพ่อด้วยว่าเป็นอะไร กลัวพ่อห่วง ก็แบบ ทำเป็นนั่งลงไปดูนั่นนี่ชั้นล่างๆ หยิบๆ จับๆ ทำฟอร์มไป ก็รอดมาได้ -- ตอนนั้นก็เดาว่าต้องเป็นอะไรเกี่ยวกับขาแน่ๆ เลยไม่ได้ใส่ใจ เพราะจำได้ว่าเราไม่ได้ทำอะไรกับขาเลย เลยคิดว่าเป็นเพราะเราไม่ได้ออกกำลังกาย บวกกับอายุที่มากขึ้น ไม่ใช่เด็กๆ เหมือนแต่ก่อน ก็คิดว่ามันจะหายเอง ...แต่เปล่า แม่งไม่หาย
เราจำไม่ได้ว่าเราทนอยู่นานแค่ไหน เพราะเราก็ไปเรียน ไปทำงานอะไรได้อยู่นานหลังจากนั้น จนแม่งไม่ไหวจริงๆ คือตอนนั้นไปทะเลาะเรื่องห้องเช่าให้ลูกความ แล้วอิห้องเช่าแม่งไม่มีเก้าอี้เพียงพอสำหรับทุกคน เราก็ต้องยืน ตั้งแต่เย็นยันมืด จำได้ว่าตอนท้ายๆ นี่ เราได้แต่ยืนมองทุกคนเถียงกัน ไม่มีอารมณ์พูดอะไรแล้ว จะตายแล้ว มาได้นั่งตอนนั่งรถกลับบ้าน รู้สึกเลยว่าต้องหาหมออ่ะ ไม่ไหวแล้ว -- แต่ก่อนจะหาหมอจริง เราก็ต้องหาหมอกูเกิลก่อน เพื่อเตรียมใจแต่เนิ่นๆ หมอกูเกิลบอกว่า อาการที่เราเป็นเกิดจากหลัง ไม่ใช่จากขา เราปวดขาเพราะเส้นประสาท เส้นเอ็น กล้ามเนื้ออะไรบ้าบอที่ขาคือปกติ ต้องไปซ่อมหลังด่วน ไปช้าอาจพิการได้ สัส
เข้าใจมาตลอดว่าที่เป็นคือเพราะขาพัง ซึ่งมันก็ดูจะซ่อมง่ายกว่าหลังไง เลยไม่สนใจ ถ้ารู้ว่าเป็นเพราะหลังแต่แรกก็ไม่ดองไว้มะ เซ็งตัวเองมากอ่ะตอนนั้น -- พอไปหาหมอจริง หมอจริงก็เฉลยเหมือนหมอกูเกิล ต่างกันตรงที่ว่าหมอจริงชิลแท้ ชิลเหลือเกิน ใจเย็นประดุจดั่งสายน้ำ ใจเย็นเจี๊ยบ บอกเป็นไม่หนัก เรายังเดินได้อะไรได้ ไม่ผ่า เอายาไปกิน แล้วนัด follow up สวัสดี -- เจอกี่ครั้งหมอก็พูดแบบนี้ จนกระทั่งเราไปหาแล้วบอกว่า เรากิน ultracet แล้วไม่หายปวดหลังนี่แหละ หมอถึงได้ส่งเราไปคลีนิค pain management
ต้องอธิบายก่อนว่า ช่วงแรกๆ เราปวดขาตามแนวเส้นประสาทก่อน คือปวดจากข้างในก้น ซึ่งคือตรงไหนไม่รู้ บอกไม่ถูก รู้แต่ว่ามันอยู่ข้างใน แล้วลากยาวลงมายันปลายนิ้วโป้งเท้า (ที่ตอนนี้ยังคงชาอยู่) ตลอดทั้งขาที่ปวดก็บอกไม่ได้ด้วยนะว่าปวดตรงไหน บอกได้แค่ว่ามันปวดข้างในขา มีชา มียุบยิบๆ ตามขา
เราก็กินยารักษาปลายประสาท กินวิตามินอะไรไปตามที่หมอสั่ง จนอาการที่ขาหายไป แล้วก็ปวดหลังแทน หมอก็ให้ยาแก้ปวดหลังแยกต่างหาก สุดท้ายได้ ultracet กินไปสักพักก็เริ่มจะไม่หาย เลยไปบ่นกะหมอว่ากินแล้วไม่หาย หมอบอกหมอทำไรไม่ได้แล้ว หมอให้ยาแรงสุดได้แค่นี้ อยากได้แรงกว่านี้ต้องไปหาหมออื่น เราก็ถูกส่งไปหาหมอ pain
ประสบการณ์การหาหมอ pain ครั้งแรก เราไม่โอเคมากๆ ได้เจอหมอผู้ชาย นางปฏิบัติกับเราไม่ดีเท่าไหร่ แม้ว่าจะอยู่ต่อหน้าเพืื่อนเรา (เพื่อนเข้าไปในห้องตรวจด้วย) และพยาบาลก็ตาม เราพยายามคิดว่าไม่มีอะไร หมอคงแค่ตรวจ แต่พอออกมาจากห้อง เพื่อนก็ทักว่า "หมอควรจะต้องทำแบบนั้นหรอมึง" เออ นั่นดิ หมอควรจะต้องทำแบบนั้นหรอ -- แย่สุดคือตอนอยู่ในห้องผ่าตัดเพื่อฉีดยาชาอะไรก็ไม่รู้ลงหลัง หมอแม่งก็ทำอีกไง ตอนนั้นคือเฟลมาก เกลียดหมอจนไม่รู้จะเกลียดเบอร์ไหน ใจนึงก็พยายามคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของการวินิจฉัย แต่อีกใจนึงซึ่งเป็นใหญ่กว่าบอกเราว่า ไม่ใช่อ่ะแก นี่ไม่ใช่การวินิจฉัย หมอแม่งจิต -- เนื่องจากว่าอีการฉีดยาชาอะไรนั่นมันไม่ได้ผลที่ชัดเจนนัก จึงต้องมีการตรวจเพิ่ม ซึ่งก็ต้องมาเจอหมอ pain อีก และตรวจอีก (ตรวจอะไรไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว) แล้ววิธีมันก็จะคล้ายๆ เดิม เราเลยขอหมอออโธ บอกให้เค้าส่งเราไปหาหมอ pain ที่เป็นผู้หญิง หมอก็ส่งไป -- พอเปลี่ยนหมอ หมอใหม่ก็บอกจะเริ่มใหม่ทุกอย่าง คือเราต้องโดยฉีดยาชาที่หลังแบบเดิมอีกรอบ แล้วถ้าไม่โอเค ก็ทำอะไรสักอย่างนั่นต่อเลย ... เราก็รู้สึกสิ้นหวัง วันนั้นได้ ultracet มากล่องใหญ่ ก็ทิ้งทุกอย่าง ช่างแม่ง ตรวจไปก็ไม่หาย หาสาเหตุไม่เจอ เปลืองเงินอีก เลยเทแม่มหมด เทหมอ pain เทกายภาพ เทหมอออโธ รอยาหมดค่อยกลับไปขอเพิ่ม
เราไม่อยากพูดถึงสิ่งที่หมอผู้ชายคนนั้นทำ มันไม่ได้ร้ายแรงอะไร มันเป็นอะไรที่เล็กน้อยมากสำหรับเรา แต่ถ้ามาคิดว่า เค้าทำได้ไหม คือถ้านั่นไม่ใช่ส่วนหนึ่งของการวินิจฉัย เค้าก็ทำไม่ได้ เค้าไม่ควรทำ สิ่งที่เค้าทำมันผิด เรากลับมาบอกเพื่อน หัวหน้า และพ่อ -- แน่นอน เพื่อนและหัวหน้าเดือดดาลมาก บอก ร้องเรียนมันเลย เจน ร้องเรียนมัน ส่วนพ่อ พ่อทำสีหน้ารังเกียจหมอประมาณไม่ถึง 1 นาที แล้วก็บอกเราว่า "หมอแม่งบางทีก็โรคจิต" แล้วก็จบ แค่นั้น ... สายปล่อยวางที่แท้ทรู
นี่คือร่องรอยแห่งความเจ็บปวด — ในห้องผ่าตัด ต้องใช้เอ็กซเรย์ประกอบการแทงเข็มเข้าไปในหลังเพื่อฉีดยาชาตรงแถวๆ เส้นประสาทที่หลัง 3 ข้อ แล้วอีจอเอ็กซเรย์แม่งก็อยู่ตรงหน้าเรา หมอให้นอนคว่ำ แต่เงยหน้ามานิดนึงก็เห็นจอแล้วอ่ะ เข็มที่ใช้เป็นเข็มยาวๆ แท่งเล็กๆ แทงสดไม่มียาชา เราไม่รู้ขั้นตอนเพราะเราเห็นแค่เข็มยาวๆ สามแท่งปักคาหลังเราอยู่ในจอ อีตอนปักเข็มอ่ะไม่เท่าไหร่ แต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ไม่แน่ใจว่าตอนที่ฉีดยารึเปล่า แม่งปวดแบบเกิดมาไม่เคยปวดขนาดนี้ ปวดหนักมากในหลัง แล้วความปวดก็วิ่งปรู๊ดลงขา ปวดจนปวดหัว ปวดจนฉีดเสร็จไม่มีแรงทำห่าไรทั้งนั้น มึนไปหมด ไม่รู้มึนยาชาหรือมึนอะไร แต่ทำไรไม่ได้อ่ะ นอนพักอยู่แป๊บนึงหมอก็มาบอกให้นั่งสักพัก แล้วลุกมาเดิน หมอบอกฉีดแลัวต้องหายปวด สรุปไม่หายอยู่จุดนึง ก็เลยต้องหาสาเหตุกันต่อ
เรามาคิดๆ ดู ทำไปก็ไม่หายอะ เปลืองตัง (เปลืองตัวด้วยเอาจริงๆ) เลยเทแม่ม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in