หลังจากที่การเพิ่มโดส fluoxetine มันไปขุดคุ้ยอดีตอันเลวร้ายของเรามาเล่นย้ำ ซ้ำๆ ในฝันทุกคืน เราก็เลยเลื่อนนัดหมอจิตมาเป็นเมื่อวาน
หมอเหมือนจะรู้ว่าเรามาก่อนเวลานัด หรือหมออาจจะไม่รู้ก็ได้ ก็เรื่องของหมอสิวะ จะใส่ใจอะไร งง เจอหน้ากันหมอก็ทักทายตามปกติของหมอ “เป็นไงมั่ง” เราบอกว่าเราฝันร้ายทุกคืนเลย เราไม่โอเค หมอก็ถามรายละเอียด เราก็บ่นยาวเลยว่า “ยานอนหลับ clonazepam ที่หมอให้มา อีเม็ดกลมๆ น่ะค่ะ มันทำให้หนูหลับง่ายนะ ช่วงต้นจะหลับไวมาก แต่พอตีสองตีสามหนูจะตื่น แล้วหลังจากนั้นก็จะตื่นถี่ยิบเลย ฝันร้ายเรื่องนึงก็ตื่นทีนึง ตื่นมาก็นอนต่อได้นะคะ แต่พอฝันร้ายอีกหนูก็ตื่นอีก—“
หมอก็นั่งฟังเงียบๆ อย่างตั้งใจ ให้คะแนนความตั้งใจเต็มสิบ
“—คือถ้ามันฝันเลอะๆเทอะๆ แบบตอนแรกๆ เลย หนูรับได้นะ แต่ฝันช่วงนี้มันแย่มาก หนูทนไม่ได้ มันทรมาน”
“ฝันร้ายยังไง ฝันถึงเหตุการณ์วันนั้นมั้ย” หมอถาม
“ไม่ค่ะ ในฝันจะไม่มีการเล่นซ้ำของเหตุการณ์ในวันนั้นเลย แต่มันจะเป็นเหตุการณ์หลังจากนั้น มันจะเป็นสิ่งที่หนูกลัว กังวล อย่างพวกความตาย หนูฝันว่าคนรู้จักตาย ตัวเองตาย เห็นศพ เห็นกองเลือด ไฟไหม้ ฝันถึงสถานการณ์ที่ทำให้หนูรู้สึกไม่ปลอดภัย อย่างเมื่อคืนเลยนี่ หนูลองกิน clonazepam ไปสองเม็ด จากที่หมอสั่งให้กินแค่หนึ่งเม็ด—“
หมอถอนหายใจ แอบยิ้ม แล้วก็ส่ายหัว หมอออออ อย่ามาทำกิริยาแบบนี้นะ ตีนะ!
“แล้วเป็นยังไง พอเพิ่มโดสละเป็นไง”
“ก็นอนยาวเลยค่ะ ร่วงไปตอนสามทุ่มครึ่ง สะดุ้งตื่นมาอีกทีตอนตีห้า ฝันร้ายยาวเลยจนตื่น”
“ฝันว่าอะไร”
“ฝันว่าหนูกลับไปที่บ้านเก่าที่ไฟไหม้ แล้วทุกอย่างยังเหมือนเดิม สภาพมันเหมือนกับวันที่หนูเข้าไปในวันหลังจากเกิดเหตุ แต่ในฝันมันคือหนูตอนปัจจุบันนี้ ไม่ใช่ตอนเด็ก แล้วหนูก็ไปยืนมองตรงที่ๆ แม่หนูตาย”
“ตื่นมาแล้วรู้สึกแย่ไม๊” หมอถาม
“ก็...ไม่รู้สิ คือก็ไม่ได้ร้องไห้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกดี”
“มันเป็นเพราะยานะ ที่คุณฝันน่ะ”
“แต่ตอนแรกๆ มันไม่มีฝันร้ายแบบนี้นี่คะ”
“อาการของคุณมันเป็นอาการของโรค ptsd—” แล้วหมอก็พูดชื่อเต็มของโรค ‘post traumatic stress disorder’ มาด้วยสำเนียงภาษาที่หล่อมาก นี่สตั้นไปแปดวิ แบบ โหววว คูมหมอสำเนียงดียยยยยย์ “—เรื่องฝันเนี่ย คนไข้ผมเป็นเยอะมาก แล้วก็ไม่มีทางแก้เลย”
อ่าววววว หมออออออ
“แต่มันมียาอีกตัวนึง ชื่อ prozasin จริงๆ มันเป็นยาลดความดัน แต่มันมีงานวิจัยอยู่ว่ามันสามารถแก้เรื่องฝันร้ายในคนที่เป็น ptsd ได้ ผมจะลองให้คุณกิน แต่ผมไม่รับรองผลนะ เพราะมันได้ผลดีแค่กับบางคนเท่านั้น ไม่ได้ดีกับทุกคน คือมันเป็นแค่งานวิจัย แล้วมันจะช่วยกับคนที่เป็น ptsd เท่านั้น ผมเคยลองให้คนที่ไม่ได้เป็น ptsd กิน มันก็ไม่หาย—”
เยี่ยม!
“—เดี๋ยวผมจะลองให้คุณกินดู”
“มันจะนานมั้ยคะกว่าจะเห็นผล”
“อืมมมม” หมอทำหน้านึกว่าจะพูดไงดี “ผมตอบไม่ได้—”
เชี่ย!!!!! จริงใจแค่ไหน แค่ไหนเรียกว่าจริงใจ
หมออธิบายประมาณว่ามันคืองานวิจัย มันไม่ลงละเอียดอะไรไม่รู้ เป็นการใช้แบบ off label แล้วงานวิจัยก็ไม่ได้บอกไว้ว่าจะดีขึ้นภายในกี่วัน บอกแค่ให้กินโดสเท่าไหร่ เวลาไหน ไม่ได้บอกว่าแน่ชัดว่าต้องกินไปนานเท่าไหร่ถึงจะเห็นผล แต่มันก็ไม่น่าจะนานเป็นเดือน หมอว่าสองสามวันก็น่าจะรู้แล้ว
“หนูมีทางเลือกอื่นมั้ยคะ”
“มันก็มีทำจิตบำบัด” แล้วหมอก็ทำหน้าเหมือนเหม็นตดทั้งๆ ที่เราไม่ได้ตด หมอก็ไม่ได้ตดนะ เพราะเราไม่ได้กลิ่นอะไร “คือทำจิตบำบัดอย่างเดียวมันก็ไม่ช่วย ก็ต้องกินยาควบคู่ไปอยู่ดี”
สิ้นหวังชิบหายเลยตอนนี้
“แล้วที่เพิ่มโดสไปนี่ดีขึ้นมั้ย” หมอถาม
“ดีค่ะ ตอนกลางวันหนูโอเคเลย ทุกอย่างดี ไม่ดีอย่างเดียวคือมันไปขุดเรื่องเก่าๆ มาให้หนูฝัน—
หมอนั่งฟังนิ่งเลย
“—เรื่องบางเรื่องหนูลืมไปแล้วมันก็กลับมา บางเรื่องหนูคิดว่าหนูจำไม่ได้ มันก็โผล่กลับขึ้นมาจากไหนก็ไม่รู้ หนูรู้สึกไม่โอเค”
“ลองกินยาตัวใหม่ดูนะ มันอาจจะช่วยคุณได้”
“ค่ะ”
“แล้วยังมีความรู้สึกอยากตายอยู่มั้ย”
“ก็...ยังมีนิดนึง”
แล้วหมอก็หันไปพิมพ์ก๊อกแก๊กๆ ใส่คอม
“คราวที่แล้วที่หนูบอกหมอว่าหนูบอกหัวหน้าหนูอ่ะ คือจริงๆ แล้ว หนูบอกเค้าเพราะว่าหนูอยากได้ใครสักคนที่หนูจะสามารถพึ่งพาได้ แล้วหนูก็มองเค้าเหมือนเป็นพ่อหนู หนูก็เลยตัดสินใจบอกเค้า—“ น้ำตาเริ่มมา “—หนูหาหนังสือให้เค้าอ่าน หาลิงค์ที่ละเอียดที่สุดให้เค้าอ่าน แต่สุดท้ายเค้าก็ไม่เข้าใจ”
นี่ต้องพึ่งทิชชู่ฟรีของรพ. แล้วจุดนี้
“อะไรทำให้คุณคิดว่าเค้าไม่เข้าใจ”
“วันนั้นหนูไปศาลกับเค้าตอนเช้า แล้วหนูก็เผลอหลับในรถ เค้าก็ถามว่าเมื่อคืนนอนไม่หลับหรอ หนูก็บอกเค้าว่ามันฝันร้ายแล้วตื่นทั้งคืน เค้าก็เลยบอกหนูว่า ก็หยุดคิดมากซะสิ”
เราร้องไห้ไปพูดไป หมอก็เงียบฟังไม่พูดไม่ห้ามอะไรเราเลย เราก็เลยพูดต่อ
“คือหนูไม่ได้คิดอ่ะ เรื่องวันนั้น หนูพยายามลืม พยายามไม่นึกถึงมัน หนูก็อยู่มาได้ตลอด แต่นี่อยู่ๆ มันก็กลับมา แล้วมันคือฝันอ่ะ หนูควบคุมความฝันตัวเองไม่ได้ไง”
ขี้มูกย้อยแล้วจุดนี้ เลยเหลือบตามองว่าหมอมองอยู่มั้ย หมอมองว่ะ แล้วกูจะจัดการกับขี้มูกยังไงไม่ให้หมอรู้วะ อายอ่ะ ฮ่าๆ หมอเห็นเราไม่พูดต่อก็เลยพูดบ้าง
“คืองี้นะ เค้าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจผมไม่รู้ แต่ในเมื่อเค้ามีข้อมูลเยอะ ผมว่าเค้าก็น่าจะเข้าใจคุณในระดับนึง เพียงแต่เค้าไม่รู้ว่าจะพูดอะไร คือคนมันไม่เคยเป็น ไม่เคยเจอเหตุการณ์แย่ๆ เค้าไม่รู้หรอกว่าจะทำต้องทำยังไงหรือพูดยังไงกับคนที่เป็น ผมว่าเค้าห่วงคุณนะ แต่เค้าแค่ไม่รู้จะพูดอะไรและเค้าก็ไม่รู้ว่าการพูดว่าอย่าคิดมากมันไม่ใช่ทางแก้ปัญหาของคุณ”
“เพราะหนูรู้ไงคะว่าเค้าเคยเจอเรื่องแย่ๆ มา เค้าเคยเจอกับความสูญเสีย เค้าต้องสูญเสียคนที่เค้ารักแบบกะทันหัน หนูก็คิดว่าเค้าจะเข้าใจ แต่เค้ากลับมาพูดจาแบบนี้”
“เค้าเจอเรื่องอะไรมา” หมอถาม
เราก็เล่าให้หมอฟัง ซึ่งอันนี้เราไม่ขอเล่าในนี้เพราะมันคือเรื่องส่วนตัวของหัวหน้า พอเล่าจบเราก็คิดได้เองว่า “—เออเนอะ ตอนเค้าเจอเค้า 30 แล้ว เค้าคงไม่เข้าใจหนูหรอกว่าหนูรู้สึกยังไง”
“ใช่ สิ่งที่เค้าเจอมันต่างกับของคุณ”
“คือหนูรู้สึกโดดเดี่ยว หนูหวังให้หัวหน้าเข้าใจ หนูกะจะพึ่งเค้าเต็มที่่ แต่พอเค้าเป็นอย่างงี้ หนูก็รู้สึกเหมือนหนูไม่เหลือใครแล้ว มันทำให้หนูไม่อยากมีชีิวิตอยู่—“
หมอยังคงนั่งฟังเงียบๆ ท่าเดิมเหมือนโดนสตัฟฟ์ไว้
“—หนูแค่อยากได้ใครสักคนที่หนูสามารถพึ่งพิงได้ คุยด้วยได้ คือกับพ่อหนูก็ไม่อยากเอาเรื่องพวกนี้ไปยัดใส่เค้า อีกอย่างแม้ว่าตัวพ่อเองก็สูญเสีย แต่เค้าก็อาจจะไม่เข้าใจก็ได้ เพราะเค้าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์—“ พักซื้ดขี้มูกหนึ่งครั้งถ้วน “—แล้วคือพ่อหนูก็แบบ หลังจากที่แม่ตาย เค้าก็คาดหวังให้หนูเข้มแข็ง ต้องอดทน เค้าเห็นหนูเป็นลูกผู้ชายรึไงก็ไม่รู้ หนูไม่สามารถที่จะอ่อนแอต่อหน้าพ่อได้เลย หนูเหนื่อย”
“คุณมีเพื่อนมั่งมั้ย” อยู่ๆ หมอก็ถามขึ้นมา นี่ขำออกมาเลย หมอคะ หนูก็มีคนคบนะคะหมออออ
“มีค่ะ แต่มันก็เพื่อนน่ะค่ะ”
“ไม่ค่อยสนิทหรอ”
“สนิทค่ะ เพื่อนเข้าใจด้วย แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่หนูต้องการอ่ะ”
“เลี้ยงหมามั้ย” หมอถามคำถามน่ารักๆ อีกแล้ว
“อยากเลี้ยงมาก แต่พ่อไม่ให้” หมอถามว่าทำไม นี่ก็บอกไปว่าไม่มีคนดูตอนกลางวัน “แต่ถ้าเลี้ยงหมา พอหมาตาย หนูก็เสียใจอีก หนูไม่ชอบการตายจาก”
“ความตายมันเป็นเรื่องปกติ แต่ก่อนเค้าจะตายเค้าก็ทำให้คุณมีความสุข ถ้าคุณรักเค้า ดูแลเค้าดี เค้าตายไป คุณก็จะทำใจได้”
“คุณมีแฟนมั้ย”
“ไม่มีค่ะ”
“ลองมีแฟนดูมั้ย” นี่ก็พูดอย่างกับว่าผู้ชายดีๆ ที่เราชอบเค้าและเค้าชอบเรา และเค้าก็ต้องเข้าใจความเพี้ยนของเรามันหาง่ายเหมือนเดินไปเจอคนถูกใจปุ๊บ เราก็จับมาทำผัวได้ปั๊บ ปุ๊บปั๊บรับผัวไปเลยข่า ง่ายๆ ยังงี้เลอ
“เอาจริงๆ หนูไม่อยากมี”
“ทำไมล่ะ”
“แค่ชีวิตตัวเองหนูยังเหนื่อยเลย แล้วถ้ามีแฟนแล้วมันมีปัญหาหยุมหยิม หนูก็ไม่อยากเจออะไรแบบนั้น แล้วอีกอย่างคือหนูขี้ห่วง—“
“ขี้กังวล” หมอแก้
“—นั่นล่ะค่ะ แค่พ่อหนูก็ห่วงจะแย่แล้ว แล้วหนูต้องมาห่วงคนอีกคนนึงเพิ่มอ่ะ มันเหนื่อย หนูยังจัดการตัวเองไม่ได้เลย หนูไม่ควรไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตคนอื่น”
“อือ อันนี้ผมเข้าใจ”
จริงอ้ะ???
หมอจ้องหน้าเราอยู่พักนึงแล้วก็ถามเราว่า “นี่คุณดีขึ้นจริงๆ หรอ”
“อื้อ หนูดีขึ้น” พูดไปก็เช็ดน้ำตาน้ำมูกไป
“ทำไมมันดูเหมือนคุณแย่กว่าเดิมเลยล่ะวันนี้”
“หนูดีขึ้นจริงๆ หนูเป็นงี้แหละ หนูคิดเรื่องพวกนี้ตลอดเวลาอยู่แล้ว”
“โอเค งั้นลองเอายาใหม่ไปกินดูนะคับ ผมนัดเดือนนึงนะ” เอาที่หมอสบายใจจจจจ เพราะยังไงหนูก็เลื่อนอยู่ดี
“แล้วยานอนหลับนี่หนูควรกินยังไง”
“ถ้าสองเม็ดแล้วหลับยาวได้ ผมก็จะสั่งให้สองเม็ดละกัน”
“ค่ะ”
“ยาอื่นก็เหมือนเดิมนะ ผมไม่อยากเปลี่ยน เพราะคุณกินแล้วมันโอเค”
อ่าว แล้วทำไมเมื่อกี้หมอบอกว่าหนูดูไม่โอเคล่ะคะ?
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in