เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Janie Is Not So Welljanieishappy
คุณหมอจิตผู้แสนจะมีความสุข
  • เคยพูดถึงหมอออโธไปแล้ว เรามาพูดถึงหมอจิตกันมั่งดีกว่า 

    ที่อยากมาเขียนถึงหมอจิตก็เพราะเมื่อวันก่อนที่เราไปรพ. เราเดินสวนกับหมอจิต หมอหอบของพะรุงพะรังออกมาจากปิยฯ เดินกลับเข้าศิริราชใหญ่ จริงๆ ก็ไม่พะรุงพะรังหรอก แค่กล่องๆ เดียว เราก็เวอร์ตลอด หมอมองไม่เห็นเรา หรืออาจจะเห็นแต่จำไม่ได้ หรือไม่ก็ขี้เกียจทักเพราะไม่อยากให้คำปรึกษานอกห้องตรวจ แหม เราก็ไม่เสียมารยาทขนาดมาปรึกษาอาการกับหมอตรงข้างถนนหรอกนะ

    ไม่รู้ว่าเราเคยบอกไหม แต่เรารู้สึกว่าพออยู่นอกห้องตรวจ มันก็เหมือนหมอจิตแกถอดเอาเปลือกปลอมๆ ของแกออก อยู่ข้างนอก หมอกลายเป็นคนอมทุกข์ หมอดูไม่มีความสุข มันอาจจะเป็นบุคลิกของหมอ หมออาจจะแค่เป็นคนเฉยๆ นิ่งๆ ชอบทำหน้ายู่ๆ (เหมือนเรา) แต่เราก็รู้สึกว่า มันเหมือนหมอเค้าคิดอะไรอยู่ในหัวเค้าตลอดเวลา คิดเรื่องที่ไม่มีความสุขด้วยนะ หลายๆ ครั้งเราก็อยากจะถามหมอว่าหมอเหนื่อยไหม แต่มันก็ไม่ใช่หน้าที่เรา เราเป็นคนไข้ มันคงจะตลกถ้าเราไปถามหมอแบบนั้น

    เวลาที่อยู่ในห้องตรวจ หมอจะดูเริงร่า แม้บางวันจะดูเนือยๆ บ้าง แต่หมอก็ยังมีความเริงร่าให้สังเกตเห็นได้ หมอจะไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้น แต่พอคุยไปๆ หมอก็จะค่อยๆ ฟีบลงๆ — มันก็เป็นธรรมดาไหม คนที่นั่งฟังเรื่องแย่ๆ ของคนอื่นมากๆ มันก็จะรู้สึกเซ็ง เบื่อ แต่เราว่าหมอก็คงแยกแยะได้ ไม่เอาเรื่องของคนไข้มาสุมหัวตัวเอง ครั้งนึง หมอเคยบอกให้เราปล่อยวาง หมอก็คงรู้จักปล่อยวางแหละ หรือไม่ หมอก็คงเหมือนๆ กับพวกเราที่พอเรื่องคนอื่นก็แนะนำก็อะไรได้ แต่พอเรื่องของตัวเองก็จนปัญญาจะแก้ไขซะอย่างงั้น

    เราอยากรู้ว่าหมอกินยาแก้เครียดบ้างไหม กินยานอนหลับรึเปล่า หรือกินยาต้านซึมเศร้าอยู่ไหม อยากรู้ว่าหมอซึ่งเป็นจิตแพทย์ ต้องไปพบจิตแพทย์เพื่อรักษาตัวเองด้วยไหม อยากถามหมอมากเลย แต่กลัวโดนมองแรงใส่ ฮ่าๆ

    อย่างที่เราเคยบอกว่าหมอจิตจะมีวิธีพูด วิธีถามคำถามที่ทำให้เรารู้สึกได้ว่าเค้าแคร์เรา เค้าเป็นห่วงเรา เวลาที่เราเศร้า หมอจะไม่เคยแนะนำอะไรเราเลยว่าเราควรแก้ปัญหายังไง ควรใช้ชีวิตยังไง หมอแค่ถามไปเรื่อยๆ ซึ่งหลายๆ ครั้ง คำถามของหมอมันก็ทำให้เราได้คำตอบเหมือนกันนะ ว่ากับปัญหานี้ แค่เราเปลี่ยนมุมที่เรามองมัน มันก็จะดูไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร — หมอเคยแนะนำเราครั้งนึง ครั้งเดียวเท่านั้น เป็นตอนที่เรากินยาช่วงแรกแล้วเราดีขึ้น เรารู้สึกดีขึ้นมากเลยตอนนั้น พอนัด follow up เราก็ไปบ่นๆ กับหมอเรื่องที่บ้านว่าเบื่อๆ เซ็งๆ หมอก็บอกว่า “ถ้าเรายังคงต้องเจอปัญหาเดิมๆ อยู่เรื่อยๆ แล้วหนีไปไหนไม่ได้ เราก็ต้องรู้จักปล่อยวางนะ” นี่คือคำแนะนำเดียวที่หมอเคยให้ เพราะนอกจากครั้งนั้นแล้ว เราก็ไม่ได้ไปหาหมอด้วยความรู้สึกดีแบบนั้นอีกเลย

    เราจะไปหาหมอด้วยอาการอมทุกข์ตลอด หมอก็จะพยายามถาม พยายามให้เราพูด แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้ว่ามันคือปัญหาใหญ่ของเรา (ที่อาจจะทำให้เราไม่หายด้วย) ก็คือ เราไม่ชอบพูด — เราไม่ชอบพูดเรื่องของตัวเอง ไม่ชอบพูดถึงความรู้สึกของตัวเอง เราไม่ชอบแสดงความอ่อนแอออกมาให้คนเห็น เราไม่อยากให้คนรู้ว่าจริงๆ แล้วเราเปราะบางมากขนาดไหน แต่ถ้าให้เขียน เรายังพอทำได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะเขียนทุกอย่างที่เรารู้สึกได้นะ บางเรื่องก็เขียนไม่ไหวเหมือนกัน

    หมอรู้ว่าเราเป็นคนไม่พูด แล้วหมอก็ไม่เคยบังคับให้เราพูดในสิ่งที่เราไม่อยากพูด จนถึงตอนนี้หมอก็ยังไม่บังคับให้เราพูด แต่หมอก็คงบังคับไม่ได้อะเนอะ คิดภาพหมอบีบคอเรา เขย่าๆ บังคับให้เราพูด ตลกกกก แต่เราว่าลึกๆ แล้วหมอก็คงอยากทำแบบนั้นเหมือนกัน ฮ่าๆ — เราจำได้ ครั้งแรกที่ไปหาหมอ ด้วยความที่เราก็ไม่รู้ว่าเราเป็นอะไรหรือควรเริ่มจากตรงไหน หมอก็เลยถามแบบเหวี่ยงแหมาเลย หมอถามทุกอย่าง ถามทุกเรื่อง แล้วเราก็ตอบได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องเดียวที่เราพูดไม่ออก เราตอบไม่ได้แม้กระทั่งคำว่า ค่ะ/ใช่/ไม่ เรารู้สึกว่าถ้าเราพูดออกมาเราจะร้องไห้ เราอยากเล่าให้หมอฟังนะ แต่มันรู้สึกหนักมากจนเราพูดออกไปไม่ได้ เรารู้เลยว่าถ้าเราพูดออกไปเราต้องร้องไห้หนักมาก หนักจนสะอื้นจนหายใจไม่ทัน เราเลยเลือกที่จะไม่พูด แล้วก็พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่ก็กลั้นไม่อยู่ เราพลาดปล่อยให้น้ำตาหลุดรอดออกมาได้สองสามหยด แล้วเราก็รีบคว้าทิชชู่ตรงหน้ามาทำลายหลักฐาน แล้วก็เงียบใส่หมอ หมอก็เลิกถามเรื่องนั้นไปเลย แล้วก็จดไปว่าเราเครียดเรื่องอะไร แล้วเราก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้นในตอนนี้

    เราพูดว่าจดก็ไม่ถูก เพราะหมอเราจะใช้วิธีพิมพ์ หมอจะถามคำถาม พอเราตอบ หมอก็จะพิมพ์ก๊อกแก๊กของหมอไปเรื่อย ตอนเจอตอนแรกเราไม่ชินนะ รู้สึกไม่ชอบด้วยซ้ำ รู้สึกอยากจะจับหน้าหมอออกจากจอคอมให้หันมาหาเรา ให้หมอฟังเราอย่างตั้งใจ ฟังเงียบๆ ค่ะหมอ อย่าพิมพ์ อย่าบันทึก ไม่ชอบให้ใครบันทึก หยุดเดี๋ยวนี้! — แรกๆ เราก็เลยไม่ได้บอกอะไรหมอไปมาก อาจจะด้วยเพราะเราไว้ใจคนยากด้วยมั้ง มันเลยมีกำแพงสูงมากกั้นระหว่างเรากับทุกคนในโลก พอช่วงต่อมา พอเราเริ่มจะชินกับวิธีของหมอและเริ่มจะไว้ใจหมอขึ้นมานิดนึง เราก็ยังไม่อยากเล่าอีก ด้วยเพราะเหตุว่าเราเคยเห็นหมอออโธเปิดประวัติเราที่หมอจิตพิมพ์บันทึกไว้อ่าน ตอนนั้นอยากลุกไปตบหมอออโธมาก ใครให้แกอ่าน หยุดนะ ห้ามอ่าน ปิดเดี๋ยวนี้! แต่อันนั้นก็เป็นช่วงหลังจากที่หมอออโธส่งเราไปหาหมอจิต คือนางก็มีสิทธิดูแหละ เราก็ไม่ได้โกรธอะไรมาก โกรธนิดนึงที่นางไม่ขอก่อน มันรู้สึกเหมือนใครมาเจาะรูกำแพงบ้านเราแล้วแอบดูอ่ะ เพราะเรื่องบางเรื่อง เราเลือกที่จะเล่าให้คนบางคนฟัง โดยที่เราไม่ต้องการให้คนๆ นั้นเอาไปบอกใครหรือให้ใครอื่นมารับรู้ด้วย

    วันแรกที่ไป หมอถามคำถามหว่านๆ ใส่เรา ให้เราตอบ แล้วเค้าก็สรุปได้อย่างรวดเร็วว่าเราเป็นโรคซึมเศร้า เราก็ไม่รู้ว่าเค้าสรุปได้จากอะไร อาจจะเพราะความเก๋าของเค้าก็เป็นได้ เค้าคงเจอคนเป็นซึมเศร้ามาเป็นร้อยเป็นพันคนละมั้ง แม้ในใจเราจะเถียงอยู่หน่อยๆ ว่าเราไม่เป็นหรอก เราสบายดี เหมือนกับที่คนรอบตัวเราคอยบอกเรา แต่เราก็ยอมรับนะว่าเราไม่มีความสุข ตอนที่หมอบอกเราว่าชีวิตคนเรามันต้องมีความสุขนะ เรางงมากตอนนั้น มันแบบ...หรอ ใช่หรอ เราทุกคนต้องมีความสุขหรอ แล้วเราต้องมีความสุขตลอดเวลาไหม หรือแค่บางเวลาก็ได้ หรือแค่ไม่ทุกข์ไม่เศร้าก็พอแล้ว — แต่มาถึงตอนนี้ เราอยากจะไปถามหมอมากเลยนะว่าที่หมอเคยบอกเราว่าชีวิตคนเรามันต้องมีความสุข แล้วหมอล่ะ มีความสุขไหม
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Fu-Hyong Fu Fu (@fb1020582458552)
นี่เปนคำถามที่ใครก็อยากถามนะว่า หมออ่ะ ต้องรักษาตัวเองบ้างมั้ย หมอถอดเอาความเป็นหมอจิตและถอดเอาปัญหา​ของคนไข้พวกนี้ออกได้อย่างสิ้นเชิงจริงๆเหรอ
อยากรู้จริงๆ แต่มันไม่ได้อยากรู้ไปมากกว่า หมอมีความสุขมั้ยอย่างที่ป้าถามจริงๆ