สวัสดีค่ะคุณผู้อ่าน
ช่วงสัปดาห์นี้มีแต่ข่าวโศกนาฏกรรมนะคะ ไหนจะเหตุเหยียบกันตายที่อิแทวอน ประเทศเกาหลีใต้ ไหนจะข่าวคาร์บอมที่ประเทศโซมาเลีย ยังมีข่าวสะพานแขวนพังในอินเดียอีก
..พอภัยจะมา ชีวิตก็ดูจะเปราะบางเสียเหลือเกิน คนตามข่าวอย่างเราๆก็ระวังเครียดเกินไปกันด้วย
..ขอให้ผู้เสียชีวิตทุกคนไปสู่สุคติ ขอแสดงความเสียใจกับผู้สูญเสีย และขอให้ผู้ได้รับบาดเจ็บอาการดีขึ้นในเร็ววัน
วันนี้จะมาเล่าเรื่องจากความทรงจำให้อ่านกันค่ะ
ได้มีโอกาสรับประทานไก่ทอดเป็นอาหารกลางวันในมื้อๆหนึ่ง แล้วในขณะจัดการอาหารตรงหน้าอยู่นั้นเอง
ความทรงจำเมื่อครั้งใส่ชุดนักเรียน ก็แวบเข้ามา
ย้อนกลับไปสมัยมัธยม เรียนโรงเรียนของรัฐบาลโรงเรียนหนึ่ง
ในโรงเรียนจะมีโซนโรงอาหาร ซึ่งโรงเรียนเปิดโอกาสให้คนภายนอกเข้ามาขายอาหารในโรงเรียน
ในบรรดาร้านอาหารนั้น มีร้านๆหนึ่ง ขายของว่างประเภทของทอด เช่น เฟรชฟราย ไก่ทอด นัตเก็ตไก่ มีคนขายสองคน ผู้ชายหนึ่งผู้หญิงหนึ่ง เท่าที่สังเกต น่าจะเป็นแฟนกัน และคนดำเนินงานหลักน่าจะเป็นผู้ชาย
ซึ่งเราก็ไปอุดหนุนบ้างบางคราว เมนูที่ชอบเช่น ไก่ทอดชิ้นใหญ่ที่ตั้งชื่อว่า ไก่ร็อคเกต
โรงเรียนเราเป็นหนึ่งในโรงเรียนที่รับ "เด็กพิเศษ" เข้าศึกษา เด็กพิเศษในที่นี้เท่าที่เขาเล่ากันคือ เป็นเด็กที่มีพัฒนาการช้า หรือ ออทิสติก
เท่าที่เห็นและจำได้ เด็กพิเศษที่ว่านี้ มีสองคน และอายุน้อยกว่าเรา
ทุกคนในโรงเรียนต่างรู้ว่าสองคนนี้คือ "เด็กพิเศษ"
ช่วงเลิกเรียนวันหนึ่ง ร้านขายของกินหลายร้านยังคงเปิดอยู่ รวมทั้งร้านของทอดร้านนี้ด้วย
มีนักเรียนต่อแถวเพื่อซื้ออาหารจากร้านของทอด หนึ่งในนั้นคือ "เด็กพิเศษ" คนหนึ่ง น้องยื่นคิวอยู่ก่อนเรา เมื่อถึงคิว น้องก็พูดทักทายคนขายประมาณว่า "วันนี้มาอีกแล้ว" จากนั้นก็สั่งอาหาร คนขายผู้ชายก็ยื่นของให้ รับเงินมา แล้วน้องก็เดินจากไป
คล้อยหลังน้อง พี่คนขายผู้หญิงอีกคนก็เอ่ยถามพี่คนขายผู้ชายว่า "พี่ ชิ้นนั้นน่ะราคา...(แพงกว่าที่ขายไป) ไม่ใช่เหรอ?"
สิ่งที่พี่คนขายผู้ชายทำ คือหันไปยิ้ม แล้วโบกมือในเชิงว่า 'ไม่เป็นไรหรอก' กับพี่ผู้หญิง
โดยมีเรา(อย่างน้อยหนึ่งคน) ยืนอยู่ตรงนั้น และเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
เมื่อเวลาผ่านไป ความทรงจำต่างๆที่เกี่ยวกับโรงเรียนก็เริ่มจะเลือนราง ทุกวันนี้เราจำไม่ได้ด้วยซ้ำ ว่าร้านของพี่คนนี้ ขายของอยู่ที่โรงเรียนกี่ปี จนเราจบจากโรงเรียน ยังขายอยู่หรือไม่
แต่เหตุการณ์นี้ ยังคงอยู่ในความทรงจำ
มีใครบางคนเคยบอกไว้ว่า "โลกนี้ขับเคลื่อนด้วยน้ำใจ"
ไม่รู้เหมือนกัน ว่าจริงหรือเปล่า
กับน้องคนนั้นที่เป็นเด็กพิเศษ ถ้าคนขายของรู้จุดนี้ และแอบขึ้นราคาเพื่อเอากำไร น้องก็คงไม่รู้ ต่อให้ขายราคาปกติ เรียกให้น้องจ่ายเงินให้ครบ น้องก็คงไม่ว่าอะไรอยู่ดี
แต่พี่คนขายกลับเลือกจะยกประโยชน์ให้จำเลย น้องจ่ายเงินเท่าไหร่ ก็รับไว้เท่านั้น ไม่ว่าจะเพราะความเอ็นดูที่เป็นเด็กพิเศษ หรือเหตุผลอะไรก็ตามแต่
มันคือสิ่งที่ตะโกนบอกผู้พบเห็นว่า เขาเป็นคนมีเมตตา โดยที่เจ้าตัวไม่ต้องโฆษณาอะไรให้มากความ
ขอให้พี่คนขายคนนั้นมีความสุข และสุขภาพแข็งแรง ขอให้ความดีที่ทำ ส่งผลให้กิจการดำเนินไปได้เรื่อยๆ
เรื่องนี้ก็ผ่านมาเนิ่นนาน แต่ไม่น่าเชื่อว่ากลับมาทักทายในยามที่กำลังจะหม่ำข้าว อย่างน้อย ก็ทำให้อดยิ้มไม่ได้เวลารับประทานอาหาร
ไม่ว่าน้ำใจจะเป็นตัวขับเคลื่อนโลกหรือไม่ อย่างน้อย น้ำใจก็ทำให้สังคมน่าอยู่ ทำให้ผู้พบเห็นยิ้มตาม ทำให้เชื่อว่า ยังคงมีความดีงามในโลกใบนี้
และอาจทำให้เจริญอาหารได้ :)
คุณผู้อ่านรับประทานมื้อกลางวันกันหรือยังคะ
Bon Appetit นะคะ
สวัสดีค่ะ
ก่อนจบ ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ เนื่องจากตั้งแต่ประมาณ 2 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นมา ทาง minimore เปลี่ยนรูปแบบเว็บใหม่ ผลที่เกิดขึ้นคือ งานเขียนเรา...ไม่มีคนอ่านเลย (คาดว่าหาเจอยาก)ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป เราจึงตัดสินใจกลับไปเขียนเรื่องราวในบล็อกเดิมของเราแทน คุณผู้อ่านที่ถูกจริตในงานเขียนของเรา สามารถติดตามไปอ่านได้ที่
https://alwaysfay.blogspot.com/2023/02/blog-post.html ขอบพระคุณสำหรับการติดตาม และขอบคุณทาง minimore ที่ให้พื้นที่เราได้ขีดๆเขียนๆเรื่องราวตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้
จนกว่าจะพบกันใหม่
สวัสดีค่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in