ถ้าพูดถึงบรรดาปริศนาทั้งหลายของจักรวาล A Series of Unfortunate Events แล้วล่ะก็ สิ่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็เห็นจะเป็นองค์กรลับที่มีอักษรย่อว่า V.F.D. หรือที่ฉบับภาษาไทยใช้ตัวย่อว่า ว.ฟ.ด. เรียกว่าแปลตรงตัวมากจนน่าประทับใจ
ตลอดทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นฉบับหนังสือหรือซีรีส์ (รวมถึงหนังด้วย ถึงแม้โดยรวมจะพังมากก็ตาม) เราจะเห็นองค์กรนี้ปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่งที่เด็ก ๆ โบดแลร์ไป อยู่ในทุกที่และทุกช่วงชีวิตของพวกเขา แต่คำถามที่หลายคนอาจจะยังสงสัยก็คือ แท้จริงแล้ว องค์กรนี้คืออะไรกันแน่
นอกจากภารกิจตามหากระปุกน้ำตาลกับการปลอมตัวส่งรหัสกันให้ว่อน สรุปแล้วองค์กรนี้เกิดมาเพื่ออะไรกันนะ มาค่ะ มาล้อมวงกันตรงนี้ ถึงที่นี่จะไม่ใช่ เดอะ เดลี่ พังค์ทิลิโอ แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่อง องค์กรลับที่คุณควรรู้จัก กันนะคะ
(สำหรับข้อมูลที่จะใช้อ้างอิงต่อจากนี้ มาจากหนังสือทุกเล่มใน Snicketverse และข้อมูลในวิกิที่มีคนรวบรวมไว้ให้จากหนังสือเป็นหลัก แต่อาจจะมีบางส่วนที่เป็นเพียงทฤษฎีเช่นกัน ซึ่งจะมาจากกระทู้ในเว็บบอร์ด 667 Dark Avenue, Reddit รวมถึงบล็อก Snicket's Sleuth ใน
Tumblr (เขียนดีมากค่ะ! แนะนำเลย)
สำหรับจุดไหนที่เป็นแค่ทฤษฎีจะระบุให้นะคะ เพราะนอกเหนือจากข้อมูลในหนังสือแล้ว ผู้เขียนแทบไม่เคยออกมายืนยันเลยว่าทฤษฎีไหนบ้างที่เป็นจริง มากสุดคือบอกว่ามีทฤษฎีที่ทายถูกแล้ว ซึ่งก็แทบไม่ช่วยอะไรเลย...)
เอาล่ะค่ะ พวกเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
สำนักงานใหญ่ V.F.D. ที่เทือกเขาเงาอดีต, ก่อนจะถูกเผา
What exactly is V.F.D.?
V.F.D. หรือชื่อเต็ม ๆ คือ Volunteer Fire Department เป็นองค์กรลับที่ถูกกล่าวถึงครั้งแรกใน The Austere Academy ในบทสุดท้ายก่อนที่แฝดสามควากไมร์จะถูกผู้ช่วยของโอลาฟจับตัวไป
"ดูในสมุดบันทึกนะ! ว.ฟ.ด." ดันแคนร้องตะโกน แต่มือที่ทาแป้งของผู้หญิงอีกคนก็ปิดปากเขาไว้ก่อนที่เขาจะพูดต่อได้
"อะไรนะ" เคลาส์ถาม
ดันแคนสะบัดหัวอย่างแรงและหลุดจากมือผู้หญิงหน้าขาวมาได้แป๊บหนึ่ง "ว.ฟ.ด." เขาร้องอีกครั้ง และนั่นก็คือคำสุดท้ายที่เคลาส์ได้ยิน
- The Austere Academy, Chapter 13
(หลังจากนี้ขอไม่ใช้ตัวย่อภาษาไทยแล้วนะคะ!)
หลังจากวันนั้น ความลับขององค์กรนี้ก็ดูเหมือนว่าจะตามหลอกหลอนเด็ก ๆ โบดแลร์ตลอดเวลา ทุกที่ที่พวกเขาไป ทุกคนที่พวกเขาเจอ หรือแม้กระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับองค์กรนี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อย่างที่เห็นว่าตลอดการเดินทาง พวกเขาเจอกับสิ่งที่น่าจะเป็น V.F.D. นับร้อยอย่าง ตั้งแต่ชื่อหมู่บ้านไปจนถึงที่ล็อกประตู
น่าแปลกที่ถึงแม้องค์กรนี้จะอยู่ในฉากหลังของหนังสือทุกเล่ม แต่กลับแทบไม่มีคำอธิบายตรง ๆ เกี่ยวกับองค์กรนี้เลย
ดังนั้น สำหรับคำถามที่ว่า V.F.D. คืออะไร หนึ่งในคนที่น่าจะตอบได้ดีที่สุดน่าจะเป็นตัวเลโมนีเอง มาค่ะ มาลองฟังคำอธิบายตามประสาเลโมนี สนิกเก็ตกันก่อน (เนื่องจากเล่มนี้ยังไม่มีแปลไทย เราขอแปลหยาบ ๆ ไว้ตอนท้ายนะคะ)
"What is V.F.D.?" Cleo asked
"It's a secret organization," Moxie said "I've seen mentions of it here and there"
"V.F.D. stands for Volunteer Fire Department," I [Lemony] said.
"So you put out fires?" Kellar asked
"When we can," I said " but there's more to it than that, we try to do what good we can in the world."
Jake frowned "Doesn't everybody try to do that?"
"Not enough people" I said
- Shouldn't You Be in School?, Chapter 9
["V.F.D. คืออะไร" คลีโอถาม
"เป็นองค์กรลับ" ม็อกซี่ตอบ "ฉันเคยเห็นคนพูดถึงอยู่เหมือนกัน"
"V.F.D. ย่อมาจาก Volunteer Fire Department" ผมบอก
"แปลว่าพวกนายดับไฟเหรอ" เคลลาร์ถาม
"ถ้าเราทำได้" ผมตอบ "แต่ยังมีอย่างอื่นมากกว่านั้น พวกเราพยายามทำอะไรดี ๆ ให้กับโลกใบนี้"
เจคขมวดคิ้ว "ไม่ใช่ว่าทุกคนพยายามทำแบบนั้นอยู่แล้วเหรอ"
"ยังไม่มากพอ" ผมบอก]
ก็สมชื่อองค์กรนะคะ อาสาสมัครดับไฟก็เกิดมาเพื่อดับไฟไง แต่ถ้ามีแค่นั้นจริง จะลำบากทำตัวเป็นองค์กรลับไปทำไม ถ้าอย่างนั้น เราลองมาฟังคำบอกเล่าของดิวอี้ เดนูมองต์ หนึ่งในเจ้าของสถานที่ปลอดภัยแห่งสุดท้ายกันบ้างดีกว่า
"ก่อนการแตกแยก V.F.D. ก็เหมือนห้องสมุดสาธารณะ" ดิวอี้พูด "ใครจะมาเข้าร่วมกับเราก็ได้ และเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดที่เราหามาได้ อาสาสมัครทั่วโลกอ่านงานค้นคว้าของกันและกัน ช่วงเวลานั้นมันดูเหมือนเราจะรักษาโลกทั้งโลกให้ปลอดภัย มั่นคง และฉลาดได้"
- The Penultimate Peril, Chapter 8
การ "ทำอะไรดี ๆ ให้โลกใบนี้" ที่ว่า ก็น่าจะหมายถึงการเก็บข้อมูลทั้งหลายที่เหล่าอาสาสมัครสรรหามาได้ และรวบรวมทุกอย่างให้อยู่ในห้องสมุดสาธารณะนั่นเอง อย่างโรงแรมอวสานของพี่น้องเดนูมองต์เองก็เป็นหนึ่งในสถานที่เก็บข้อมูลที่ว่านี้เช่นกัน
ว่ากันโดยสรุปก็คือองค์กรนี้เกิดมาเพื่อเป็นอาสาสมัครดับไฟ ทั้งไฟจริง ๆ แบบไฟเผาบ้านเผาเมือง รวมไปถึงไฟจากความสับสนและเลวร้ายของมนุษย์ อาสาสมัครเหล่านี้เคลื่อนตัวอยู่ในเงามืดตลอดมา แฝงตัวอยู่ทุกหนทุกแห่ง ดูแลให้แน่ใจว่าสังคมของเราจะยังคงเงียบสงบ
เหมือนกับคำขวัญขององค์กรที่ว่า The world is quiet here -- โลกที่นี่เงียบสงบ
อ้าว แต่ถ้าจุดประสงค์องค์กรจะฟังดูดีขนาดนี้ ทำไมไม่เคลื่อนไหวบนดินไปเลย จะตั้งชมรมห้องสมุดอะไรก็ทำไปสิ จะลำบากลงไปอยู่ใต้ดินทำไม
คงเป็นเพราะท้ายที่สุดแล้ว ข้อมูลก็คืออำนาจ การส่งอาสาสมัครออกไปแฝงตัวอยู่ทั่วโลกด้วยจุดประสงค์เช่นนี้ คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะไปล่วงรู้ความลับที่ทรงพลังเสียจนอันตรายเข้า และความลับเหล่านั้นก็ถูกบันทึกไว้ ส่งต่อกันมาผ่านอาสาสมัครรุ่นสู่รุ่น สั่งสมกันมากเข้าจนถึงจุดที่การทำงานอยู่บนดินไม่ใช่เรื่องปลอดภัยอีกต่อไป
กัปตันวิดเดอร์ชินส์เองก็เคยกล่าวไว้เช่นกันว่า "ในโลกนี้มีความลับมากมายที่น่ากลัวเสียจนเด็ก ๆ ไม่ควรจะรู้ ถึงแม้ความลับพวกนั้นจะเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกที ๆ"
แม้ว่าถ้าดูจากการคัดเลือกอาสาสมัครแล้ว ประโยคนี้จะกลายเป็นประโยคที่เสียดสีได้เจ็บแสบมากก็ตาม
How to be a 'volunteer'?
ขึ้นชื่อว่าเป็นอาสาสมัครแล้ว อย่างที่ดิวอี้บอก ไม่ว่าใครก็ควรจะมาเข้าร่วมได้ทั้งนั้น ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ค่ะ อย่างที่เลโมนีเองก็เคยชวนเพื่อน ๆ ใน Stain'd by the Sea เข้าร่วมองค์กรมาแล้ว
"...You know, I didn’t even realize that apprentices were allowed to recruit volunteers.”
"Volunteer means volunteer," I reminded her. "Anyone can joined V.F.D."
- Lemony Snickey, Shouldn't You Be in School?, Chapter 13
["รู้ไหม ฉันไม่ยักรู้มาก่อนว่าเด็กฝึกหัดแบบเราก็หาอาสาสมัครเพิ่มได้ด้วย"
"อาสาสมัครก็คืออาสาสมัคร" ผมเตือนเธอ "ใครจะเข้าร่วม V.F.D. ก็ได้"]
บทสนทนาด้านบนนี้คือสิ่งที่เลโมนีบอกกับโจเซฟีน (ใช่ค่ะ คนเดียวกับป้าโจที่กลัวเตาอบนั่นแหละ) สมัยที่ทั้งสองคนยังเป็นอาสาสมัครฝึกหัดอยู่ ซึ่งจะเรียกว่าเป็นวิธีการเข้าร่วมองค์กรแบบที่ซอฟต์ที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะในความเป็นจริง ไม่ใช่อาสาสมัครทุกคนที่จะได้เข้าร่วมองค์กรด้วยวิธีนี้หรอกค่ะ
อ้าว แล้วปกติเขาเข้าร่วมกันแบบไหนล่ะ ถ้าอย่างนั้น เรามาดูวิธีการที่เขียนไว้ในไกด์บุ๊กของ V.F.D. กันก่อนดีกว่า
"วันที่คุณเข้าร่วมกับองค์กรอย่างเป็นทางการ คุณจะได้ยินเสียงอยู่ด้านนอกบ้านของคุณ อาจจะเหมือนเสียงหอนของหมาป่า เสียงขู่ฟ่อ ๆ ของงู เสียงร้องของจิ้งหรีด [...] ขอให้คุณถามพ่อแม่ของคุณว่านั่นเสียงอะไร ถ้าพ่อแม่ของคุณตอบว่า 'ไม่มีอะไร' นั่นคือท่านตอบเป็นรหัส เพราะไม่มีทางที่จะ 'ไม่มีอะไร' อยู่นอกบ้านของคนเรา
ถ้าคุณสนใจการเป็นอาสาสมัคร ก็ตอบพ่อแม่ของคุณด้วยคำถามว่า 'ถ้าไม่มีอะไรอยู่ข้างนอก แล้วนั่นเสียงอะไร' เราจะฟังอยู่ และรู้ว่าจะลงมือได้อย่างปลอดภัย"
- Lemony Snicket's Unauthorized Autobiography, page 190
สังเกตว่าในนี้ก็ยังคงให้อาสาสมัครตัดสินใจเลือกเข้าร่วมองค์กรด้วยตัวเองเหมือนกัน และก็ออกจะฟังดูดีเกินความจริงไปมาก เอกสารชุดนี้เขียนขึ้นโดยฝ่ายดับไฟหลังจากที่เกิดการแตกแยกไปแล้วค่ะ ซึ่งนั่นแปลว่าน่าจะมีเพียงอาสาสมัครรุ่นหลัง ๆ เท่านั้นที่เข้าร่วมองค์กรด้วยวิธีนี้ (ถ้าอาสาสมัครที่ว่ายังมีชีวิตรอดจากฝ่ายจุดไฟอยู่น่ะนะ...)
แล้วก่อนหน้านั้น เขาทำกันยังไงล่ะ
งั้นมาดูคำพูดจากปากอาสาสมัครยุคหลังการแตกแยกอีกสักคนแล้วกันนะคะ
"เราจะเข้าไปในบ้านของผู้คน เอาตัวเด็ก ๆ ที่แสดงให้เห็นว่ามีทักษะในการเรียนรู้และ/หรือการสังเกตเป็นพิเศษออกมา แยกตัวจากคนที่พวกเขารู้จักอย่างน้อยก็เป็นเวลานาน เรามอบเด็ก ๆ ให้กับคนแปลกหน้า และส่งพวกเขากระจายไปทั่วโลก ไปทำธุระที่น่าสับสนจนกระทั่งข้อเท้าของเด็ก ๆ หายดี จนกระทั่งเรารู้ว่าพวกเขาไว้ใจได้ และจนกระทั่งเรารู้ว่าไม่มีใครค้นหาพวกเขาอีกต่อไปแล้ว จากนั้น ในที่สุด เราก็พาเด็ก ๆ ไปที่สำนักงานใหญ่เพื้อจะได้เรียนรู้ทักษะที่จำเป็น ก่อนที่พวกเขาจะกลับเข้าสู่สังคม เพื่อให้แน่ใจว่าโลกยังคงเงียบอย่างที่เราพูด"
- Lemony Snicket's Unauthorized Autobiography, page 39
ค่อยฟังดูตรงกับความเป็นจริงหน่อย ข้อความข้างต้นเป็นข้อความที่ตัดมาจากบันทึกการประชุมของอาสาสมัครฝ่ายดับไฟค่ะ ซึ่งถ้าดูจากเนื้อความโดยรวมของบันทึก (ขอไม่ใส่นะคะ แค่นี้ก็ยาวมากแล้ว) การประชุมนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เด็ก ๆ โบดแลร์ออกจากเตรียม ฯ พรัฟร็อกมาแล้ว
นั่นแปลว่าถึงแม้การแตกแยกจะเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่การค้นหาอาสาสมัครใหม่ก็ยังคงใช้วิธีการลักพาตัวเช่นเดิม ซึ่งก็น่าจะเป็นวิธีเดียวกับที่อาสาสมัครส่วนใหญ่ในรุ่นของเลโมนีเข้ามาเป็นอาสาสมัคร
"พวกนั้นเอาตัวเขาไปจากห้องครัว
เหมือนคุณไปหยิบขนมออกมา
พวก V.F.D. พาตัวเขาไป
แล้วก็ไม่เคยพาเขากลับมา
[…]
ตอนเราขับรถไปบนถนน
เธอจะกลายเป็นอาสาสมัคร
ฉะนั้นอย่าร้องตอนเราพาเธอไป
โลกตรงนี้เงียบสงบ"
- ส่วนหนึ่งของเพลง "หนูน้อยสนิกเก็ต", Lemony Snicket's Unauthorized Autobiography
จากเนื้อเพลงท่อนที่ตัดมาด้านบน (แม้ว่าตัวเลโมนีเองจะบอกว่าเนื้อเพลงนี้ผิดไปหลายจุดก็ตาม) จะเห็นว่าเลโมนีและพี่ ๆ ทั้งสองถูกอาสาสมัครพาตัวไปเช่นกัน ซึ่งเลโมนีในตอนนั้นยังเด็กมาก เด็กเสียจนอย่าว่าแต่พูดข้อความรหัสกับพ่อแม่เลย แค่จะตัดสินใจเป็นอาสาสมัครก็ไม่น่าจะทำได้ด้วยซ้ำ
แต่ถ้าคิดว่าความทรงจำของเลโมนีไม่น่าเชื่อถือมากพอ (ซึ่งด้วยหลาย ๆ เหตุผล ความทรงจำของเลโมนีก็ไม่น่าเชื่อถือจริง ๆ) เราลองมาดูคำบอกเล่าของคนอื่นเพิ่มกันอีกสักนิด
"...คืนหนึ่งตอนที่พ่อแม่ของเรากำลังแขวนลูกโป่งสำหรับงานวันเกิดอายุห้าขวบ
พี่ชายกับฉันก็ถูกพาตัวไป"
"พาตัวไปไหนคะ" ไวโอเล็ตถาม
"ใครพาตัวไปคะ" ซันนี่ถาม
"ฉันชื่นชมความอยากรู้อยากเห็นของพวกเธอนะ" ดิวอี้พูด [...] "ผู้หญิงคนนั้นพาฉันไปยังสถานที่ที่สูงขึ้นไปบนภูเขาซึ่งเธอบอกว่าจะสนับสนุนให้เกิดสิ่งเหล่านั้นได้"
เอาล่ะค่ะ ถูกพาไปอีกคนแล้วนะคะ เท่าที่ดิวอี้เล่า พ่อแม่ตระกูลเดนูมองต์ไม่น่าจะรู้ด้วยซ้ำว่าลูกตัวเองถูกอาสาสมัครพาตัวไป ซึ่งแค่นี้ก็ฟังดูเลวร้ายมากแล้ว แต่เรื่องกลับยังไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้
"พ่อแม่คงคิดถึงคุณมากแน่เลยค่ะ" ไวโอเล็ตรู้สึกเห็นใจ
"พ่อแม่ฉันเสียชีวิตในคืนนั้นเอง" ดิวอี้บอก "ในเหตุการณ์ไฟไหม้ร้ายแรง ฉันคงไม่ต้องบอกพวกเธอหรอกนะว่าฉันรู้สึกแย่แค่ไหนตอนที่รู้ข่าว"
- The Penultimate Peril, Chapter 8
มาถึงตรงนี้ ฟังดูคุ้น ๆ นะคะ เหยื่อไฟไหม้อีกรายแล้ว การที่เด็กทั้งสามคนถูกพาตัวไปเป็นอาสาสมัครขององค์กรดับไฟ แต่แล้วบ้านก็กลับถูกเผาในคืนเดียวกันนั้น เป็นแค่เรื่องบังเอิญจริง ๆ เหรอ
ถ้าเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว ก็อาจใช่ แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าไม่ใช่แค่แฝดสามเดนูมองต์หรือพี่น้องโบดแลร์น่ะสิ ที่ต้องสูญเสียครอบครัวไปเพราะเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่เช่นนี้
"ฉันเสียใจด้วยจริง ๆ" อิซาดอร่าพูด "พ่อแม่ของพวกเราก็ตายในเหตุการณ์ไฟไหม้เหมือนกัน มันแย่มากเลยนะกับการที่ต้องคิดถึงพ่อแม่มาก ๆ น่ะ จริงไหม"
- The Austere Academy, Chapter 3
ไม่ว่าจะเป็นแฝดสามควากไมร์ ซึ่งพ่อแม่เป็นอาสาสมัครอยู่แล้ว และตัวพวกเขาเองก็กลายเป็นอาสาสมัครในเวลาต่อมา
"เราไม่อยากเข้าร่วมกับแผนการของคุณอีกแล้ว" ผู้หญิงหน้าขาวอีกคนหนึ่งพูดแล้วถอนหายใจ "มันก็สนุกอยู่พักหนึ่งแหละที่ใช้ไฟต่อสู้กับไฟน่ะ แต่เราก็เห็นเปลวไฟกับควันมามากพอสำหรับทั้งชีวิตแล้ว"
"เราคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกที่บ้านของเราถูกไฟไหม้หมดน่ะ" ผู้หญิงหน้าขาวคนแรกพูด "เราเสียน้องไปในเหตุการณ์ไฟไหม้นั้นด้วยนะ โอลาฟ"
- The Slippery Slope, Chapter 13
หรือจะเป็นผู้หญิงหน้าขาวทั้งสองคน จากคณะละครของโอลาฟ
"อย่าเชื่อพวกนั้นนะ คาร์เมลิต้า" ควิกลีย์พูดขึ้นพลางหยิบสมุดบันทึกปกสีม่วงออกมา "พวกนั้นจะเผาบ้านพ่อแม่เธอนะ ฉันมีหลักฐานอยู่ในนี้ ในสมุดบันทึกของฉันนี่แหละ"
- The Slippery Slope, Chapter 13
หรือแม้แต่ว่าที่สมาชิกใหม่ของฝ่ายจุดไฟด้วยกันเองก็น่าจะไม่เว้น
ใช่แล้วค่ะ ท้ายที่สุดแล้ว การเข้ามาเป็นอาสาสมัครไม่ใช่การเสียสละ ไม่ใช่การอาสามาทำงานที่ประเสริฐหรือมีเกียรติ นับตั้งแต่ยุคของเลโมนี - หรืออาจจะก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ - มาจนถึงยุคของเด็ก ๆ โบดแลร์ การเข้ามาเป็นอาสาสมัคร (ซึ่งที่จริงก็ไม่ได้อาสา) กลับมีราคาที่ต้องจ่าย ราคาที่แพงมากเสียด้วย
นั่นคือการเสียบ้านและครอบครัวไปในกองเพลิง
และเหตุผลของการเผาบ้านอาสาสมัครเหล่านี้น่ะหรือ
อย่างที่ทุกคนน่าจะเดากันได้ ก็แน่นอนอยู่แล้วว่า...
เพื่อเงิน
"ร่วมสิ" หญิงคนร้ายพูดเสียงต่ำ "เพราะ [ลูกเสือหิมะ] พวกนั้นจะถูกคัดเลือกให้ร่วมงาน หรือไม่อย่างนั้นก็จะต้องเป็นตัวประกันของเรา แต่อย่างหนึ่งที่แน่ ๆ ก็คือ
เราจะเผาบ้านของพ่อแม่เด็ก ๆ พวกนั้นทุกหลังเลย"
[...]
"แน่นอน" โอลาฟพูด "เหตุผลหลักที่เราทำทุกอย่างนี้ก็เพื่อจะได้เอาสมบัติทั้งหมดนั่นมา"
- The Slippery Slope, Chapter 13
เป็นวิธีการที่โหดร้ายมาก แต่ก็ไม่น่าแปลกอะไร ในเมื่อการที่องค์กรจะอยู่ได้ก็ต้องใช้เงินใช่ไหมคะ การจะสร้างสำนักงานใหญ่ สถานที่ปลอดภัย ห้องสมุด หรือทางเดินลับก็ล้วนแต่ต้องใช้เงินทั้งนั้น ยังไม่รวมต้นทุนค่าฝึกอาสาสมัครกับค่าทรัพยากรขององค์กรเองอีก
แต่ถึงอย่างนั้น อาสาสมัครกลับไม่ได้มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าสมาชิกหรือหาเงินเข้าองค์กรเลย อย่างที่เห็นในบันทึกการประชุมด้านบนว่าอาสาสมัครถูกส่งไปทำงาน "เพื่อให้แน่ใจว่าโลกยังคงเงียบ" ไม่ได้มีหน้าที่ต้องหาเงินมาซัพพอร์ตองค์กรโดยตรง
อ้าว แล้วแบบนี้จะเอาเงินมาจากไหน
ก็จะเป็นอะไรไปได้อีก นอกจากวิธีที่ง่าย สะดวก และรวดเร็วอย่างการไปพาเด็กบ้านคนรวยมาเป็นอาสาสมัคร แล้วก็เผาบ้านเด็กยึดมรดกมาเสียเลย
ฟังดูดาร์คมาก และว่ากันตามตรง ส่วนนี้อาจจะยังเป็นแค่ทฤษฎีอยู่เช่นกันค่ะ (อ่านเพิ่มเติมได้ที่บล็อกนี้) นอกเหนือจากคำพูดของฝ่ายจุดไฟ (aka ฝ่ายโอลาฟ) แล้ว ก็ยังไม่มีคำพูดยืนยันจากฝ่ายดับไฟเลยว่าก่อนหน้านี้มีการเผาบ้านอาสาสมัครเกิดขึ้นจริง
แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นจริงแน่ ๆ และน่าจะเกิดขึ้นก่อนการแตกแยกด้วยซ้ำ คือการลักพาตัวเด็ก ๆ มาเป็นอาสาสมัครนี่ล่ะค่ะ เด็กที่ถูกพามา (ไม่น่าจะโดยสมัครใจ) จะถูกพาตัวไปสำนักงานใหญ่ จับสักที่ข้อเท้า ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการฝึก ซึ่งน่าจะได้พูดถึงในบทถัด ๆ ไปค่ะ
สำหรับบทหน้า เราจะมาพูดถึงการแตกแยกของ V.F.D. กันค่ะ อันที่จริงก็แอบพูดถึงไปบ้างนิดหน่อยแล้วในบทนี้ ไว้เรามาคุยกันอย่างละเอียดอีกทีในบทถัดไปนะคะ
สุดท้ายก็ยาวมากอีกแล้ว ขอบคุณทุกคนจริง ๆ ค่ะที่อ่านมาถึงตรงนี้ แล้วพบกันใหม่ในบทหน้านะคะ :)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in