หลังจากที่พวกเราได้พูดถึงฮาวทูเข้าร่วมองค์กรลับ (ที่น่าจะติดอันดับ
องค์กรลับที่ไม่น่าเข้าร่วมที่สุด) ไปแล้วใน
บทความก่อนหน้า วันนี้เราก็จะมาคุยกันต่อเกี่ยวกับจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้องค์กรแห่งนี้ไม่เหมือนเดิมไปตลอดกาลกันค่ะ
อย่างที่ทุกคนน่าจะเดากันได้จากชื่อเรื่อง ใช่แล้ว จุดเปลี่ยนที่ว่าก็คือ "การแตกแยกครั้งใหญ่" ของ V.F.D. นั่นเอง
ถามว่าเรื่องนี้เป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ขนาดไหน โอ้ ก็ใหญ่ขนาดที่ว่าถ้าเรื่องนี้ไม่เกิดขึ้น เด็ก ๆ โบดแลร์อาจจะไม่ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า โอลาฟอาจจะกำลังดับไฟแทนที่จะเผาบ้านอาสาสมัครคนอื่น และเลโมนีอาจจะไม่ต้องวุ่นวายกับการหนีคดีที่ตัวเองไม่ได้ก่อ
...เอ๊ะ ที่จริงก็เป็นไปได้ว่าเด็ก ๆ โบดแลร์อาจจะไม่ได้เกิดมาด้วยซ้ำ เพราะถ้าอาสาสมัครไม่ตีกันเอง ความรักของเลโมนีกับเบียทริซก็ไม่น่าจะจะไม่จบลงด้วยความผิดหวังเช่นนี้เหมือนกัน
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
ประเด็นก็คือถึงแม้การแตกแยกที่ว่านี้จะเป็นเหตุการณ์ที่ใหญ่มาก อาสาสมัครแทบทุกคนพูดถึงมันตลอดทั้งเรื่อง แต่ก็เหมือนกับองค์กรลับของพวกเรานั่นแหละ คือถึงจะเป็นตัวขับเคลื่อนพล็อตที่สำคัญ แต่กลับไม่มีใครพูดถึงมันแบบตรง ๆ ไม่อ้อมค้อมเลยสักคน
ดังนั้น วันนี้เราจะกลับมาย้อนดูและถอดรหัสเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของ V.F.D. เหตุการณ์นี้ไปพร้อม ๆ กันเลยนะคะ
ฟิโอน่าและเฟอร์นัลด์ สองพี่น้องที่ต้องพลัดพรากเพราะการแตกแยกเช่นกัน
The Schism
สำหรับเรื่องการแตกแยก คำถามแรกที่หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยก็คือ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่องค์กรแตกออกเป็นสองฝ่ายแบบนี้
แล้วก็ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ เพราะคำถามนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่คำถามที่มีคำตอบให้เราแบบชัด ๆ ตรง ๆ อยู่ในเรื่อง
หรืออย่างน้อยก็ชัดที่สุดแล้ว ถ้าเทียบกับคำถามอื่นที่กำลังจะพูดถึงต่อจากนี้
"ตอนที่เริ่มเกิดการแตกแยก ฉันอายุแค่สี่ขวบ ฉันแทบสูงไม่พอที่จะเอื้อมถึงชั้นหนังสือซึ่งฉันชอบที่สุดในห้องสมุดครอบครัว หมวด 020 น่ะ แต่คืนหนึ่งตอนที่พ่อแม่ของเรากำลังแขวนลูกโป่งสำหรับงานวันเกิดอายุห้าขวบ พี่ชายกับฉันก็ถูกพาตัวไป"
- Dewey Denouement, The Penultimate Peril, Chapter 8
***
"ฉันอายุได้สี่ขวบตอนที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป องค์กรของเราแตกสลาย แล้วมันก็เหมือนกับโลกได้แตกสลายไปด้วย สถานที่ปลอดภัยถูกทำลายไปทีละแห่ง ๆ..."
- Kit Snicket, The Penultimate Peril, Chapter 2
สำหรับคำถามแรก ทั้งดิวอี้และคิท สนิกเก็ตต่างก็ยืนยันว่าการแตกแยกเกิดขึ้นตอนที่ตัวเองอายุสี่ขวบ ซึ่งถ้ายังจำกันได้ ดิวอี้บอกกับพวกเราว่าเขาถูกลักพาตัวมาตอนอายุห้าขวบ ในเมื่อคิทกับดิวอี้ฝึกมาในรุ่นเดียวกัน จึงคาดว่าทั้งสองคนน่าจะเข้าร่วมองค์กรในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน และก็น่าจะเป็นรุ่นเดียวกับอาสาสมัครส่วนใหญ่ในเรื่องด้วยเช่นกัน
ซึ่งก็แปลว่าอาสาสมัครรุ่นที่กำลังแอคทีฟที่สุดในช่วงเวลาของเด็ก ๆ โบดแลร์ แทบไม่มีใครเข้าองค์กรได้ทันยุคก่อนการแตกแยกเลย
มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะค้านว่า อ้าว แต่ทั้งคิททั้งโอลาฟก็ยังมีรอยสักที่ข้อเท้าไม่ใช่เหรอ ถามว่าเรื่องนี้สำคัญยังไง ก็สำคัญตรงที่ว่าประเพณีการสักที่ข้อเท้าถูกยกเลิกไปหลังจากที่การแตกแยกเริ่มขึ้นแล้วน่ะสิ
3. ผมต้องสักหรือไม่
ไม่ต้องสักอีกต่อไปแล้ว นับตั้งแต่เกิดการแตกแยก เราก็ตระหนักได้ว่าการทำเครื่องหมายตนเองเป็นสัญลักษณ์ไว้อย่างถาวรนั้นไม่ฉลาดเลย เพราะความหมายของสัญลักษณ์นั้นอาจจะเปลี่ยนไปเมื่อไหร่ก็ได้
-Unathorized Autobiography, page 191
(และสำหรับคนที่สงสัย ใช่ค่ะ เลโมนีเองก็มีรอยสักเช่นกัน ซึ่งเจ้าตัวก็เปิดให้เพื่อน ๆ ดูในเรื่อง Shouldn't You Be in School? พร้อมกับบ่นว่าการสักอะไรถาวรที่ข้อเท้าเนี่ยเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย)
ส่วนตัวเรามองว่าอาสาสมัครรุ่นนี้น่าจะเป็นรุ่นท้าย ๆ แล้วล่ะค่ะที่มีการสักที่ข้อเท้า และน่าจะเป็นรุ่นที่การแตกแยกยังไม่ใหญ่โตเช่นทุกวันนี้ อย่างในชุด All the Wrong Questions ที่เล่าถึงเลโมนีในวัย 13 ปีก็ไม่ได้พูดถึงการแตกแยกสักนิด แถมความจริงแล้ว เลโมนีกับโอลาฟก็ยังเคยฝึกด้วยกันเลยด้วยซ้ำ
"The only other student I know in this class is O., who is nothing but an annoyance [...] I think it's better to spend my time inside 'My Silence Knot' whenever that nitwit raises his ugly, one-eyebrowed head"
- Lemony Snicket, The Beatrice Letters, LS to BB#2
[นักเรียนคนอื่นที่ฉันรู้จักก็มีแค่ O. ซึ่งก็น่ารำคาญเกินทน ฉันคิดว่าคงจะดีกว่าถ้าจะใช้เวลาไปกับการอ่าน My Silince Knot (ชื่อบทกวี) เมื่อไหร่ก็ตามที่เจ้างั่งคิ้วเดียวนั่นเงยหน้าขึ้นมา]
อย่างที่อาสาสมัครหลายคนพูด การแตกแยกครั้งนี้ยิ่งลุกลามใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละรุ่นที่ผ่านไป เพื่อนฝูงกลับกลายเป็นศัตรู พี่น้องกลับกลายเป็นฝ่ายตรงข้าม ในช่วงแรกไม่มีใครบอกได้อีกต่อไปว่าอาสาสมัครตรงหน้าคือมิตรหรือศัตรู เพื่อนร่วมองค์กรคนไหนกันแน่ที่น่าไว้วางใจ แบบที่โอลิเวีย คาลิบัน (หรือที่รู้จักกันในชื่อมาดามลูลู่มากกว่า) ได้บรรยายไว้ว่า
"[การแตกแยก] ซับซ้อนแล้วก็สับสนน่ะ" โอลิเวียอธิบาย "ว่ากันว่าสมัยก่อนมันง่ายและเงียบสงบกว่านี้ แต่อาจจะเป็นแค่ตำนานก็ได้ เกิดการแตกแยกใน V.F.D. มีการต่อสู้กันครั้งใหญ่ระหว่างสมาชิกจำนวนมาก แล้วตั้งแต่นั้น ฉันก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร"
- The Carnivorous Carnival, Chapter 7
สถานที่ปลอดภัยที่เคยใช้เก็บข้อมูลและแลกเปลี่ยนข่าวสารของอาสาสมัครก็ถูกทำลายลงทีละแห่ง อย่างที่คิทเล่าว่า
"[...] สถานที่ปลอดภัยถูกทำลายไปทีละแห่ง ๆ เคยมีห้องทดลองวิทยาศาสตร์ขนาดใหญ่ แต่อาสาสมัครที่เป็นเจ้าของห้องทดลองนั้นถูกฆาตกรรม มีถ้ำขนาดใหญ่ แต่กลุ่มนายหน้าซื้อขายที่ดินเจ้าเล่ห์กลับอ้างว่าเป็นของพวกเขา แล้วก็มีสำนักงานใหญ่ขนาดยักษ์อยู่บนเทือกเขาเงาอดีต แต่..."
"ถูกทำลายไปแล้ว" เคลาส์พูดเบา ๆ "พวกเราไปอยู่ที่นั่นช่วงสั้น ๆ หลังจากไฟไหม้"
"ใช่แล้ว" คิทพูด "ฉันลืมไป สำนักงานใหญ่เป็นที่ปลอดภัยก่อนสุดท้าย"
- The Penultimate Peril, Chapter 2
จนกระทั่งเหลือสถานที่ปลอดภัยแห่งสุดท้าย นั่นคือโรงแรมอวสาน
ซึ่งตอนนี้ก็ล่มสลายไปแล้วเช่นกัน...
การแตกแยกครั้งนี้ทำให้อาสาสมัครถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ซึ่งหลังจากนี้จะขอเรียกว่าฝ่ายดับไฟ และฝ่ายจุดไฟ ถ้าดูจากวีรกรรมของแต่ละฝ่ายแล้ว ก็แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าทั้งสองฝ่ายจะเคยเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรเดียวกันมาก่อน
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา (และไม่ยิ่งเปลืองหน้ากระดาษไปมากกว่านี้--) เราไปทำความรู้จักกับฝ่ายดับไฟกันเลยดีกว่าค่ะ
The Fire-Fighting Side
- The world is quiet here
รูปรวมของอาสาสมัครจากฉบับซีรีส์ ซึ่งก็อาจไม่ได้เป็นอาสาสมัครในหนังสือ, จากซ้ายไปขวา: จอร์จินา ออร์เวลล์, มอนต์โกเมอรี มอนต์โกเมอรี, มิสเตอร์และมิสซิสควากไมร์, มิสเตอร์และมิสซิสโบดแลร์, ไอค์ แอนวิสเซิล, โจเซฟีน แอนวิสเซิล, เลโมนี สนิกเก็ต
สำหรับฝ่ายแรก น่าจะเป็นฝ่ายที่พวกเราคุ้นหน้าคุ้นตา (และเอาใจช่วย) กันมากที่สุดในเรื่อง กลุ่มคนที่ยังเรียกตัวเองว่า "อาสาสมัคร" ในตอนนี้ก็คือสมาชิกของฝ่ายนี้นี่เอง คนที่อยู่ฝ่ายนี้ยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์ขององค์กรอย่างเหนียวแน่น และเชื่อว่าความสงบของโลกใบนี้จะเกิดขึ้นได้ถ้าทุกคนอ่านหนังสือเยอะ ๆ อย่างที่เลโมนีบรรยายไว้ว่า
"ถ้าคุณรู้สึกว่าคนที่อ่านหนังสือมาก ๆ จะไม่ค่อยเป็นคนเลว และโลกที่เต็มไปด้วยคนนั่งเงียบ ๆ โดยมีหนังสืออยู่ในมือนั้นน่าอยู่กว่าโลกที่เต็มไปด้วยการแตกแยก เสียงไซเรน และสิ่งรบกวนเสียงดังอื่น ๆ คุณอาจจะพูดกับตัวเองว่า 'โลกที่นี่เงียบ' เหมือนคำปฏิญาณว่าควรจะอ่านหนังสือเพื่อสิ่งที่ดีกว่า"
- The Slipper Slope, Chapter 13
ซึ่งก็อย่างที่เราเห็นตลอดทั้งเรื่องค่ะ อาสาสมัครของฝ่ายนี้ยึดมั่นกับการอ่านมาก และเชื่อด้วยนะว่าคนที่อ่านหนังสือไม่มีทางจะเป็นคนเลวไปได้ อย่างที่ควิกลีย์บอกกับพี่น้องโบดแลร์ในตอนที่เจอกันครั้งแรกว่า "จากประสบการณ์ของฉัน คนที่อ่านหนังสือเยอะ ๆ ก็ไม่ค่อยจะเป็นคนเลวหรอก"
ห้องสมุดมากมายถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าอาสาสมัครกลุ่มนี้และกระจัดกระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง แม้ว่าจะเป็นช่วงหลังการแตกแยกก็ตาม อย่างที่พวกเราเห็นในหนังสือทุกเล่ม ไม่ว่าพี่น้องโบดแลร์จะไปที่ไหน เป็นอันต้องได้เจอกับห้องสมุดทุกที่ไป
หลังจากที่องค์กรแตกออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายที่ได้รับผลรุนแรงมากกว่าน่าจะเป็นคนของฝ่ายนี้นี่ล่ะค่ะ ที่ต้องวิ่งหนีหลบหลีกการไล่ล่าของฝ่ายจุดไฟตลอดเวลา สถานที่ปลอดภัยที่เคยมีก็ถูกฝ่ายนู้นเผา อาสาสมัครเองไม่ถูกใส่ร้ายก็ถูกฆ่า จะสื่อสารกันด้วยวิธีเดิมก็ไม่ได้ ในเมื่ออีกฝ่ายก็รู้รหัสเหมือนกัน ก็เล่นนั่งเรียนมาด้วยกันขนาดนี้
ชีวิตของอาสาสมัครกลุ่มนี้จึงซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ สถานที่ปลอดภัยถูกย้าย รหัสใหม่ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อใช้สื่อสารระหว่างอาสาสมัครด้วยกันโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ อย่างรหัสซีบอลด์ หรือ วจีพ้นไฟโดยอยู่ในตู้เย็น (verbal fridge dialogue) เองก็ดูเหมือนว่าเกิดขึ้นหลังจากการแตกแยกแล้วเช่นกัน
(จะว่าไป เรื่องรหัสก็น่าเขียนถึงเหมือนกันนะคะเนี่ย--)
สำหรับสมาชิกในฝ่ายดับไฟ ว่าง่าย ๆ ก็คือแทบทุกคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพี่น้องโบดแลร์ตลอดการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นอาสาสมัครเก่าที่ยังแอคทีฟอยู่ อย่างลุงมอนตี้และพี่น้องสนิกเก็ต อาสาสมัครหน้าใหม่อย่างแฝดสามควากไมร์ เจอโรม สควาเลอร์ หรือผู้พิพากษาสเตราส์ หรืออาสาสมัครเก่าที่ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับองค์กรแล้ว อย่างป้าโจเซฟีนเองก็เคยเป็นคนของฝ่ายนี้เช่นกัน
ถ้าดูตามเนื้อเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นฉบับหนังสือหรือซีรีส์ ฝ่ายนี้ก็ดูจะเป็นฝ่ายของคนดี ไม่เผาบ้าน ไม่ฆ่าคน ไม่ปล้นใคร ไม่เรียกค่าไถ่ เป็นฝ่ายรักสงบที่ปล่อยให้อีกฝั่งทำลายสถานที่ปลอดภัยของตัวเองไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าถามว่าเหล่าอาสาสมัครไร้เขี้ยวเล็บขนาดนั้นเชียวหรือ
คำตอบก็คือ ไม่ค่ะ
ฝ่ายดับไฟเองไม่ใช่แค่ฝ่ายหนีที่ไร้ทางสู้ และอาจจะไม่ใช่ฝ่ายที่ประเสริฐมากกว่าเลยด้วยซ้ำ อาวุธหนึ่งของฝ่ายดับไฟ -- นอกจากหนังสือและข้อมูลนับล้าน -- ที่เราเห็นกันชัด ๆ ก็คือเชื้อรามรณะที่มีชื่อว่า เมดูซอยด์ ไมซีเลียม
"แค่สปอร์เดียวก็มีพิษร้ายกาจ
จนเราอาจตายได้ภายในหนึ่งชั่วโมง"
เจ้าเชื้อราที่ว่านี้ปรากฏตัวให้พวกเราเห็นครั้งแรกใน The Grim Grotto ในฐานะอาวุธที่เกรกอร์ แอนวิสเซิล หนึ่งในอาสาสมัครฝ่ายดับไฟเพาะไว้เพื่อจัดการกับฝ่ายตรงข้าม ท่ามกลางเสียงคัดค้านของเหล่าอาสาสมัครคนอื่น ๆ
และในท้ายที่สุดแล้ว ชะตากรรมของสถาบันวิจัยเห็ดราแห่งนี้ หรือที่รู้จักกันในนามแอนวิสเซิล อควาติกส์ก็จบลงในกองเพลิง โดยมือเพลิงที่เดอะเดลี่พังค์ทิลิโอรายงานก็คือเฟอร์นัลด์ อดีตผู้ช่วยของเกรกอร์ ซึ่งย้ายไปเข้าร่วมกับฝ่ายจุดไฟเพราะไม่เห็นด้วยกับเกรกอร์นั่นเอง
สำหรับคนที่กำลังค้านในใจว่า อ้าว ก็แค่เพาะเห็ดไว้ป้องกันตัวเฉย ๆ เอง สุดท้ายอาวุธนั้นก็ยังไม่ได้เอาไปใช้จริงนี่นา อาสาสมัครยังไม่ได้ไปฆ่าใครตายสักหน่อย
เรื่องที่ว่ายังไม่มีใครตายเพราะเห็ดก็อาจใช่ แต่ยังจำกันได้ไหมคะ ว่าเคาต์โอลาฟเองก็เป็นเด็กกำพร้า...
และยังจำได้อยู่ไหมคะ ว่าพ่อแม่ของโอลาฟตายเพราะอะไร
"ฉันยังจำเย็นวันนั้นได้ดีเลยล่ะ" คิทพูดพลางยิ้มเล็กน้อย "โอเปร่าเรื่อง ลา ฟอร์ซา เดล เดสทิโน แม่ของเธอคลุมผ้าคุลมไหล่สีแดง ริมผ้ามีขนนกยาว ช่วงพักการแสดง ฉันตามพ่อแม่พวกเธอไปที่บาร์ของว่าง
แล้วรีบเอากล่องลูกดอกอาบยาพิษให้พวกเขา
ก่อนที่เอสเม่ สควาเลอร์จะจับฉันได้"
- The Penultimate Peril, Chapter 1
***
"รองของรองบรรณารักษ์คงยังไม่ได้บอกเรื่องพ่อแม่ของพวกเธอสินะ" โอลาฟเยาะ "ไหนจะเรื่องกล่องใส่ลูกดอกอาบยาพิษอีก ทำไมไม่ถามเขาล่ะ เด็กกำพร้า ทำไมไม่ถามบรรณารักษ์ผู้เป็นตำนานเรื่องเย็นวันแห่งชะตากรรมที่การแสดงโอเปร่าล่ะ"
- The Penultimate Peril, Chapter 9
ซึ่งก็แน่นอนว่ากล่องลูกดอกอาบยาพิษที่คิทมอบให้พ่อแม่โบดแลร์ ก็คือกล่องเดียวกับที่ใช้สังหารพ่อแม่ของโอลาฟนั่นเอง
"บอกผมมาว่าอาวุธที่ทำให้คุณเป็นกำพร้าคืออะไร แล้วผมจะพิมพ์ให้เอง"
"เคาต์โอลาฟยิ้มให้เคลาส์อย่างช้า ๆ ซึ่งทำให้เด็ก ๆ โบดแลร์ตัวสั่น "ฉันจะบอกให้" เขาพูด
"ลูกดอกอาบยาพิษ"
- The Penultimate Peril, Chapter 12
ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องนี้อาจจะทำให้เราต้องกลับมาตั้งคำถามกันอีกครั้งว่าสิ่งที่ฝ่ายดับไฟได้ทำไป แม้ว่าจะมีเหตุผลอันประเสริฐ แต่นั่นทำให้พวกเขาเป็นคนดีมากกว่าอีกฝ่ายจริงหรือ
เอาล่ะค่ะ ตอนนี้พวกเราก็น่าจะได้รู้จักกับฝ่ายดับไฟกันพอสมควรแล้ว ทีนี้เราจะขอพูดถึงฝ่ายตรงข้ามของพวกเขากันบ้าง ขอเชิญพบกับฝ่ายจุดไฟค่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in