ก่อนหน้านี้เขียนคอนเทนต์ “ชวนดูนานาหนังน้ำดี ฝีมือผู้กำกับ ชนชั้นปรสิต" เพราะเราตามผู้กำกับบงจุนโฮมานานเลยอยากเขียนถึงสักหน่อยวันนี้ได้ฤกษ์งามยามดีหลังจากผลัดมาหลายวัน จะมาเขียนรีวิว วิเคราะห์ วิแคะเกี่ยวกับผลงานเรื่องล่าสุดของผู้กำกับมือทองคนนี้อย่าง “ชนชั้นปรสิต” กัน
โทรศัพท์กริ๊งเดียวในคืนฝนตกทำให้เปลี่ยนชีวิตของครอบครัวปรสิตครอบครัวหนึ่งไปได้ในทันทีหากถามว่าสำหรับหนังเรื่องนี้เราชอบซีนไหนที่สุด ก็บอกได้ในทันทีแบบไม่มีลังเลว่า “คืนฝนตกคือที่สุดจริงๆ ว่ะคุณ”
มันเป็นซีนที่โคตรยาวและมีหลากหลายอารมณ์เราพบว่าครอบครัวเศรษฐีพาลูกไปตั้งแคมป์โดยที่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่ากำลังทิ้งบ้านให้อลหม่านภายใต้เหลือบไรที่ค่อยๆแฝงเข้ามาในบ้าน เข้าสู่วงจรแมวไม่อยู่หนูร่าเริงที่แท้จริงแต่ใครจะไปรู้ว่าในคืนเดียวกันนี้ พ่อแม่ลูกสี่คนกำลังกินดื่มสนุกสนานกลับกลายเป็นว่าได้ค้นพบเรื่องราวที่แปลกประหลาดและเป็นต้นเหตุแห่งความบ้าคลั่งในท้ายเรื่อง
การค้นพบปรสิตอีกตัวที่ชั้นใต้ดิน การยื้อแย่งมือถือในซีนสำคัญที่ชวนให้ลุ้นระทึกทั้งหมดดูไร้ค่าไปเลยเมื่อโทรศัพท์บ้านดังขึ้นพร้อมบทสนทนาที่ทำให้เราได้รู้ว่าเจ้าของบ้านที่แท้จริงกำลังจะกลับมาแล้ว
ในตอนนั้นความอลหม่านของจริงก็เกิดขึ้น ซีนยาวๆ นี้แหละที่ทำให้เรามองเห็นภาพของแมลงสาบที่วิ่งพล่านในคืนฝนตกได้ดีมากๆเมื่อฝนตกน้ำท่วมแมลงสาบพากันกรูออกมาจากรูของพวกมัน เหมือนกันกับยามค่ำคืนเมื่อทุกอย่างเงียบเสียงลงแล้วพวกมันก็จะรู้ว่าถึงคราวที่พวกมันจะเผยตัวตน
แต่กลับกัน พอเราเปิดไฟ พวกมันก็จะวิ่งหลบไปซ่อนในมุมมืด เหมือนกับไม่เคยมีตัวตนอยู่จริงทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราสามารถอธิบายได้ชัดเจนที่สุดกับซีนคืนฝนพรำ
ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ว่าหนังเรื่องนี้มันชวนจุกอกแค่ไหนกับบรรดา
อยากจะพูดถึงนักแสดงสักนิดในเรื่องนี้ทำให้เราเห็นถึงพัฒนาการของตัวละครได้ดีมาก ซึ่งเราไม่แปลกใจเลยที่ว่าทำไมบงจุนโฮถึงวางตัวนักแสดงเอาไว้แบบนั้นเพราะทุกคนแสดงเข้าถึงอารมณ์จริงๆ เราเห็นคีแทกในตอนแรกเป็นยังไง?ก็แค่ตาลุงคนหนึ่งที่ไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่งใช่มั้ยล่ะ สีหน้าโคตรจะธรรมดาคนที่เด่นที่สุดกลับเป็นลูกชายต่างหาก แต่แล้วไง ครึ่งเรื่องหลังมันบทของคนคนนี้ชัดๆเราชอบการที่ทำให้สีหน้าของคีแทกค่อยๆ เปลี่ยนไปตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องให้เขาคอยพะวงเกี่ยวกับเรื่อง “กลิ่น” ให้สีหน้าค่อยๆ แดงขึ้นเรื่อยๆเพราะความอัดอั้นตันใจของตัวเอง จากนั้นในวินาทีต่อมาที่วางมือกดห้ามเลือดบนอกลูกรู้ตัวอีกทีเขาก็คว้ามีดไปเสียบอกเจ้านายตัวเองแล้ว
ทั้งหมดนี้แหละมันคือพัฒนาการของตัวละครที่ดีมากๆ หรืออีกเรื่องหนึ่งคือ “หิน” ที่คีวูถือ หลายคนไม่เข้าใจ หลายคนบอกว่าความพยายามของคีวูมันน่าขำตั้งใจดิบดีสุดท้ายมาจบลงแบบนี้ได้ แต่ เฮ้ลองมองย้อนกลับไปว่าอะไรที่ทำให้คีวูมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เขาได้หินจากเพื่อนสนิทและเชื่อมั่นว่าเจ้าหินนี้ทำให้เขาเก่งกล้าขึ้นจากที่แค่คอยมองคนเมาฉี่ข้างกำแพง แต่พอมีหินเขากลับกล้าที่จะออกไปไล่คนคนนั้น
หรือกระทั่งตอนที่กลับรังมาแล้วพบว่าน้ำท่วมบ้านถามว่าอะไรคือสิ่งแรกที่เขาถือไว้ตลอดเวลา ก็คือหินอยู่ดีเพราะหินนี้สำคัญกับเขามาก เขาจึงจะใช้หินนี้จบทุกอย่าง หินสร้างความมั่นใจให้เขาแต่เมื่อหินหลุดมือไปความมั่นใจก็หายไปด้วย ลงท้ายก็อย่างที่เห็น
นอกจากนี้ยังรู้มาว่าคนดูบางกลุ่มพูดว่า ลูกๆ มีความสามารถขนาดนั้นลูกชายเก่งภาษาอังกฤษ ลูกสาวเก่งโฟโต้ช็อป ทำไมไม่ไปทำเป็นอาชีพสุจริตหารายได้ให้ตัวเองในแบบที่ไม่ต้องมาหลอกลวงคนอื่นแบบนี้ นี่แหละคือสิ่งที่หนังต้องการสร้างคำถามให้เราคุณคิดว่าคนทุกคนอยากหลอกลวงคนอื่นเหรอ? ไม่นะ ไม่มีใครอยากเป็นคนเลวหรอกเด็กสองคนนั้นสามารถใช้ทักษะของตัวเองในทางที่ดีได้จะเป็นอะไรไปในเมื่อเขามีทักษะมีความสามารถ แต่เดี๋ยวรู้มั้ยอะไรที่เขาไม่มี...ช่องทางไงล่ะ
คิดในแง่กลับกัน ถ้าคุณเป็นคนรวย มีเงินย่อมหมายความว่าคุณมีเส้นสายดี ถึงจะล้มก็ยังล้มบนฟูก ไม่เจ็บเท่าไรจะทำอะไรก็ง่ายดายขอแค่มีเงินแต่ในเมื่อคุณจนและต้องอยู่อาศัยในที่ที่อยู่บนดินก็ไม่ใช่ ใต้ดินก็ไม่เชิงแบบนั้นมันไม่มีโอกาสใหม่ๆ หรือช่องทางมาให้คุณมากนักหรอก และนั่นคือสิ่งที่พวกเขาเผชิญอยู่
ถามว่าหนังเรื่องนี้มันให้อะไรเรา มันให้เยอะมาก หลักๆคือความเหลื่อมล้ำทางสังคม คนจนและคนรวยมี gap
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in