เหลือเวลาอีกสองวันก่อนจะกลับกรุงเทพฯ พี่ปูคงจะเห็นพูดเราสัมภาษณ์คุณลุงเบาหวานกับคุณแม่ลูกอ่อนจนพรุนไปหมดแล้วแหละ วันนี้เลยพาพวกเราไปออกพื้นที่ระหว่างที่ออกพื้นที่ inception ซ้อนไปอีกที ที่บ้านป้าขิงกันครับ ถึงป้าจะชื่อขิงแต่จริงๆ แล้วขายกล้วย ด้วยสภาพแดดของบางกระทุ่มเนี่ย เค้าบอกว่าเพอเฟกต์มากสำหรับการทำกล้วยตาก ซึ่งเราทุกคนก็เห็นด้วยเลยว่าเอาอะไรมาที่นี่ก็คงแปลสภาพเป็นสิ่งนั้นตากได้หมด ทำให้ผลิตภัณฑ์หลักของที่นี่ก็คือโมจิไส้ทุเรียนนั่นเอง บ้าเหรอ กล้วยตากสิกล้วยตาก มีถึงขั้นโกอินเตอร์แต่งองค์ทรงเครื่องเอาไปชุบชอคโกแลต ใส่แพ็คเกจสวยๆ ไปขายฝรั่งในนาม banana society ด้วยนะ
ป้าขิงเองก็เคยทำจ๊อบเสริมอารมณ์นี้อยู่ คือรับนักศึกษามาโฮมสเตย์สั้นๆ พร้อมสอนถึงการกินอยู่แบบพอเพียง หลังจากฝากฝังกันเป็นที่เรียบร้อย (เราจะค้างที่นี่กันหนึ่งคืน) ป้าขิงก็ขอตัวไปทำงาน แล้วบอกให้พวกเราเดินดูบ้านดูสวนได้ตามสะดวกเลย มีอะไรถามได้ตลอด
บ้านป้าขิงเป็นบ้านเรือนไทยยกพื้นสูงตามตำรับ ไต้ถุนมีเอาไว้ทำอาหาร ดูทีวี นั่งม้วนกล้วย มีลุงนั่งสานแหสานอวนระดับแอดวานซ์อยู่หลังบ้าน ป้าขิงบอกว่างานอดิเรกลุงคือ blacksmith พร้อมชี้ให้ดูถึงสเตชั่นเตาและอุปกรณ์ตีเหล้กต่างๆ เช้ด ลุงแม่งหาเวลาว่างไปอัพเวลเปลี่ยนจ๊อบสองด้วยหวะ ถัดออกไปหลังบ้าน ป้าขิงปลูกผัก มะม่วง มะนาว และมีบ่อปลาใหญ่บะเอ้ก อีก 2 บ่อ กันติดใจกับต้นไม้ต้นนึงมาก เพราะป้าขิงเล่าให้ฟังว่ามันเกี่ยวอะไรกับพระเทพฯ สักอย่างนี่แหละ แต่สงสัยจะไม่ติดใจผมเพราะแม้แต่ชื่อต้นไม้ยังจำไม่ได้เลย แหะๆ
ฟ้าเริ่มสะโหลสะเหล ชัชที่ขอนอนพักเพราะปวดท้องค่อยๆ เดินมาสมทบ ประกอบกับที่ป้าขิงเชียร์ให้พวกเราลองตกปลากินกันเอง เอ๋ ป้า แล้วพวกเราจะทำได้ยังไงอ่ะ ชีวิตนี้ยังไม่เค... ตัดภาพไปที่วัชรับเบ็ดจากป้าไปตกอย่างคนถนัด พร้อมกับพูดลอยๆ ว่าเคยตกตอนเด็กน่าจะยังพอจำได้อยู่ อุบ้ะ นี่ธวัชชัยหรือโรบินสันครูโซวะเนี่ย เชื่อไม๊ว่าไม่ถึง 10 นาทีปลาก็ติดเบ็ด โอ้พระอัลเลาะห์ (เลวครับ อย่าล้อเลียนศาสนานะเด็กๆ) ไม่อยากจะเชื่อ ป้าขิงชมใหญ่เลยว่าวัชเก่ง เดินมาปลดปลาออกจากเบ็ดแล้วโยนกลับลงบ่อน่าตาเฉย อ่าว ทำไมล่ะป้า ปรากฎว่าผิดบ่อจ้า นั่นมันบ่อที่ยังไม่โตเต็มที่ น่าเบิร์ดกะโลหกจริงๆ เลย ธวัชชัยเนี่ย พอย้ายมาอีกบอก วัชเลยสอนชัชให้ลองตกดูบ้าง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าไม่ถึง 10 นาที ชัชก็ตกได้อีกแล้ว! วี้ดว้ายกระตู้วู้กันใหญ่ ตกค่ำย่ำเย็นนี้ หมู่เฮาจะมีอะไรตกถึงท้องกันแล้ว ยะโฮ่
กับข้าววันนี้ คือปลานึ่งราดพริก ไข่เจียว และแกงจืด เรียบง่ายแต่ก็ทำให้อิ่มใจ พอๆ กับบทสนทนาในวงอาหาร ป้าขิงเล่าว่าผู้ใหญ่บ้านที่นี่เจ๋งมาก สามารถนำพาหมู่บ้านให้กลายเป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของประเทศได้ ที่นี่จะอยู่กันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ใครมีอะไรก็แลกกันกินหากเหลือจึงนำไปขายแล้วนำเงินมาซื้อของที่ยังไม่มี พวกน้ำมัน กระเทียม ซอส ซีอิ๊ว เนื้อ ฯลฯ ป้าขิงบอกเมื่อปี 54 วิกฤตน้ำท่วมไทย แต่ที่นี่มีแต่น้ำใจท่วมท้น ชาวบ้านไม่ลำบากกันเลยบ้านไหนหมู่ไหนน้ำท่วมก็เอาปลามาแลกผักจากแหล่งที่น้ำไม่ท่วม รอดวิกฤตไปได้สบายๆ
"ทำตัวตามสบายนะลูก เดี๋ยวพรุ่งนี้ป้าจะพาไปดูที่เค้าทำกล้วยตากกัน ดูทีวีแล้วง่วงเมื่อไรก็ขึ้นไปอาบน้ำนอนข้างบนนะ ป้ากางมุ้งไว้ให้แล้ว" แหม ดูแลดีขนาดนี้ ไม่ให้ประทับใจได้ไงล่ะครับป้า
ขงจื้อเคยกล่าวเอาไว้ว่า ภาพยนต์ต้องมีจุด ไคลเมกซ์ฉันไหน การออกชุมชนก็ต้องมีจุดพีคสัตว์ฉันนั้น ระหว่างกำลังมันส์หยด กับพลอตละครสดใหม่ ก็มีเสียงร้องโอดโอย จากเปลญาณข้างหลัง
ชัชกำลังปวดท้องอย่างมาก
ก่อนจะทำอะไรกับชัชต่อ ขอท้าวความนิดนึงว่า ไอ้ชัชมันปวดๆ หายๆ มาตั้งแต่วันแรกๆที่มาอยู่ที่นี่แลัว แต่ทุกคนไม่ได้สนใจใส่ใจอะไร มีแต่แซวว่ามันขี้มโนแล้วไล่ไปกินยา ไปนอนพัก แล้วหันมาดำเนินชีวิตตามปกติ มีคืนนึงมันปวดท้องจนทนไม่ไหว อยากจะไปห้องฉุกเฉิน (เพราะโรงพยาบาลก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง) แต่ปลุกเท่าไรก็ไม่มีใครตื่น มันจึงต้องแบกสังขารตัวเองลงไปเปิดประตู สรุปไอกันกลัว...ไม่แน่ใจมันกลัวอะไร ขโมยเหรอ เสือกล็อคประตูอีก ชัชก็ควานหาไปสิกุญแจ สุดท้ายทนไม่ไหว ต้องออกทางประตูหลัง แหกเชือกฟางที่มัดไว้แล้วเดินฝ่าพงหญ้าออกไปทั้งๆ ที่ปวดท้องนี่แหละ ไปฉีดยาเสร็จสรรพจนอาการดีขึ้นแล้วกลับมานอนต่อ พวกเราที่เหลือ 4 คนถามว่ารู้ไม่ ไม่รู้หอยใดๆ ตื่นมาใช้ชีวิตตามปกติ ปล่อยมันงอนจนทนไม่ไหว ต้องเล่าออกมา พวกเราฟังก็ได้แต่ตกใจในระดับสะดุดขี้หมา ขอโทษตามวิถีประชาแล้วเดินหน้าทำงานต่อไป
อืม รางวัลสุพรรณหงส์ปีนี้ควรให้พวกเราเข้าชิง กลุ่มเพื่อนเพิกเฉยแห่งชาติิ อย่างไร้ข้อกังขาจริงๆ
กลับมาที่ชัชปวดท้องอย่างมากจนน่าเป็นห่วง
กันเดินไปข้างเปลและเริ่มทำการซักประวัติและเตรียมวินิจฉัยโรคทันที โดยมีลุงกับเราคอยฟังอยู่ข้างๆ ซักไปซักมา กันงงมาก อาการไม่น่าจะมาจากระบบย่อยอาหารเลย จะเป็นอะไรได้นะ ผมถามชัชว่าไหวไม๊ ถ้าไม่ไหวอย่าทน ตอนนี้สี่ทุ่มแล้ว เดี๋ยวยิ่งดึกจะลำบาก ชัชที่กำลังเหงือกแตกเต็มตัวหยุดคิดแล้วก็บอกว่าไม่น่าทนถึงเช้าไหว ผมพยักหน้าแล้วให้ลุงโทรหาพี่ปูเลย วัชเดินไปเรียกป้าขิงชั้น 2 ลงมาดูอาการ ระหว่างรอพี่ปูมารับ ป้าขิงดูๆ แล้วก็บอกว่า รีบไปหาหมอนะลูก ดูท่าป้าเดาว่าจะเป็นไส้ติ่ง ไม่ถึง 10 นาทีพี่ปูก็มาถึง พร้อมกับพี่ฝ้าย ทันตาภิบาลคนสนิท พยุงชัชขึ้นรถแล้วขอคนไปด้วย 2 คน ผมกับลุงเป็นคนอาสาไป ฝากป้าขิงดูแลวัชกับกัน ฝากวัชกับกันช่วยดูงานแทนพวกเรา แล้วรีบบึ่งรถออกมาทันที
โรงพยาบาลจังหวัดไม่ใช่ใกล้ๆ และสภาพชัชตอนนี้น่าตาไม่สู้ดี เหนี่ยวที่จับเหนือกระจกซ้ายขวาไว้แน่นคล้ายคุณแม่ที่ถุงน้ำคร่ำแตกใกล้คลอดแล้ว ทุกคนในรถพยายามดึงมู้ดในรถให้สบายขึ้น พี่ปูเปิดเพลง easy listening เคล้ากับเรื่องเล่าของพี่ฝ้ายว่าด้วยหมอใช้ทุน ที่เสียชีวิตเพราะปวดท้องแล้วไม่ไปหาหมอ...พี่ฝ้ายยยยยยยย หยุดไปเลย "อ่ะนี่ ชัช" ผมยื่นโทรศัพท์สายด่วนจากเพื่อนๆ ทั่วทุกมุมไทยให้คุยเสริมกำลังใจ ทั้งลำลูกกา นาแห้ว ขุนขันธ์กำลังใจมาเต็ม สู้ๆนะแก ทำใจดีๆไว้ เราจะคิดถึงเธอตลอดไป (คนสุดท้ายนี่ไล่ไปอยู่กับพี่ฝ้าย) สักพักชัชก็แพนิกน้อยลง ดูสบายขึ้น
ถึงโรงพยาบาลพุทธชินราชก็พาชัชเข้าห้องฉุกเฉินทันที หมอบอกว่าน่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบจริงๆ โอ้ว ป้าขิงคุณคือ the face ป้าเก่งมาก ทำได้ยังไง เดี๋ยวจะผ่าตัดพรุ่งนี้แต่เช้าตรู่เลย คืนนี้แอดมิดอดอาหารหรอหมอที่นี่ก็แล้วกัน
พวกเราพาชัชไปนอนที่ห้องพักผู้ป่ายในรวม บรรยากาศไม่ถือว่าดีเท่าไรรู้ สงสารลุงป้าที่นอนอยู่เตียงข้างๆ พอๆ กับสงสารชัช ตระเตรียมอะไรเรียบร้อย ให้ชัชโทรหาที่บ้าน (ชัชเป็นคนสิงห์บุรี) ให้มารับกลับเลย เพราะคงต้องพักฟื้นต่อแล้วพวกเราสี่หน่อก็ค่อยๆ ย่องออกมาจากห้อง
ที่พักแรมคืนนี้คือใต้เก้าอี้ หน้าลิฟท์ โดยมีผ้าห่มผืนยักษ์ของพี่ฝ้าย ช่วยพยุงสถานการณ์ไว้ ไม่ให้เลวร้ายเกินไป เราฟังพี่ฝ้ายเล่าเรื่อง สากกระเบือกยันเรือรบ จับความได้บ้างไม่ได้บ้างพลางคิดถึงคำสอนของขงจื้อ ที่ว่า ภาพยนต์ต้องมีจุด ไคลเมกซ์ฉันไหน การออกชุมชนก็ต้องมีจุดพีคสัตว์ฉันนั้น (ยัง มึงยังไม่หยุด) ก่อนจะผล็อยหลับไปในที่สุด
ชัชเข้าห้องผ่าตัดไปแต่เช้า กว่าจะให้เข้าเยี่ยมได้ก็เกือบ 11 โมงพี่ฝ้ายขับรถกลับไปลางานให้พี่ปูแต่เช้าตรู่เหมือนกันเหลือเราสามคนที่ไปนังคุยกันต่อที่ร้านกาแฟใต้โรง'บาล
พี่ปูเป็นคนที่คุยสนุกแล้วก็ได้แรงบันดาลใจแล้วก็ได้อะไรกลับมาจริงๆ เราคุยกันเรื่องหนังสือเหมือนเดิมลามไปถึงประเด็นใหม่ ว่าด้วยเรื่องคน และการสื่อสาร อูว รู้สึกโตเป็นผู้ใหญ่
มันเริ่มจากที่ว่าผมกับลุง ได้เล่าเรื่องทอล์กออฟเดอะทาวน์ ในคณะฯขณะนั้นให้พี่ปูฟังเป็นเรื่องของพี่คนนึง ที่ตกชั้นมาเรียนที่รุ่นผม เพราะ…ตามความรู้สึกผมนะ เค้าเป็นคนที่เรียนรู้ช้าและก็มีปัญหาทางการสื่อสาร ในระดับหนึ่งพอถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่นิสิตทันตแพทย์ จะต้องเริ่มรักษาคนไข้ประเด็นของพี่เค้าเลยกลายเป็นข้อโต้เถียงกันอย่างหนักในหมู่เด็กๆ และเหล่าอาจารย์ว่าเค้าจะขึ้นไปรักษาคนไข้ได้หรือไม่
นานๆ ทีจะมีเด็กสไตล์นี้หลุดมาเรียนอยู่แล้วแหละค่ะ ต้องใจเย็นมั่กม๊ากกกพี่ปูลากเสียงสูง พร้อมทำท่าอุลตร้าแมนปล่อยแสง (ท่าประจำพี่ปูเค้าล่ะ)พี่เองก็เคยเจอนะตอนใช้ทุนอยู่ที่ภูกระดึง คือเค้าทำงานได้ค่ะ แต่เราต้องคุยกับเค้าให้เข้าใจโปรโตคอลพื้นฐาน แบบหนึ่ง สอง สาม สี่ ถ้าเคสไหนไม่ตรงไปตรงมา หยุดแล้วให้มาถามทันที อะไรอย่างนี้ ที่สำคัญคือต้อง คุยกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆที่อาจจะไม่ได้ใจดีเท่าเรา คุยให้หนักเลย ว่าต้องปฎิบัติกับเค้าดีๆ อย่าไปสร้างความเครียดความรู้สึกแปลกแยกเพิ่มเติมให้กับเค้า
โหย ฟังแล้วซูฮกพี่ปูขึ้นไปอีกหลายเท่ารู้สึกเอิบใจจังที่รัฐบาลไทยได้คนอย่างนี้มาทำงาน แต่ก็สลดใจต่อแทบจะทันทีจะหาคนในคณะฯ ที่เป็นได้อย่างพี่ปู และสามารถช่วยพี่คนนั้นให้ผ่านด่านต่างๆไปได้นี่มันช่างยากเหลือเกิน สังคมคนเก่งผนวชกับสังคมคนกรุงไม่ได้ถูกสร้างให้เห็นใจใครจริงๆ ผมนึกตำหนิ นกไม้เรื่อยเปื่อยรวมถึงตัวเองด้วยเกียจความคล้อยตามของผู้คนโดยไม่คิด ไม่ถือเป็นธุระขึ้นมาเสียขนัด
สงสารพี่เค้าจับใจเลย
จริงๆ มันเป็นเรื่องธรรมดามากเลยนะ ถือว่าเราฝึกการสื่อสาร การเข้าหาคนซะสิอย่างตอนนี้พี่เป็นหัวหน้าห้องฟัน มันลูกน้องเป็น หมอฟัน ทันตาภิบาลแล้วก็ผู้ช่วยฯ 9 คน หญิงล้วนหมดเลย โหยคุณเอ๊ยมันเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนมากค่ะ ผู้หญิงนี่คือที่สุดแล้ว (เราสามคนฮาครืน)คือไม่ต้องให้เค้ารักกันหมดหรอกนะ มันเป็นไปไม่ได้หรอกแต่อยู่ร่วมกันได้ ไม่แบ่งฝักบ่างฝ่ายกันก็พอ
บ่ายๆก็บอกลาชัชและครอบครัวและนั่งรถพ่อพี่ปูกลับมาที่โรงพยาบาลโดยแวะรับวัชกับกันที่บ้านป้าขิงไปด้วยกลับมากินข้าวที่บ้านพี่ปูก็ค่ำพอดีพวกเราสี่คนกลับมานอนที่ที่พักอย่างเหงาๆ
หายไวๆ นะ ชัชนันท์
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in