เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บางกระทุ่มปุ้มปุ้ยSilapa Junior
ขอเป็นชาวบางกระทุ่มสักครั้งให้ชื่นใจ
  • คนไหนคนไทย จะรู้ได้ไง

    เช้าวันแรกของการมาพักแรมที่โรงพยาบาลผมกะว่าตื่นแต่เช้าเพราะว่าอยากจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะออกซิเจนในอากาศที่นี่เข้มข้นกว่าไม๊ เสือกตื่นได้แบบเป๊ะๆ ไม่มีงัวเงียงอแง ออกวิ่งตรงตามเวลาที่คำนวณไว้ วิ่งไปได้ไกลพอสมควร ก็…ก็เหนื่อย (ก็แน่สิ) เลยพักถ่ายรูปดูวิวสักพักก่อนที่จะเดินกลับ

    ผมคว้าหูฟังขึ้นมาสวม ขณะกำลังจะเลือกเพลงในโทรศัพท์มาฟังตามอัตโนมัติก็ได้ยินเสียงทักขึ้น

    “หนุ่มๆ เดินไปไหนน่ะ” 
    เสียงมาจากลุงป้าที่กำลังเตรียมของขายขนมถ้วยและอาหาร ในซุ้มเล็กๆข้างถนน 
    “กำลังเดินกลับโรงพยาบาลฮะ” 
    ผมหยุดพูดคุยแลกเปลี่ยนกับลุงป้าอยู่สองสามประโยคยิ้มให้ก่อนที่จะเดินออกมา ในใจก็รู้สึกเสียดาย มาออกชุมชนควรจะคุยให้มากกว่านี้ แต่เมื่อกี้เป็นคนแรกก็เลยตั้งตัวไม่ทัน ดีหล่ะคนต่อไปเราจะพยายามต่อความยาวสาวความยืดให้ได้มากที่สุ...

    เอื๊ยดดดดดดด!
    “ไปตลาดเหรอขึ้นมาสิ”
    คิดยังไม่ทันจบประโยคคุณลุงในรถกระบะเก่าๆ ก็ขับมาเทียบพร้อมกับข้อเสนอที่ถ้าได้ยินใน กรุงเทพฯ ก็คงจะคิดว่าหูฝาด 
    “อ๋อ เปล่าครับ ไปโรง'บาล” 
    “มันไกลนะหนุ่ม เดี๋ยวลุงไปส่ง” พูดว่ามันไกลเหมือนลุงป้าเลย เราว่าไม่เห็นไกลนะ
    “ครับ” พร้อมกับรีบโดดขึ้นรถ อ่าว ไหนบอกไม่ไกล

    ด้วยความไกลของระยะทางทำให้เรามีเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองไม่ถึงนาที ผมลงจากรถลุง ขอบคุณลุง ขอถ่ายรูปลุงแล้วเราก็จากกัน ยังแทบไม่ได้ทำความรู้จักอะไรกันเลย แต่ที่สามารถสัมผัสได้เต็มๆ เลยก็คือความมีน้ำใจและเป็นกันเองของชุมชนที่นี่ว่าแล้วก็นึกเสียดายอีก เมื่อกี้น่าจะขอลุงไปตลาดด้วยซะเลย ใจดีแบบนี้ กรุงเทพฯ ยังมีเหลือไม๊นะ


     โรง'บาลของเราน่าอยู่      

    สำหรับงานหลักๆ ที่เรา 5 คนต้องทำในงานออกพื้นที่ครั้งนี้ ก็คือการออกไปคุย คุยคุยคุย กับคนไข้ที่มารักษาที่โรงพยาบาลนี้ เพื่อที่จะนำบทสนนทนาไปสังเคาะห์เป็น ค่านิยม ทัศนคติ ปัญหา และความรู้สึกของคนในชุมชน เอาง่ายๆ ก็คือเรามาเพื่อทำความเข้าใจเค้านั่นแหละ เพราะฉะนั้น กิจวัตรของทีมคือการไปหมกตัวอยู่คลินิกเบาหวาน (พี่ปูจะยุ่งทำฟันมาก) เพราะสัมภาษณ์ได้สะดวก จะมีบางครั้งที่เปลี่ยนสัมภาษณ์คุณแม่และช่วยเคลือบฟลูออไรด์ให้น้องน้อยในคลินิกเด็กอ่อน พอสายๆ ก็จะเริ่มว่าง คนไข้เริ่มบางตา แยกย้ายกันกลับไปทำงานทำการ ตอนบ่ายจะเป็นเคสพิเศษ หรือคนไข้นัด ซึ่งทำให้ไม่มีคนสัมภาษณ์ ช่วงเที่ยงถึงบ่ายจึงเป็นช่วง เดินมากินอาหารตามสั่งฝั่งตรงข้าม นั่งเล่นให้อาหารย่อยที่ศาลาตรงสระบัวหน้าโรง'บาล และไปนั่งสรุปประเด็นก่อนบันทึกลงใน 'ฟีลด์โน๊ต' ที่แถวห้องสมุนไพร แล้วรอรายงานพี่ปูตอนบ่ายแก่ๆ ก่อนจะถึงจุดไคลเมกซ์ของวัน คือพี่ปูพาไปกินข้าวเย็น 

    ห้องสมุนไพรที่นี่ถือเป็นจุดขายของโรงพยาบาลบางกระทุ่ม เพราะตัวโรงพยาบาลเองมีเครื่องที่สามารถผลิตแคปซูบสมุนไพร (รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ) ได้มาตรฐานมาก เรียกว่าสู้อภัยบูเบศรได้ แต่สาเหตุที่พวกเราชอบไปก็เพราะ มันใหม่ มีแอร์ แถมยังไม่ชามสมุนไพรให้กินอีก

    ชีวิตประจำวันของเรา 5 คนที่โรง'บาล ก็เป็นประมาณนี้แหละครับ สโลว์ไลฟ์กว่าเต่านิดนึง


    Guten Nachmittag, Anna

    ผ่านการใช้ชีวิตในบางกระทุ่มไปหลายวัน ยอมรับเลยว่าเบื่อ แต่ก็เข้าใจว่าการทำซ้ำๆ จะช่วยให้เราเริ่มเห็นแพตเทิร์นและเนื้อหาที่ลึกซึ้งขึ้น ช่วงเวลาที่แฮปปี้ที่สุดของวันก็คือการนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระกับพี่ปู ระหว่างนั่งรถไปกินข้าว ทอปปิกวันนี้เกี่ยวกันการเรียนต่อครับ นำทีมการคุยโดยกันกับลุงจั๊ม กันบอกว่าสนใจอยากเรียนต่อด้านทันตกรรมเพื่อความงามของที่คณะ ซึ่งต้องสวย และรวยมาก ทั้งหลักสูตรนี่ก็ปาเข้าไปหลายล้าน ส่วนลุงจั๊มบอกว่ายังไม่แน่ใจว่าจะอยากเรียนสาขาไหน แต่ว่าอยากเรียนต่อเยอรมัน เพราะไปสืบมาว่าดี แถมค่าเทอมสำหรับเด็กต่างชาติก็ราคาเป็นกันเอง ว่าแล้วก็โชว์แอปฯ ฝึกภาษา Duolingo ที่เฮียแกกำลังเห่อเล่นอยู่
    ทันใดนั้นพี่ปูก็ตบเข่าฉาดดังป้าป เปล่าหรอก จริงๆ คือแค่พูดขึ้นว่า พอดีเพื่อนสมัยเด็กพี่ที่เรียนไปเรียนต่อ-ทำงานที่เยอรมันเค้ากลับมาเยี่ยมบ้านพอดี อยากเจอมั้ย เห็นน้องดูเบื่อๆ อยู่ด้วย เดี๋ยวบ่ายพรุ่งนี้พี่นัดให้ เจอกันที่ร้านกาแฟเปิดใหม่ ผมนี่ได้ยินแล้วพนักหน้าหงึกๆ เลย ได้เปลี่ยนบรรยากาศกับเค้าบ้างซักที

    บ่ายวันต่อมา เรา 5 คนนัดเจอกันพี่แอนเพื่อนพี่ปูที่ร้านกาแฟน่าตาดี ที่ตั้งอยู่กลางสิ่งที่น่าตาคล้ายๆไซด์งานโกดังก่อสร้าง พอได้เห็นหน้าก็จำได้ทันที เฮ้ย พี่คือคนที่ผมให้ถ่ายรูปให้ตอนเราไปกินข้าวที่ร้านอาหารนั่นนี่ (ตอนนั้นคิดว่าพี่เค้าเป็นเด็กเสิร์ฟ ที่จริงเค้าเป็นลูกเจ้าของต่างหาก กากจัง) ไม่แปลกใจเลยที่พี่ปูกับพี่แอนจะเป็นเพื่อนกัน เฟรนลี่และคุยง่ายเหมือนกันไม่มีผิด พี่แอนเล่าถึงชีวิตที่พลิกผันของตัวเองให้กับพวกเราฟัง ว่าตอน ม. 6 พี่แอนสมัครไปโครงแลกเปลี่ยนที่เยอรมัน (จำเมืองไม่ได้แล้ว) และไปทำอีท่าไหนไม่รู้ โฮสต์ที่นั่นรักมาก จบไปแล้วก็มาเยี่ยมที่เมืองไทยบ้างล่ะ ส่งตั๋วมาให้ไปเยี่ยมมั่งล่ะ เลยเถิดไปจนถึงชวนให้ต่อมหาลัยที่โน่น พี่แอนก็บ้าจี้สมัครไปจริงๆ แล้วก็ได้เฉย! เลยต่อมหาลัยที่โน่น จนปัจจุบัน ทำงานเทือกๆ logistic อยู่ที่โน่นเลย โหย ถ้าชีวิตจะคาดเดาไม่ได้ขนาดนี้

    ผมลองถามดูเล่นๆ ว่าชอบที่ไหนมากกว่ากัน พี่แอนตอบทันทีเลยว่า เลือกไม่ได้หรอก ถึงมันจะแตกต่างกันมาก แต่ก็มีข้อดีข้อเสียของมันอยู่ อย่างคนไทยนี่ ยิ่งต่างจังหวัดด้วยนะ คือใช้ชีวิตชิวมาก ไม่ต้องคิดอะไร หวานเย็น อลุ่มอล่วยให้กัน ทำให้ไม่ค่อยมีระเบียบ แต่ที่โน่นจะตรงกันข้ามเลย ยูต้องรับผิดชอบตัวเอง สมมติแกะที่ซีลขวดน้ำก็ต้องยัดใส่ถุงขยะที่เตรียมมา วางทิ่้งไว้บนโต๊ะอาหารถือว่าเสียมรายาท ต้องตรงเวลามากๆ ต้องพิสูจน์ตัวเองด้วย ไม่งั้นก็จะโดนดูถูกดูแคลน แต่ที่โน่นคือ แฟร์ รักษาคำพูด กฎเป็นกฎ เชื่อถือได้ อะไรประมาณนี้

    พี่แอนเล่าว่าก็มีคิดถึงไทยด้วย แต่สมัยนี้เราโทรหากัน เฟสไทม์หากันได้ จะคิดถึงจริิงๆ ก็คงเป็นอาหารไทยมากกว่า (ฮา) ทุกครั้งที่กลับไปนี่จะแบกน้ำพริกเครื่องปรุงไปเยอะมาก แต่ก็หมดก่อนตลอด นี่ถ้าน้องมาเที่ยวเยอรมันบอกพี่นะ พี่จะพาเที่ยว แต่แลกกับการแบกน้ำพริกมาให้ พี่แอนขำเอิ๊กๆ โชว์ฟันเขี้ยวซ้อนแบบป๋าเบิร์ด ให้พวกเราดู

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in