date 4 March ,2018
time -
(จำเวลาไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะเขียนไดอารี่ตอนกลางคืนเสมอ)
จริงๆแล้ว ทุกๆวันก็คือครั้งแรกของชีิวิต
เราไม่เคยได้สัมผัส วันนี้ มาก่อน
นี่เป็นวันที่ สี่ มีนา สองพันสิบแปด ครั้งแรกของเรา
และเรากำลังผจญภัยไปในวันเวลา!!
ทุกๆเช้าที่ตื่นขึ้นมา
ก็คือการผจญภัยไปในวันใหม่
-
เราเปิดสมุดบันทึกขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากมันถูกเก็บลงในกล่องอยู่หลายเดือนหลังเรียนจบมหาวิทยาลัย
มันถูกเปิดขึ้่นอีกครั้ง
พร้อมกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ในวัยทำงาน
เราออกจากบ้านมาอีกครั้งและอีกครั้งและอีกครั้ง
...แทบไม่อยู่บ้านเลยตั้งแต่อายุ 16
หรือ 15 ไม่ค่อยแน่ใจ
เอาล่ะ แต่นั่นไม่สำคัญเท่าไหร่
การคิดว่าตัวเราออกมาเพื่ออะไร น่าจะสำคัญกว่า
เราจัดแจงรื้อของออกจากกล่องเข้าที่ หลังจากปล่อยให้มันนอนแน่นิ่งอยู่ในนั้นมาเป็นเดือนๆ
การเริ่มทำงานประจำ
มันทั้งเหนื่อยและเหนื่อยมากๆ
และโดดเดี่ยวมากๆด้วย
เราพาตัวเองมาอยู่ในที่ๆไม่คุ้นเคย(คนเดียว) อีกครั้ง
ความไม่คุ้นเคย เป็นเชื้อเพลิงที่ดีของความผิดพลาด
มันมักจะทำให้คนเราผิดพลาดอยู่บ่อยๆ
แต่มันก็เป็นครูที่ดีของเราเช่นกัน
มันมักจะพาเราไปสู่จุดที่ เติบโต มากขึ้น
หากว่าเรายินยอม
เราเป็นเด็กต่างจังหวัดที่คุ้นเคยกับพนักงานเก็บเงินรถโดยสารประจำทางที่ใจดีและเป็นมิตร
แต่ในกรุงเทพฯ...
(ส่วนใหญ่)
ไม่ได้เป็นแบบนั้น...
ฮื่ออออ//น้ำตาไหลพราก
เมื่อฉันโดนเธอเหวี่ยงใส่
เอาล่ะแต่ก่อนจะขึ้นรถเมล์ไปเจอกับพนักงานเก็บเงินที่มีอารมณ์เข้มข้นราวกับเจ้าพ่อเจ้าแม่เพลง DIVA
เราจำเป็นต้องขึ้นรถเมล์ให้ถูกสายซะก่อน!!!!
หลายครั้งที่เราขึ้นรถเมล์ผิดสาย
และต้องลงเดินย้อนกลับเพื่อไปป้ายรถเมล์ที่ต้องไป
หรือบางครั้งก็ลงเดิน แล้วไม่ง้อรถโดยสารใดๆทั้งสิ้น
เพราะนอกจากขึ้นรถเมล์ผิดสายแล้ว
เมื่อชีวิตคิดจะโบกแท๊กซี่ แท๊กซี่ก็ยังไม่จอดรับ //เห้อ
น่าเสียดายที่หารูปถ่ายดอกตะแบกที่หล่นเต็มพื้น ตอนเดินอยู่บนฟุตปาธไม่เจอ
จำได้แค่วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ตอนประมาณสิบโมงเช้า
แสงแดด เงาของต้นไม้ ที่ตกกระทบลงบนพื้นที่มีดอกตะแบกสีม่วงร่วงหล่นอยู่เต็มไปหมด
ตอนนั้นรู้สึก... ไม่เสียใจเลย ที่ขึ้นรถเมล์ผิดสายหรือแท๊กซี่ไม่จอดรับ และต้องลงเดินย้อนไปไกลมาก
เคยมีคนบอกว่า ถนนในกรุงเทพฯน่ากลัว
แต่ไม่เห็นมีใครเคยบอกว่า ถนนในกรุงเทพฯ ก็มีมุมน่ารักๆให้ดู
(ถ้าหารูปเจอจะเอามาฝากนะ)
-
กับอีกครั้งที่นั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน...ผิดฝั่ง!!!!!!!
ด้วยความเบลอ และสายตาที่เริ่มมองไม่ชัด (แต่ไม่อยากใส่แว่น)
เราเดินไปยืนรอรถไฟอย่างมั่นใจ คิดว่าตัวเองเดินมาถูกฝั่ง
เราเงยหน้าขึ้นไปมองป้ายสถานีรถไฟ
และพบว่า - อาาาาา นี่เรามาผิดฝั่งจริงๆ แต่การเดินย้อนกลับไปในจังหวะนั้นก็รู้สึกเขินไม่ใช่เล่น
แล้วรถไฟก็มาพอดี
เอาวะ ขึ้นก็ขึ้น...
ด้วยความหน้าบางของเรา พาเราขึ้นรถไฟฟ้าไปในทิศทางตรงกันข้ามกับทางที่เราควรจะไป
แต่เราก็เนียน และเนียน
นั่งไปค่ะ
นั่งไปจนสุดสาย
ค่อยไปเนียนๆลงแล้วเดินขึ้นมาใหม่ตอนสุดสาย
(จริงๆแล้วก็ควรยอมรับความจริงแล้วเดินหันกลับไปฝั่งที่ถูกมั้ย...ดันยอมเสียเวลา แต่ไม่ยอมเสียหน้าซะอย่างนั้นเลย - เออ อยากตีตัวเอง)
สิ่งที่เราได้จากการขึ้นรถไฟฟ้าผิดฝั่ง ไม่ใช่การนั่งรถไฟเล่น
แต่เราได้เห็นโมเมนต์ของการเปลี่ยนระดับของรถไฟจากใต้ดิน ----- ไปสู่การวิ่งบนสะพานลอยฟ้า
ของสถานีเตาปูน
เราไม่เคยคิดจะไปเตาปูนมาก่อน ก็ไม่มีเหตุให้ไป ก็ไม่ได้ไป
วันนั้นเลยเป็นเหตุ (บังเอิญ) ให้ได้ไปเป็นครั้งแรก
และมันว้าวมาก
ไม่รู้ว่าเป็นคนตื่นเต้นง่ายไปหรือเปล่า
แต่ตื่นเต้นจริงๆ
จังหวะที่เราก้มหน้าอ่านหนังสือด้วยแสงไฟจากรถไฟฟ้าที่เป็นแสงสีส้ม
จู่ๆ ก็ค่อยๆมีแสงสว่างที่เป็นสีขาวเข้ามา มีแดดส่อง
เราเงยหน้าขึ้น -
ภาพตรงหน้า มันเหมือนเราเป็นตัวละครสักตัว ของหนังที่ีเคยดู
บ้านเมืองมันแปลกตา
ทุกอย่างมันดูแปลกใหม่ไปหมด
หัวใจเราเต้นรัวจริงๆ เหมือนตัวเองกำลังไปเที่ยวที่ไกลๆ
แต่เปล่าเลย ฉันยัังอยู่กรุงเทพฯจ้าาาาา
และอีกหนึ่งกิจกรรมคือ เราได้นั่งอ่านหนังสือที่พกไปด้วย นานขึ้น
ถ้าหากว่า เราถึงห้องเร็ว ก็คงกลับมานั่งปั่นงานหรือดูซีรี่ย์
หรือทำอะไรสักอย่าง ที่ไม่ใช่การอ่านหนังสือแน่ๆ
-
เราไม่ได้เดินทางออกไปไกล ถึงต่างแดน
เราไม่ได้ข้ามไปอีกซีกหนึ่งของโลก
เราไม่ได้ไปในที่ใครๆก็อยากไป
เราแค่ใช้ชีวิต
ด้วยการออกไปใช้ชีวิต
ด้วยการเดินและบางครั้งก็หลงทางด้วยซ้ำ
แม้มันจะเป็นที่เดิมๆ หรือไม่ได้ไกลออกไป แต่ แค่เพียงวันและเวลาที่เปลี่ยนไป ก็ทำให้การเรียนรู้มันเกิดขึ้นแล้ว
บางครั้งความงามของชีวิตมันก็อยู่ห่างออกไปแค่ปากซอยหน้าบ้าน
แค่เราได้เปิดประตูบ้าน ออกเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นการเดินการขับรถ การนั่งรถเมล์ การนั่งรถไฟฟ้า ออกไปสัมผัสช่วงเวลาดีๆที่ซ่อนตัวอยู่ในความธรรมดาของชีวิต
เราจะพบว่าชีวิตมันดีมากเลย
เราจะไม่เหนื่อย เบา สบาย
และได้วางอะไรทั้งหลายที่หนัก
ไม่ต้องนั่งรถ นั่งเครื่องบินเพื่อไปให้ไกล สุดขอบฟ้า
แล้วบอกว่านั่นคือการท่องเที่ยว
บางทีขอบฟ้า อาจจะอยู่ใกล้แค่เราพลิกความคิดเท่านั้นเอง
การท่องเที่ยว ออกไปเจอโลกอาจจะไม่ได้หมายถึงการแบกกระเป๋าเป้ใบเขื่อง กับผูกเชือกรองเท้าผ้าใบให้แน่นแล้วออกไปให้ไกลบ้านที่สุด ...มันอาจจะไม่ใช่แบบนั้น อีกต่อไปแล้วก็ได้
เพราะถ้าหากเรามีงานที่ต้องทำ
มีคนที่ต้องดูแล
มีเวลาอย่างจำกัด
การทำงานอย่างหนักเพื่อเก็บเงินไปเที่ยว
แล้วก็กลับมาทำงานอย่างหนักเหมือนคนที่ถูกทรมานด้วยวังวนที่ไม่มีวันจบ
ชีวิตคงเป็นเรื่องทรมานน่าดู
เพราะฉะนั้นเราจึงอยากพาทุกคนที่บังเอิญหลงเข้ามาในโลกของเราแล้วตอนนี้
เริ่มต้นมีความสุขกับชีวิตในทุกๆปัจจุบันขณะ
องค์ประกอบของมันก็คือ
- สิ่งที่เราต้องทำ (หน้าที่)
- ใจที่พร้อมจะยอมรับทุกอย่างที่จะเข้ามาทั้งที่ พอจะคิดออก กับสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้เลย
มาเริ่มเดินทางอย่างมีความสุขไปกับวันที่แสนธรรมดาด้วยกันเถอะนะ
...
แต่ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากออกไปสัมผัสรสชาติของชีวิต ที่ทุกมุมของโลกใบนี้เลยนะ!!!
-
ที่ผ่านมาเราได้เรียนรู้ว่า
ถ้าเราไม่ผิดพลาดอะไรเลย
เราจะไม่มีทางได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้เลยจริงๆ
บางครั้งเราก็ค้นหา เฉพาะสิ่งที่เราอยากรู้หรือจำเป็นต้องรู้
แต่เราไม่เคยรู้เลยว่า
สิ่งที่เราบังเอิญได้รู้
มันสร้างความตื่นเต้นให้เราได้มากแค่ไหน
-
และไดอารี่ ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีของเราเสมอไม่ว่าเราจะรู้สึกดีหรือแย่
มันยังคงทำหน้าที่และไม่เคยโต้เถียงกลับเลย
(ก็ใช่น่ะสิ มันเป็นกระดาษ...)
อย่างน้อยๆ
มันก็ช่วยเล่าเรื่องวันนั้นที่เรารู้สึกดีและตื่นเต้นกับการหลงทางมากแค่ไหน
ให้กับตัวเราเองในวันนี้ได้ฟัง
และตื่นเต้นไปกับมันอีกครั้ง
-
ปล.เพราะนึกถึง จึงบันทึกมา
ขอบคุณที่เดินทางผ่านเข้ามา มีส่วนร่วมในเวลาของเรา
แล้วพบกันอีกนะ
-
จากฉัน
wed.
12:24
05/16/2018
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in