เอ๊ะ แต่แล้วพอเมนส์มาเป็นยังไง ? ถ้าเรื่องมันเศร้ามันต้องเศร้าต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนกว่าเรื่องนั้นจะคลี่คลายจากใจไปใช่ไหมคะ ,,
แต่สำหรับเรา ไม่ใช่เลยค่ะ พอเลือดออกปุ๊บ อารมณ์ดีปั๊บ เอาเป็นว่าต่อให้โศกแค่ไหน โลกก็สว่างขึ้นไปแล้วแปดสิบห้าเปอร์เซนต์ เปลี่ยนเป็นหน้ามือหลังมือเลย
บ้าบอมาก ใช่ไหมล่ะ .
มันบ้ามากเสียจนทำให้เราคิดว่า
"เมื่อวานเป็นอะไรวะ ? ผีเข้าเหรอ ? ร้องไห้อะไรเยอะแยะวะ ? ไม่เห็นมีอะไรเลยยยย เป็นบ้าอะไร ? "
เราอธิบาย การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์หลังจากเมนส์มาให้จิตแพทย์ฟัง ด้วยการนิยามสั้นๆ ว่า
"เลือดไล่ผี" ..... (โค่ดคูล คิดได้ไง)
ลองคิดดูสิคะ ว่าชีวิตมันวนลูปแบบนี้ทุกเดือนๆ เป็นปีๆ จากที่งี่เง่าแล้วก็หาย ทะเลาะกับแฟนแล้วก็หาย กลายเป็นต้องมานั่งจ่อมจมกับตัวเอง กังวลล่วงหน้าว่าความรู้สึกบ้าบอแบบนี้จะกลับมาอีก (ซึ่งกลับมาอีกจริงๆ )
เหนื่อยมากเลย แต่ละเดือน
ทุกเดือน .... ที่ต้องมีช่วงชีวิตพังๆ เสียทั้งงาน ทั้งการ ทั้งความรู้สึกของตัวเองและคนรอบข้าง
แต่จะให้อธิบายว่าเป็นอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้จะอธิบายอะไร
มันหนักหนาขึ้นมากเรื่อยๆ มากขึ้นจนเราทนตัวเองไม่ได้
ชีวิตเราดีมากเลย ทุกอย่างโอเค แต่เพราะอารมณ์เราเหวี่ยง มันพังหมด ทำไมเราทำตัวมีปัญหาแบบนี้
"ทำไมเป็นคนมีปัญหาแบบนี้"
"ทำไมทำตัวมีปัญหาแบบนี้"
"ทำไมต้องทำให้คนอื่นไม่สบายใจ"
"ทำไมต้องเจอเรื่องอะไรแบบนี้"
"ทำไมไม่มีใครเข้าใจ"
"ทำไมต้องเป็นภาระคนอื่น"
"ทำไมต้องเป็นแบบนี้"
ทุกคำถาม วนซ้ำในหัวเราบ่อยขึ้น แม้ว่าจะเลยช่วงอาการ PMDD ไปแล้ว แต่เรากลับยังติดอยู่กับความรู้สึกผิด ความรู้สึกเกลียดตัวเอง ไม่ชอบตัวเอง กังวลต่อไปเรื่อยๆ
"มันเลยเถิดไปมาก ๆ" เราใช้วลีนี้กับคุณหมอ ในวันแรกที่ไปพบจิตแพทย์
, ทุกอย่างมันเกินไปมากๆ มันควบคุมไม่ได้มากๆ มันเกินจะทนมากๆ
จนถึงวันที่เราเครียดไปเสียทุกเรื่อง
และเริ่มมีความคิดอยากตาย มีเสียงในหัวบอกให้กระโดดลงไปเลยในวันที่เดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำ
เรากลัวตัวเอง ..
เรากลัวคนที่เรารักทนเราไม่ได้
เราต้องไปทำให้หายแล้ว ทำยังไงก็ได้
เราอยากหาย เรายังไม่อยากตายแต่เราจะตายแล้ว เราทนไม่ไหวจริงๆ .
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in