ผมกับเวฟนั่งเคียงกันอยู่บนสันโขนหิน หย่อนขาเล่นกับน้ำ ปลายเท้าสัมผัสกับความเย็นที่ไหล่เป็นสายจากลำธาร พวกเราคุยกันนิดหน่อย เป็นบทสนทนาที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ..อย่างน้อยก็สำหรับผม เราคุยกันเรื่องทั่วไป เป็นเรื่องไร้สาระและไม่มีอะไรพิเศษหรือสำคัญ อย่างเรื่องที่ผมเคยวิ่งหนีครูเพราะไม่ฝากโทรศัพท์ตอนเปิดเทอม หรือเรื่องอาหารกลางวันที่กินในห้องอาหารของที่นี่ ผมบอกว่าเวฟว่าอาหารพวกนั้นอร่อยกว่าอาหารที่โรงอาหารของโรงเรียนซะอีก เวฟสำรอกขำเล็กๆออกมาแล้วพูดว่า “มันแน่อยู่แล้วปะวะ”
นั่นเป็นครั้งแรกที่เห็นรอยยิ้มของเวฟชัดเจนขนาดนี้ แม้ท้องฟ้าจะเริ่มมืดลงแต่รอยยิ้มนั่นกระจ่างเสียจนสามารถทำให้ใจสั่นได้เลย
เวฟเล่าเรื่องที่โรงเรียนเก่าให้ผมฟัง ทั้งเรื่องพ่อกับแม่ของเวฟที่เสียไปจนถึงเรื่องที่ได้เกรดศูนย์วิชาคณิตศาสตร์ ผมบอกไปว่า “ครูคนนั้นแม่งต้องบ้าแน่ๆ ถ้าคนอย่างมึงได้ศูนย์ กุคงซ้ำชั้น” แล้วเวฟก็หัวเราะอีกครั้ง
ผมรู้สึกเหมือนใบหน้าร้อนผ่าว แล้วหัวใจก็สั่นสะเทือนรุนแรงเหมือนเกิดแผ่นดินไหว
เวลาผ่านไปเนินนานจนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า ผมมองดูโทรศัพท์ปรากฏว่าเป็นเวลาห้าโมงกว่าๆแล้ว โอมกับน้ำตาลคงเป็นห่วงแย่เพราะที่นี่ไกลจากสัญญาณ พวกนั้นคงติดต่อผมไม่ได้
“กลับกันเหอะมึง นี่เย็นแล้ว คนอื่นคงเป็นห่วง”
“เป็นห่วงมึงแค่คนเดียวอะดิ ใครมันจะห่วงกุ”
“กุก็ห่วงมึงนะเว้ย”
เวฟเงียบไปสักพักเหมือนอับจนคำพูด ก่อนจะก้มลงมองต่ำ ปลายเท้าแตะน้ำเล่นส่งเสียงป๊องแป๊ง พร้อมใบหน้าที่แต่งแต้มสีแดงเล็กน้อย
“ทำไม น้อยใจออ?”
“…กับผีสิ”
ผมหัวเราะเบาๆ เวฟดูไม่พอใจกับท่าทางแบบนั้นเลยได้แต่พูดว่า “หัวเราะไรว่ะ” แต่ก็ไม่พูดอย่างอื่นต่อ
พวกเราพากันเดินกลับไปทางเดิม ทิ้งลำธารและเหล่าโขดหินไว้ข้างหลัง พร้อมกับท้องฟ้าที่เปลี่ยนเป็นสีวานิลา
แต่ผมไม่บอกเขาหรอก...
02.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in