“เวฟ...?”
ผมส่งเสียงเรียก แต่อีกฝ่ายไม่หันกลับมา
ผมไม่รู้ว่าเวฟคิดอะไรอยู่กันแน่ มันยากที่เดาใจคนที่ปิดกลั้นตัวเองจากคนรอบข้างอย่างเวฟ ผมไม่แน่ใจว่าเราอยู่ที่ไหนแล้ว แต่ตอนนี้รอบข้างมีแต่พื้นป่าที่เต็มไปด้วยต้นมะพร้าวสูงใหญ่บดบังแสงแดด มองเห็นทะเลสวยอยู่ร่ำไร
แล้วอยู่ๆเวฟก็หยุดอย่างไม่ทราบสาเหตุ ตรงหน้าเราคือธารน้ำที่เต็มไปด้วยกลุ่มโขนหินขนาดใหญ่ ได้ยินเสียงน้ำใสไหล่ผ่านลำธารเล็กๆ เวฟยังคงหันหลังให้ผม อีกฝ่ายบีบข้อมือผมแน่น ผมรู้สึกว่ามือข้างนั้นสั่นไหวเล็กน้อย
“...กุ” เวฟกระซิบเสียงแผ่วจนลำธารแทบจะกลบเสียงนั้นให้หายไป
“เวฟ...มึงเป็นไร? มีอะไรรึเปล่า?”
“…”
“มีอะไรก็มึงก็พูดกับกุได้นะ..”
“อา...แม่ง ให้เวลาแบบนี้”
“?”
เวฟหันหน้ามาหาผม ส่งสายตาจับจ้องจนเห็นตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย และผมพึ่งสังเกตเห็นว่าเวฟไม่ได้ใส่แว่น
“เชี่ยแม่ง...โอ้ยยยยยยย” เวฟสบถพร้อมกับหัวมือทั้งสองข้างเกาหัวจนยุ่งเหยิงเหมือนคนคิดไม่ตก ผมเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจเพราะไม่เคยเห็นปฏิกิริยาท่าทางแบบนี้ของเวฟมาก่อน
ไม่เคยเห็นเวฟที่ทำสีหน้ายุ่งเหยิงเหมือนทรงผมตอนนี้ที่กระเซอะกระเซิง หรือเวฟที่กรอกสายตาลังเลเหมือนว้าวุ่นใจ หรือเวฟที่เม้มปากแล้วส่งเสียงจี่จ๊ะ หรือเวฟที่ช้อนตามองผม แต่พอผมสบตาก็เหลือบหนี
“โอ้ยแม่ง...กุ...ขอโทษ”
“…”
ผมยืนนิ่ง ว่ายังไงดี แบบ...
พอผมไม่ตอบกลับ เวฟก็ทำท่าหงุดหงิด ถอนหายใจก่อนจะตะโกนใส่หน้าผม
“กุบอกขอโทษไม่ได้ยินออ?! ขานรับดิว่ะ!”
“ครับ!”
ผมรีบตอบกลับอย่างร้อนรน คือจะว่าไงดี เรื่องแบบนี้มันเกินกว่าที่คิดไว้จนผมตั้งตัวไม่ทัน วสุธรคนนั้นบอกขอโทษผม?
“แค่จะขอโทษ ทำไมต้องพามาตั้งไกลด้วยว่ะ”
“...อยู่ตรงนั้นคนอื่นก็ได้ยินหมดดิว่ะ”
“นี่มึงเขินออ?”
"ตลกแหละมึง”
เวฟเบือนหน้าหนีผมไปมองลำธาร ผมคิดไปเองรึเปล่าว่าใบหูของอีกฝ่ายเหมือนแดงระเรือขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
แสงอาทิตย์แอบสาดลอดผ่านใบไม้เกิดเป็นจุดแสงสะท้อนที่วิบวับสั่นไหววูบวาบไปตามร่างเล็กๆของเวฟ
“ก็กุขอโทษมึงคนเดียว... ก็ต้องมีแค่มึงที่ได้ยินดิ”
จบประโยคนั้น ผมก็เผลอยิ้มออกมาจนได้
ฉากที่เวฟขอโทษคือเราได้ตายไปแล้วค่ะ โอ๊ยย ต้องสำคัญในใจขนาดไหนอ่ะถึงยอมขอโทษ แงงง้ ใจเราาา บางหมดแล้ว ;_______;
เป็นกำลังใจให้ไรท์นะคะ รอติดตามตอนต่อๆไปค่ะ