วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการมาค่าย อากาศค่อนข้างเย็นสบาย แต่เหมือนท้องฟ้าส่งสัญญาณว่าจะมีเมฆฝนอยู่ไม่ไกล ผมหลบอยู่ในเต็นท์เพื่อให้นมลูกแมว ตอนนี้ผมยังไม่ได้ตั้งชื่อเลยได้แค่เรียกมันว่า”เจ้าเหมียว” ไม่ก็ “ไอ้หนู” ไม่ก็ “ตัวเล็ก”
ผมรู้สึกเลื่อนลอยและไม่อยากกลับเลย
หลายวันที่ผ่านมายาวนานเหลือเกิน ทั้งเรื่องที่ได้คุยกับแปง ทะเลาะกันหรือแม้แต่ตอนที่เจอกับเจ้าตัวเล็ก ยาวนานเสียจนเหมือนความฝัน ผมนั่งคิดว่าถ้ากลับไปถึงโรงเรียน เราจะยังเหมือนเดิมไหม ...หมายถึงคุยกันดีๆกันเหมือนหลายวันที่ผ่านมา
ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้กล้าเปิดใจให้อีกฝ่ายขนาดนั้น มันเป็นสิ่งที่เหมือนสัญชาตญาณมากกว่าเหตุผล อาจเป็นเพราะผมมันขาดสติก็ได้
หรือไม่ผมก็แค่กลัวการอยู่คนเดียว
แต่ที่ผ่านมาก็อยู่คนเดียวได้ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมตอนนี้ผมถึง...รู้สึกโหยหามากขนาดนี้กันนะ
“เหมียว”
“หือ?”
เจ้าแมวน้อยเดินเข้ามาคลอเคลียเหมือนอยากให้ผมเล่นด้วย ผมลูบหัวมัน เด็กน้อยหลับตาพริ้ม
“เวฟ?”
พอได้ยินเสียงแปงเรียกจากด้านนอก ผมจึงเปิดเต็นท์ออกไป อีกฝ่ายมาพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนทุกที
“..ไง” แปงทัก
“มีไร?”
“เปล่า แค่อยากคุยด้วย...ได้ปะ?”
ผมนิ่งไปสักพักหนึ่ง จะให้พูดได้ยังไงว่าผมก็อยากคุยกับเขา พอคิดว่าถ้ากลับไปโรงเรียนแล้วอาจจะไม่มีโอกาสได้คุยกันอีก หัวใจก็รู้สึกโหวงเหวงอย่างประหลาด
“กุเข้าไปได้ไหม?”
ผมไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่กันแน่
“…ก็เข้ามาดิ”
01.
บรรยากาศในเต็นท์ค่อนข้างอึดอัด ทั้งผมทั้งแปงเราต่างไม่พูดอะไรกันเลย ผมรู้สึกแปลกใจเพราะปกติมักจะเป็นแปงที่คอยชวนคุยเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ตอนนี้เหมือนพวกเราต่างก็อับจนคำพูดทั้งคู่ ผมรู้สึกเกร็งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หัวใจสูบฉีดเต้นแรงอย่างไร้เหตุผลจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน
“เออ...แมวเป็นไงบ้าง” แปงเริ่มเป็นฝ่ายพูดก่อนทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น
“..ก็ดี”
เชี่ย ตอบสั้นไปปะว่ะ?
เพราะคำตอบแบบห้วนๆของผม ทำให้บทสนทนาไม่เดินไปข้างหน้า ผมรู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างหรือพูดอะไรก็ได้เพื่อขับเคลื่อนบทสนทนาระหว่างเราสองคน
“แล้วมึงทำไมมาอยู่นี่ว่ะ ไม่หยุดกับพวกนั้นออ?”
“หมายถึงโอมกับน้ำตาลอะนะ”
“อืม”
“พวกนั้นก็...ไปเดินเล่นตามภาษาแหละ”
“อ้อ...”
อา...อยากตอบมากกว่าแค่อืมกับอ้อจัง แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ผมว้าวุ่นใจและไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับความรู้สึกนี้ยังไง ผมได้แต่เหลือบตาไปมองเจ้าแมวที่นอนเกลือกกลิ้งถูไถไปตามพื้นผ้าถูที่นอนของผมเหมือนแก้เก้อ แล้วไม่รู้ทำไมผมต้องแก้เก้อด้วย
“วันนี้มึงแปลกๆนะ พูดน้อยดี” ผมบอก
“แล้ว...มันดีหรือไม่ดีอะ”
“ก็ดี...”
“มึงรำคาญออ? เวลากุพูดเยอะๆอะ”
แปงถามในเรื่องที่ผมไม่รู้จะต้องยังไงดี
ทำไมแค่พูดว่าไม่รำคาญมันถึงยากขนาดนี้ ทำไมแค่บอกความรู้สึกในใจถึงได้ยากเย็นหนัก
แค่บอกว่าชอบเสียงของแปง
ชอบเวลาที่แปงพูด
ชอบ...
“ชอบ...”
“?”
“ชอบ...ให้มึงอยู่เงียบๆนั่นแหละดีแล้ว”
พูดอะไรออกไปเนี่ย
“อืม...” แปงตอบเสียงอ่อน
ใจไม่ดีเลย
แปงทำหน้าง่อยเหมือนสุนัขที่ถูกเจ้าของทิ้ง มันทำให้ผมไปไม่ถูก ผมคิดถึงตอนที่มันร้องไห้วันนั้น แปลกที่ในส่วนลึกของใจหวาดกลัวกับการเห็นอีกฝ่ายเจ็บป่วย
ทั้งที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนแท้ๆ ทั้งที่คนอื่นจะเป็นยังไงก็ช่างมันแท้ๆ
“แต่..กุก็..ไม่ได้เกลียดนะ”
แปงเงยหน้าขึ้นจ้องมองผม ดวงตาเป็นประกาย เราสบตาอยู่นาน แต่ผมก็เป็นฝ่ายหลบตาก่อนอีกแล้ว
ผมกลัว...
ถ้าขืนจ้องมองกว่านี้ เขามองออกแน่ๆ...
02.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in