ก่อนจะลาออกจากงาน ในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม ที่โควิคกำลังระบายก็มีเรื่องโชคดีสำหรับคนที่ถือวีซ่าแบบเรา รัฐบาลนิวซีแลนดด์ได้ขยายวีซ่าออกไปอีกถึงเดือนมิถุนายน ปี2021 คือตอนแรกวีซ่าเราหมดสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2020 หมายถึงใครจะกลับประเทศตัวเองก็ได้แต่ถ้าอยู่ต่อก็จะยินดีมาก และเป็นอะไรที่เข้าใจได้ เพราะตอนนี้นิวซีแลนด์ปิดประเทศทำให้ไม่สามารถรับแรงงานเพิ่มจากนอกประเทศได้ และประเทศนิวซีแลนด์ขาดแรงงานมากๆ ในแต่ละปีมีคนถือวีซ่า work and holiday เข้ามาทำงานในประเทศมากกว่าแสนคนต่อปี เพราะประชากรของประเทศอยู่ที่ประมาณ"ห้าล้านคน "......ใช่จ้าาา ไม่พูดให้มันดูน้อย จริงๆแล้ว สี่ล้านเก้าแสนคนด้วยซ้ำ เราตีกลมให้มันดูเยอะขึ้นมาหน่อย ถ้าคิดว่าเราโม้แน่ๆ ถามความจริงจากพี่กูลเกิลได้เลยยย ซึ่งก็ยังน้อยกว่าประชากรที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพอีก
หลังจากลาออกจากงานก็ได้วางแผนว่า จะไปเที่ยวเกาะใต้แบบเดือนนึงเต็มๆไปเลย ค่อยกลับมาหางานทำใหม่ ละครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวในต่างแดน เอาจริงตอนสมัยเรียนมหาลัยก็เรียนเกี่ยวกับการท่องเที่ยวมีวิชาที่ต้อง ออกทริปจริงๆ ทุกคนในสาขาวิชาจะแบ่งหน้าที่กันออกไป ต้องคิดแผนการเดินทาง จองโรงแรมที่พัก วางแผนเส้นทางต่างๆ เรื่องอาหารในแต่ละวัน และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เอาจริงเป็นอะไรที่ดีที่ทำให้เราได้วางแผนเหมือนทำตัวเป็นไกด์และบริษัททัวร์จริงๆ แต่นี่พยายามนึกย้อนยังไงก็นึกไม่ออกว่าตัวเองและเพื่อนๆในกลุ่มทำหน้าที่อะไร แต่สิ่งที่อยู่ในความทรงจำคือ เราและเพื่อนๆทำหน้าที่เหมือนเป็นลูกทัวร์ ...... คือว่างเปล่ามากกก จำได้แต่ว่าร้องเพลงคาราโอเกะกันสนุกสนาน เค้าให้ทำไรก็ทำตามหมด รถจอดที่ไหนก็ลงไปเที่ยวตรงนั้น ง่ายๆเลยคือไม่เคยผ่านประสบการณ์การวางแผนการเดินทางแบบจริงจังมาก่อนเลยทั้งๆที่ตัวเองเรียนตรงมาทางด้านนี้ อิอิ อิอิแก้เขินซะหน่อย และพอได้ทำด้วยตัวเอง เห้ยยย มันไม่ง่ายเลยนะไม่ง่ายเลยจริงๆ มัน หลายสิ่งหลายอย่างมากที่ต้องวางแผน เราเลยไม่กดดันตัวเองแล้วกัน เปล่าหรอกจริงๆแล้วคือ ไม่รู้จะวางแผนยังไงให้มันครบเดือนนึง แต่ก็ศึกษาเมืองต่างๆคร่าวๆว่า เมืองไหนมีอะไรน่าสนใจบ้าง คำนวณค่าใช้จ่ายประมาณนึง เราตั้งเป้าไว้ว่าให้งบมากสุดไม่เกินสามพันนิวซีแลนด์ดอลล่า
เลยจองแค่ ตั๋วเครื่องบินขาไป (ที่ยังไม่จองขากลับเพราะกลัวจองไปแล้วเปลี่ยนใจอยากอยู่ต่อหรืออยากกลับแล้วจะได้ไม่ต้องเสียตังค่าเลื่อนตั๋ว) จองโฮสเทล จองรถตู้มารับในตอนเช้าให้ไปส่งที่สนามบิน เราจองแค่นั้นเลยจริงๆ ตอนนั้นคิดง่ายๆเเค่ว่าอย่างน้อยไปถึงคืนแรกคือกุมีที่นอนละ เอายังไงค่อยไปว่ากันต่อที่นั่น ขอย้อนกลับไปตอนจองรถตู้ไปสนามบิน คือตอนแรกคิดว่าจะนั่งUberไป แต่ด้วยความที่จองไฟท์เช้ามากเลยกลัวว่าจะไม่มีUber เลยเปลี่ยนใจกระทันหันว่าจะจองรถตู้ คือปกติมันมีรถสาธารณะรถเมล์วิ่งสายตรงไปสนามบิน แต่ว่าโควิคมาประเทศปิดรถเมล์นั่นเลยหยุดให้บริการ เราเลยต้องจองรถตู้ของบริษัทเอกชน จองตอนหัวค่ำของคืนก่อนวันเดินทางจองผ่านเวปไซค์ไปตัดบัตรเรียบร้อย แต่ไม่มีอิเมลล์อะไรส่งตอบมายืนยันการจองเลย ตอนนั้นเราเริ่มกังวลละว่ามันจะเด้งเข้าระบบเค้าไหมหว่ะ แบบมึงไม่ได้จองเวลาราชการ และคือกุเดินทางพรุ่งนี้แล้ววว เช้าตรู่ด้วย เจ็ดโมงครึ่งกุต้องถึงสนามบินแล้วว คือเริ่มนอยด์ตอนนั้นก็บอกเพื่อนที่อยู่บ้านเดียวกัน นางก็บอกตัดเงินแล้วก็คือรับรู้แล้ว อิเมลล์มันอาจจะerror ไม่ต้องกังวล ตอนนั้นคือไม่โทษตัวเองด้วยนะที่ทำไมไม่จองแต่เนิ่นๆ กลับโมโหใส่เพื่อนร่วมบ้าน ถ้าพรุ่งนี้เค้าไม่มารับฉันเธอต้องช่วยฉันแก้ปัญหานะ นางก็รับปากรับคำ คิดย้อนไปตอนนี้สงสารนางอะคือ นางเป็นเพื่อนชาวอินเดียคนที่สองในชีวิต และนางนิสัยดีมากกกกก แล้วกุเอาความไม่รอบครอบและความไม่วางแผนของตัวเองไปกดจิตนาง
เช้าวันรุ่งขึ้นตื่นมาแต่เช้า ประมาณหกโมงสี่สิบห้า โทรศัพท์เราก็ดังขึ้น รับสาย คือคนขับรถตู้ Morning ด้วยเสียงที่สดใสในยามเช้ามากๆ เค้ามารอรับหน้าบ้านแล้ว เราเลยบอกแต่เราจองไปให้มารับตอนเจ็ดโมงเช้านะ เค้าบอกไม่เป็นไรฉันแค่มาถึงก่อนเวลารอได้ เราเลยเกรงใจรีบเตรียมตัวและลงไปขึ้นรถ
และใช่จ้าาา เพื่อนชาวอินเดียต้องตื่นแหกขี้หูขี้ตาแต่เช้ามาส่งเราขึ้นรถไปสนามบิน
จังหวะบะบายเพื่อนและก้าวขึ้นรถ ความรู้สึกนี่มันกลับมาอีกแล้ว
........ความรู้สึกที่ความกลัวและความตื่นเต้นทำงานพร้อมกัน :) ............
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in