I.M x Kihyun 's story .
- episode 01.
I know I can't keep chasing after you
And babe if that's the case, just know that
- love, finding hope
เป็นวันจันทร์ที่เขาจำเป็นต้องลืมตาตื่นแต่เช้าตรู่เพราะเสียงเรียกเข้าที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยนักในเวลานี้ถ้าให้เดาก็คงมีแต่เจ้านายที่เข้าออฟฟิศเร็วแล้วมาตามทวงงานเขา หรือไม่ก็แม่บ้านทำความสะอาดห้องอะไรทำนองนี้
และสิ่งที่เขาคิดมันผิดทั้งหมด จนเขาได้รับสายนั่นเท่านั้นแหละ
จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงทุ้มคุ้นเคยที่ได้ยินเสียงครั้งล่าสุดเมื่อสามเดือนก่อนเท่านั้นแหละ
"กีฮยอนใช่ไหม"
อยากจะปฏิเสธแทบแย่แต่น้ำเสียงนั้นมันต่างไปจากทุกครั้งเสียงฟุดฟิดทำให้เขาเองก็พอรู้หรอกว่าอีกคนไม่ได้ป่วยหรืออะไรอีกอย่างน้ำเสียงสั่นๆก็ทำให้เขาเผลอคิดไปเองว่าอีกคนกำลังต้องการเขาในตอนนี้
แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละ
"อืมใช่ฉันเอง" กีฮยอนตอบรับก่อนที่จะกัดปากตัวเองเบาๆแล้วทักทายอีกคน"ว่าไงชางกยุนไม่ได้คุยกันนานเลยนะ"
“นั่นสินะ คิดถึงนายชะมัด”
อย่าพูดแบบนั้นสิ:(
“เข้าเรื่องสักทีสิ ฉันง่วงนะ” กีฮยอนแสร้งขำเพื่อที่จะหนีความรู้สึกที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้ กัดปากตัวเองอีกครั้งเตรียมพร้อมที่จะฟังสิ่งที่ออกมาจากปากอีกคน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับแฟนของฝ่ายนั้นเอง
ก็นั่นแหละ เป็นได้แค่ที่ปรึกษา เป็นได้แค่เพื่อนที่ดีที่สุด
กีฮยอนยังจำได้เมื่อสิบปีก่อนที่เขามาแลกเปลี่ยนที่เมืองเล็กๆแห่งนี้ เมืองที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในตอนนี้ เมืองที่เขาพบกับผู้ชายคนนั้นเป็นครั้งแรก เด็กผู้ชายที่ดูซนๆกับครอบครัวที่อบอุ่นรับเขาเข้ามาดูแลตลอดหนึ่งปีของการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ตอนแรกเขารู้สึกดีใจมากที่มีครอบครัวชาวเอเชียรับเขาเข้ามา และก็ยิ่งดีใจที่บ้านหลังนั้นมีเด็กที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา แม้ว่าจะเด็กกว่าไปสามปีก็เถอะ
แต่ถึงอย่างนั้นชางกยุนกับกีฮยอนกลับเข้ากันได้ดี พวกเขาสนิทกันมาก กีฮยอนก็ตัวติดชางกยุนตลอดเวลา และชางกยุนก็ดูแลอีกคนเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ไม่คิดว่าเจ้าเด็กตัวเปี๊ยกคนนั้นจะมาดูแลเขาได้ถึงขนาดนี้ มันน่าตลกดีที่พวกเขาเหมือนกับฝาแฝดที่รักกันมาก แต่มันกลับเป็นเรื่องตลกร้ายที่เด็กอายุสิบสี่ปีคนนั้นกลับรู้สึกดีต่อน้องชายที่เด็กว่าเขาสามปีเกินกว่าคำว่าพี่น้องตั้งแต่ตอนนั้น
ความรู้สึกนั้นถูกเก็บเป็นความลับมาตลอดสิบปี และมันก็คงอยู่มาตลอด
ชางกยุนกลับมาเรียนมัธยมที่บ้านเกิดของพ่อแม่ของเขา และเป็นอีกครั้งที่เขากับกีฮยอนได้พบกันอีกครั้ง แม้ว่าจะติดต่อกันมาตลอดแต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นไปมากกว่านี้ ชางกยุนเจอผู้หญิงที่เข้ากันกับเขาได้ดีในตอนนั้น
และกีฮยอนก็เป็นที่ปรึกษาที่ชางกยุนไว้วางใจมากที่สุด
ต่างกับกีฮยอนที่ไม่ยินดีสักนิดที่จะอยู่ในสถานะนั้น
ไม่นานชางกยุนกับวอนฮีก็ได้คบกัน วอนฮีกลายเป็นโลกทั้งใบของชางกยุนจนกระทั่งเข้ามหาลัย และกีฮยอนก็หนีทุกอย่างไปที่จุดเริ่มต้น ไปที่ๆเขาเคยมีความสุขมากที่สุด
“ฉันเลิกกับวอนฮีแล้ว”
ประโยคนั้นเขาควรจะรู้สึกดีใจแต่ทำไมตอนนี้กลับรู้สึกว่าโลกทั้งใบกำลังสลายไปหมดก็ไม่รู้ กีฮยอนนิ่งไปพักนึงฟังเสียงสะอื้นของอีกคน ที่พยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
“ถ้าไม่ไหวก็ร้องออกมา ถ้ามันหนักก็ระบายมันออกมาเถอะ ฉันอยู่ข้างนายนะชางกยุน”
เขาไม่รู้จะบอกอะไรอีกคนไป เขาไม่อยากให้โลกของชางกยุนพังทลายไปมากกว่านี้ เขารู้ดีว่าการที่ต้องสูญเสียเจ้าของรอยยิ้มของตัวเองไปมันเป็นอย่างไร จนสุดท้ายแล้วเขาก็เข้าใจว่าชางกยุนในตอนนี้ต้องการอะไร
แม้จะไม่ใช่เขา แต่เขาก็อยากเป็นสิ่งที่ทำให้ชางกยุนไม่รู้สึกว่าต้องอยู่คนเดียวอีกต่อไป
“ขอบใจ ก็มีแต่นายนั่นแหละ เราน่าจะได้คบกันนะ ฉันจะได้ไม่ต้องร้องไห้ให้นายปลอบแบบนี้” ชางกยุนพูดติดตลกแต่อีกคนกลับไม่รู้สึกว่ามันตลกสักนิด
“นายเชื่อได้ไงว่าถ้าเราคบกับฉันจะทำให้นายไม่ต้องร้องไห้อีก” กีฮยอนเงียบไปก่อนที่จะพูดออกมานิ่งๆ น้ำเสียงที่ดูจริงจังทำให้ปลายสายหัวเราะออกมา
“กีฮยอน ฉันแค่พูดเล่น” ชางกยุนขำ “จริงๆแล้วที่ผ่านมาฉันว่าเราก็ทำได้ดีนะ”
“ยังไง” กีฮยอนถือสายเดินไปที่หน้าต่างเปิดผ้าม่านออกแล้วมองไปด้านนอกเพื่อยั้งความคิดที่ไม่ใช่เขาเอาซะเลย
“ก็อย่างน้อยเวลาที่แย่ๆเราก็ยังอยู่ด้วยกัน ฉันชอบแบบนี้มากกว่า”
เห็นแก่ตัวชะมัดชางกยุน
“อืม ฉันก็ชอบเหมือนกัน”
หลังจากนั้นเราก็เปลี่ยนเรื่องราวเป็นเรื่องชีวิตของกันและกันแทน ไม่คิดว่าเราจะเปลี่ยนเรื่องจากวอนฮีได้เร็วขนาดนี้ และไม่คิดว่าตลอดเวลาที่ชางกยุนหายไปจากเขาจะมีอะไรที่เปลี่ยนไปเยอะมากเหมือนกัน เพราะในตอนนั้นที่ชางกยุนมีวอนฮี เขาก็ไม่ได้สำคัญกับอีกคนเท่าไหร่ เราติดต่อกันยากขึ้นเพราะเวลาที่ต่างกัน และอะไรหลายๆอย่าง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกมันลดลงเลยด้วยซ้ำ
อยากถามตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงรักอีกคนได้มากขนาดนี้
แต่คำตอบก็กลับออกมาเป็นรอยยิ้มในตอนที่คนในสายบอกว่าจะโทรมากวนใหม่เนี่ยแหละ
หลังจากที่วางสายอีกคนเรียบร้อย กีฮยอนก็เพิ่งรู้ว่าเขากำลังจะสายแน่ๆ เขารีบวิ่งเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟันก่อนที่จะวิ่งลงไปร้านกาแฟที่ไม่ไกลจากป้ายรถโดยสารประจำทาง ไม่ลืมที่จะส่งข้อความหาคนที่กำลังเช่าบ้านของเขาอยู่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมืื่อเช้านี้
‘ฝากนายดูแลน้องสาวฉันด้วย เธอเพิ่งเลิกกับแฟนมา’
เขาเป็นห่วงวอนฮี เขาทนเห็นเด็กผู้หญิงที่ยิ้มมาตลอดชีวิตของเธอร้องไห้ไม่ได้หรอก
เหตุผลที่เขายอมที่จะถอยตัวออกมาอยู่คนเดียวเพราะเขาอยากจะปกป้องรอยยิ้มของน้องสาวของเขาไว้ให้นานที่สุด แม้ว่าเขาจะเป็นฝ่ายสูญเสียมันไปเอง
‘ไม่ต้องห่วง ฉันจะดูแลยัยนั่นเอง’ ไม่นานข้อความก็ถูกตอบกลับมา ทำเอากีฮยอนหัวเราะออกมาเบาๆกับตัวเอง
อย่างนั้นหรอ ซนฮยอนอู
.
ชีวิตของการทำงานสำนักข่าวเล็กๆในเมืองนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างลงตัวสำหรับเขา คนที่นี่มีน้ำใจมากกว่าที่เขาคิดไว้แต่แรก และเขาเองก็เข้ากับคนที่นี่ได้เป็นอย่างดี งานไม่ได้หนักแต่ก็ไม่ได้เบาเพราะในเมืองเล็กๆนี้มีสำนักข่าวอยู่แห่งเดียว แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นหนึ่งในเครือของสำนักงานข่าวใหญ่จากเมืองหลวงอีกที
ซึ่งนั่นก็เป็นเขาเองที่เสนอตัวมาอยู่ในเมืองนี้ตั้งแต่ต้น
“วันนี้มีเด็กฝึกงานมา นายช่วยดูก็แล้วกันมิสเตอร์ยู” เสียงของบรรณาธิการสำนักข่าวที่กีฮยอนทำงานอยู่ดังขึ้นพร้อมกับร่างกายของชายวัยกลางคนที่กำลังเดินถือจดหมายจากทางสำนักข่าวใหญ่เข้ามาหาเขา
“ครับ” กีฮยอนตอบรับอย่างแข็งขันเหมือนทุกครั้ง
ถึงอย่างนั้นก็แอบสงสัยในใจว่าทำไมเขาถึงถูกเลือกให้เป็นเทรนเนอร์ให้กับเด็กคนนี้
แต่ก็เอาเถอะเขาจะพยายามสอนให้เต็มที่ก็แล้วกัน
หลังจากที่ได้คุยกับบอสเขาบอกว่าเด็กคนนั้นจบมาในฟีลเดียวกับเขาเลยคิดว่าคงจะคุยกันรู้เรื่องมากกว่า ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องดีที่ในที่สุดออฟฟิศนี้จะได้มีคนช่วยเขียนข่าวดีๆเพิ่มอีกคน
.
“ขอโทษนะครับ ที่นี่ใช่สำนักข่าวท้องถิ่น—”
เสียงประตูเปิดพร้อมเสียงทุ้มต่ำของใครบางคน ก่อนที่จะเดินบังประตูแล้วโค้งตัวเล็กน้อยอย่างเคยชิน
“มาแล้วสินะเด็กฝึกอิมชางยูน ใช่ไหม” เจ้าของเสียงทุ้มไม่ทันพูดจบ เสียงของชายวัยกลางคนที่พยายามอ่านชื่อของผู้มาใหม่จากกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานก็แทรกขึ้นมาทันที ”ยินดีต้อนรับ” เขาเดินไปกอดอีกคนก่อนที่จะผละออกมา
“เช่นกันครับ อ่า เรียกผมว่าแดเนียลก็ได้ครับ มันเป็นชื่อผมตอนอยู่ที่นี่” เขายิ้มมองไปรอบห้องจนสุดท้ายเขากลับพักสายตาไว้ที่คนผมสีม่วงที่กำลังวุ่นกับคอมพิวเตอร์อยู่
“ฝากนายด้วยนะ มิสเตอร์ยู” เสียงของชายคนนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่จะพาเด็กฝึกงานเดินเข้าไปหาคนผมสีม่วงที่ถูกเด็กคนนั้นมองอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว
ใครจะไปคิดว่าอิมชางกยุนจะมาที่นี่ล่ะ
“สวัสดีครับมิสเตอร์ยู” ชางกยุนลากเก้าอี้ข้างอีกคนออกก่อนที่จะหย่อนตัวลงนั่ง
“เรียกเหมือนเดิมเถอะนะ” กีฮยอนตอบพลางจ้องมองตัวหนังสือบนจอคอมอยู่อย่างนั้น
“ทำไมไม่ใช้ชื่อรอนอ่ะ เท่จะตาย” ชางกยุนถามพลางยื่นหน้าเข้าใกล้อีกคนอย่างเรียกร้องความสนใจ
“มันเด็กแล้วชางกยุน” แต่กีฮยอนกลับไม่สนใจเขาเลยสักนิด
“จะว่าไปก็คิดถึงตอนเด็กๆเนาะ ครั้งนั้นฉันดูแลนาย แล้วตอนนี้นายมาดูแลฉันอีกที”
“อือ อย่าพูดมาก งานมีเป็นกองภูเขาเลย ชางกยุน” สุดท้ายก็ได้แต่เปลี่ยนเรื่องทุกที เพราะหากให้ชางกยุนย้อนเวลากลับไปมากกว่านี้มันคงไม่ดีกับกีฮยอนเองแน่
“ครับๆ จะตั้งใจทำงานครับ”
.
จบวันทั้งวันไปกับงานเอกสารที่เสร็จเรียบร้อยตรงเวลาเลิกงานพอดี โชคดีที่กีฮยอนมีอีกคนมาช่วยเลยทำให้เป็นครั้งแรกที่ไม่ต้องขนงานไปทำต่อที่บ้าน แต่ถึงอย่างนั้นเจ้านายก็ดันพาพวกเขาออกไปทานอาหารเย็นต้อนรับเด็กฝึกงานคนใหม่อยู่ดี
“กลับด้วยสิ” เสียงทุ้มที่ฟังดูต่างไปจากปกติทำให้เขารู้สึกว่าอีกคนเริ่มจะเมาเข้าให้แล้ว
“นายจะกลับกับฉัน บ้าหรอนายพักที่ไหนฉันยังไม่รู้เลย” กีฮยอนทำหน้าไม่พอใจให้คนที่กำลังยิ้มแป้นเมาแอ๋อยู่
“ก็เราอยู่บ้านเดียวกันนี่ อืม กลับบ้านๆ” ชางกยุนตอบเริ่มไม่ได้ความแล้ว ทำให้กีฮยอนต้องลากอีกคนออกไปก่อนที่จะบอกลากับคนแถวนั้นเงียบๆ
“เฮ้อ เอาไงดีวะ” กีฮยอนพูดกับตัวเองอีกครั้งหลังจากออกมาจากร้านอาหาร มีชางกยุนที่เอาแต่เดินวนไปมาพลางเกาะแกะเขาคอยกวนใจ
“วอนฮียา อึก คิดถึง”
หนำซ้ำยังพูดถึงชื่อคนอื่นอีก
“ทิ้งไว้ข้างถนนเลยดีไหม” กีฮยอนพูดกับอีกคนที่ถูกผลักให้นั่งจุมปุกอยู่บนฟุตบาท
“ไม่เอาดิ กียอนอา กลับบ้านกัน”
เอาว่ะเอามันไปนอนบนโซฟาที่บ้านก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
สุดท้ายเป็นเขาเองที่ต้องเสียสละนอนโซฟาแทนคนเมาซะงั้น เพราะชางกยุนเดี๋ยวก็ร้องไห้เดี๋ยวก็หัวเราะ พูดชื่อคนนู้นทีคนนี้ทีตลอดทั้งคืน แต่คำที่เขารู้สึกดีที่สุดที่ได้ยินจากปากอีกคนในตอนนั้นคือ
“ชางกยุนกลับมาหากียอนแล้ว กียอนไม่คิดถึงชางกยุนหน่อยหรอ”
สงสัยท่าทางที่พยายามปฏิเสธอีกคนทำให้ชางกยุนเก็บเอาไปคิดแหงๆ แต่ถึงอย่างนั้นใครจะรู้ได้ดีไปกว่าเขาว่า
เขาน่ะดีใจที่ได้เจออีกคนอีกครั้งหนึ่งจริงๆ
.
แสงแดดในตอนเช้าที่กำลังส่องลอดช่องหน้าต่างทำให้กีฮยอนลืมตาขึ้นมา เขาบิดขี้เกียจไล่ความไม่สบายตัวจากโซฟาที่นอนมาตลอดคืน นึกอิจฉาน้องชายคนสนิทที่ได้นอนสบายใจอยู่บนเตียงนุ่มๆของเขา อิจฉาจนเตรียมน้ำอุ่นใส่กะละมัง พร้อมพาดผ้าสะอาดอีกผืนไว้ที่ไหล่ เตรียมพร้อมที่จะเข้าไปหาอีกคนที่กำลังหลับไม่รู้เรื่องอยู่ในห้อง
จะเป็นหวัดไปอีกคนไหมเนี่ย
อดเป็นห่วงไม่ได้เลยต้องค่อยๆแง้มประตูห้องออกไม่ให้คนที่กำลังหลับสนิทรู้เพราะกีฮยอนกลัวว่าถ้าอีกคนรู้เขาคงจะแย่แน่ๆ กีฮยอนตัดสินใจเปิดประตูออกแต่ทว่ามันกลับทำให้ชางกยุนรู้สึกตัวในตอนนั้น ก้อนสีขาวขยับยุกยิกบนเตียงนอนของกีฮยอนทำให้เขารู้ตัวว่า
ชางกยุนสบายดี
ไม่ต้องเป็นห่วงเขามากขนาดนั้นก็ได้นี่
เพราะอย่างนั้นกีฮยอนเลยตัดสินใจกลับไปนั่งบนโซฟาหลังเดิม ในตอนที่เขาเอาน้ำอุ่นในกะละมังไปเทใส่อ่างล้างจานเรียบร้อยแล้ว
“กีฮยอนไปนอนอะไรตรงนั้น แล้วให้ฉันนอนเตียงนายน่ะนะ” เสียงคนที่เพิ่งตื่นดังขึ้นมาจากทางประตูห้องนอนของกีฮยอน และนั่นก็ทำให้กีฮยอนแกล้งทำเป็นขยี้ตาพยายามมองหาบุคคลที่ยื่นใบหน้าออกมาจากประตูห้องนอนของเขา
“ก็นายเมา เดี๋ยวก็นอนดิ้นตกโซฟาพอดี” กีฮยอนตอบพลางซ่อนใบหน้าอมยิ้มเอาไว้ พอสามารถปรับสีหน้าให้ปกติอีกครั้งก็เงยหน้ามองอีกคนพลางพูดว่า
“ตื่นแล้วก็ไปกินข้าวได้แล้ว นั่งรอเดี๋ยวฉันทำเอง”
“เดี๋ยวช่วย” ชางกยุนตอบพร้อมกับวิ่งมาดึงมือของอีกคนให้ลุกขึ้นจากโซฟาไปยังห้องครัว
ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ ชางกยุน
.
“ไปทอดไข่เลยนายน่ะ” กีฮยอนไล่อีกคนไปที่เตาพลางเก็บเบคอนเข้าตู้เย็น
“โหย ดูถูกชัดๆ แค่ตอกไข่เอง” ชางกยุนทำหน้ามุ่ยพลางหันไปคุยกับอีกคน
“เดี๋ยวก็รู้ว่าฝีมือตอกไข่ของนายจะพัฒนาไหม” กีฮยอนกลั้นขำในตอนที่อีกคนเผลอตอกไข่แตกในตอนที่เขากำลังพูดพอดี
“เฮ้ ใบแรกเอง อย่าหัวเราะดิ” ชางกยุนเริ่มขมวดคิ้ว แต่เขาก็ดันทำพลาดเองเป็นครั้งที่สอง “กีฮยอนกินไข่คนได้ไหม”
“ได้”
เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ที่พวกเขา ได้หัวเราะด้วยกัน แม้ว่าครั้งล่าสุดมันอาจจะนาน แต่เขายังจดจำได้ดีว่าเขาช่างมีความสุขเหลือเกิน
“กินกาแฟซองไปก่อนนะ” กีฮยอนวางแก้วเซรามิกสีขาวสองใบบนโต๊ะ จากนั้นก็ลงมือทานอาหารเช้าต่อ
“ว่าแต่ นายพักอยู่ที่ไหน”
“ใกล้ๆแถวนี้แหละ” ชางกยุนมองหน้าอีกคนพลางใช้ส้อมจิ้มที่เบค่อนแล้วเอาเข้าปาก “คงเดินไปขึ้นบัสด้วยกันได้ด้วยซ้ำ”
“อืม ก็ดี” กีฮยอนยกกาแฟขึ้นดื่มแก้เก้อ ก่อนที่จะลุกเอาจานบนโต๊ะไปเก็บ “อร่อยล่ะสิกินซะเกลี้ยงเลย”
“ครับ อร่อยเหมือนเดิมเลย”
.
สุดท้ายพวกเขาก็ได้มาทำงานพร้อมกันชางกยุนยังคงเป็นเหมือนทุกครั้งที่พบกันต่างกับเขาที่ความรู้สึกคุ้นเคยกำลังจะกลับมากวนใจเขาอีกครั้ง
หลายครั้งที่เขาเผลอมองชางกยุนในรถโดยสารประจำทางตลอดทางจนอีกคนรู้ตัวแล้วยิ้มให้
หลายครั้งที่เขาเผลอทำตัวซุ่มซ่ามจนอีกคนต้องจับมือเขาเอาไว้
แบบที่เขากำลังทำอยู่ในตอนนี้
“วันนี้ออกภาคสนามช่วงบ่ายใช่ไหม” หัวหน้าฝ่ายเดินตรงเข้ามาถามกีฮยอนถึงโต๊ะทำงานทันทีที่เขากำลังนั่งลง ชางกยุนมองหน้าเจ้านายอย่างตั้งใจหลังจากที่กีฮยอนพยักหน้าลง “โอเค อย่าลืมที่บอกไว้เมื่อกี้ แล้วเลิกงานไปกินกาแฟกัน”
“อ่า ขอบคุณครับ” เป็นเสียงทุ้มของชางกยุนที่ตอบอีกคนกลับไป ต่างกับกีฮยอนที่เอาแต่นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น
“เขาดูสนใจนายนะ” ชางกยุนเลื่อนเก้าอี้มากระซิบที่ข้างหูอีกคนที่กำลังนั่งเขียนสคริปคำถามสำหรับบ่ายวันนี้
“อืม นายรู้”
“ดูง่ายจะตาย สายตาแบบนั้นเขาสนใจนายแน่ๆ ลองไหมเห็นว่านายยังไม่เคยมีใคร” ชางกยุนกระซิบอีกคนด้วยท่าทางขี้เล่นของเจ้าตัว
“แล้วไง นายนึกอยากจะคอสเพลย์เป็นคิวปิดขึ้นมาหรอไง”
“อืม น่าสนุกดีนี่ นายควรจะมีใครได้แล้ว กีฮยอน”
ถ้าคนที่เขาอยากจะอยู่ข้างๆไม่ใช่ชางกยุน
มันคงจะดีกว่านี้มันคงจะดีกว่านี้จริงๆ
.
เย็นนี้เราก็เลยได้ไปเดทกันสามคนตามแผนที่ชางกยุนอยากให้เป็นแบบนั้น กาแฟหลังจากการทำงานดูจืดไปสำหรับวันนี้ และเค้กรสโปรดของเขาก็ไม่ได้น่ากินเลยซักนิด ชางกยุนคุยเก่งจนผิดปกติในวงที่ประกอบด้วยคนแปลกหน้าแบบนี้ ส่วนมากก็เป็นเรื่องราวเก่าๆที่เกี่ยวกับคนผมสีม่วงที่กำลังเขี่ยเค้กบนจานเล่นอย่างไม่รู้สึกดีเท่าไหร่ รอยยิ้มฝืนๆถูกส่งมาบ่อยครั้ง เพราะไม่อยากให้อีกคนรู้สึกผิดที่ทำอะไรไม่ปรึกษากันแบบนี้ จนกระทั่งที่ชางกยุนขอตัวไปเข้าห้องน้ำ
“ดูท่าว่าคุณแดเนียลสนิทกับคุณน่าดูเลยนะ” รอยยิ้มที่ดูน่าใจสั่นถูกส่งมาให้กับเขาที่กำลังเหม่อลอยไปที่หน้าประตูห้องน้ำอยู่
“อ่า ครับ เราค่อนข้างสนิทกัน” กีฮยอนยิ้มตอบ “ผมว่าเราควรจะกลับไปได้แล้วนะครับ เกือบเลยเวลาอาหารเย็นแล้วด้วย” เขาทำท่าเก็บของพร้อมที่จะลุกออกไป
“ให้ผมเลี้ยงข้าวเย็นคุณต่ออีกมื้อดีไหม” แต่ผู้ชายคนนั้นกลับยื้อให้อีกคนอยู่ด้วยกันต่อ กีฮยอนไม่ชอบมันเลยสักนิด
“ไม่ดีกว่าครับ ผมมีนัดทานข้าวต่อพอดี ขอตัว” สุดท้ายก็ตัดสินใจลุกหนีจากตรงนั้น โดยไม่ฟังเสียงจากคนที่กำลังวิ่งตามตัวเองมาด้วยซ้ำ
กีฮยอนเรียกแท็กซี่ทันทีที่เดินออกมานอกร้าน เขากลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่จริงๆ เขาอดทนสำหรับวันนี้มามากพอแล้ว อดทนกับสิ่งที่ชางกยุนหยิบยื่นมาให้ อดทนกับสิ่งที่เขาไม่อยากได้มันเลยสักนิด
และอดทนกับความเคยชินของชางกยุน
โกรธ
โกรธตัวเองที่ความเคยชินนั้นมักจะทำให้ยิ้มได้เสมอ จนเขากลายเป็นคนนิสัยเสียที่ยินดีที่จะรับความเคยชินนั้นไว้แทนที่จะเป็นความห่วงใยจากคนอื่น คนอื่นที่ไม่ใช่ อิมชางกยุน
และอีกอย่างนึงที่เขาเพิ่งจะรู้ในวินาทีที่เดินออกมาจากร้านคือความรู้สึกที่เขากลัวมันกลับมาอีกครั้งจนได้
เหมือนทุกอย่างกำลังเล่นตลกกับตัวเขาเลย ตลกจนอยากร้องไห้ออกมาดังๆเสียด้วยซ้ำ
TBC.
see you next rain .
#สวัสดีคุรสายฝน
Talk :
เขาก็เป็นคนดีเท่านั้นเองค่ะ เขาดีกับทุกคน แง
ประเดิมด้วยเอ็มกีเลยค่ะ แง เพราะคิดถึงจริงๆ จากที่เราเคยเขียนให้ชางกยุนชอบกีฮยอนมาเกือบทุกเรื่องแล้วก็อยากลองเขียนให้กีฮยอนชอบชางกยุนก่อนบ้าง แม้ว่าจะเป็นรักข้างเดียวแต่จะพยายามให้มันฟีลกู้ดมากที่สุด แล้วค่อยๆยิ้มไปกับความน่ารักของพวกเขาไปด้วยกันนะคะ /-
เรื่องนี้ตัวละครของเราจะทำงานในสำนักงานข่าวนะคะ ซึ่งเราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ถ้ามันแปลกๆ หรือพลาดตรงไหนก็ทักมาบอกเราได้เสมอเลยนะคะ
ฝาก #สวัสดีคุรสายฝน ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ คอมเมนต์ ติชมเราได้เสมอเลย เย่
ขอบคุณที่หลงเข้ามาอ่านกัน และหวังว่าจะทำให้คุณยิ้มได้ออกมาไม่มากก็น้อยนะคะ
เจอกันฝนตกครั้งหน้าค่ะ(:
รัก
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in