น่าเศร้าที่มันเป็นแบบนั้นแค่ไม่กี่ชั่วโมง
เมื่อคืนวันเสาร์ผลัดเปลี่ยนมาเป็นเช้าวันอาทิตย์
เราก็ยังคงนอนลืมตาอยู่บนเตียง พร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มอย่างช้า ๆ แบบที่เราก็ควบคุมไม่ได้
(มีคราบน้ำตาที่เปื้อนอยู่ตามหมอนเป็นพยานรองในความเศร้าครั้งนี้ด้วย)
ผ้าที่ตากไว้ปลิวไสวไปตามแรงลม กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มไม่ได้หอมเหมือนเมื่อวาน
เศษอาหารของเมื่อคืนยังอยู่ที่เดิม พร้อมกับจานชามที่ยังไม่ได้ล้าง
เศษก้านดอกเยอบีร่าที่เป็นหลักฐานว่าเราดีขึ้นมากพอจนลุกมาจัดดอกไม้ยังคงถูกทิ้งไว้บนพื้นโดยไม่ได้รับการเก็บกวาด
เรากำลังเป็นอะไรกันแน่นะ
ทำไมถึงไม่อยากกินอะไรเลย
เรี่ยวแรงที่เคยมีมันหายไปไหนหมด
เรายังไม่หายอีกเหรอ ทำไมถึงยังไม่หาย แล้วเมื่อไหร่จะหายสักทีล่ะ
ยังดีที่เรายังพอมีสติอยู่บ้าง (เราชื่นชมตัวเองมาตลอดว่าเป็นคนมีสติแม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่แย่ ขอนำเสนอเพราะภูมิใจเรื่องนี้มาก)
เราตัดสินใจไปหาหมอที่โรงพยาบาลทันที เพราะรู้ว่าถ้าเรายังคงอยู่แบบนี้เราคงไม่ดีขึ้นแน่ ๆ
การไปหาหมอไม่มีอะไรมายืนยันเหมือนกันว่าเราจะดีขึ้น เราไปเพราะเราเชื่อ
เชื่อในตัวเองที่จะถ่ายทอดความรู้สึกบางอย่างออกไปและทำให้หมอวินิจฉัยได้ว่าเราควรทำอย่างไรต่อไป
หรือจริง ๆ แล้ว มันอาจจะเป็นเราที่วินิจฉัยตัวเองว่าจะทำอะไรต่อไปก็ได้
เมื่อถึงโรงพยาบาล ทันทีที่ก้าวผ่านประตูเข้ามาในอาคาร
เรารู้ได้ทันทีว่าเราตัดสินใจถูกแล้ว แม้น้ำตาจะยังคลอเบ้าอยู่ก็ตาม
ผ่านด่านคุณพยาบาลที่ไม่ได้ใจดีเท่าไหร่ แต่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้เพราะโซนที่ไปเป็นโซนผู้ป่วยทั่วไป
วันอาทิตย์ คลินิกสุขภาพจิตปิดเป็นธรรมดา
เมื่อเปิดประตูและนั่งลงให้ห้องตรวจ หมอก็รู้ได้ทันทีว่าเราไม่ได้มาเพราะมีปัญหาทางกาย (บอกคุณพยาบาลไปว่ามาตรวจเพราะใจสั่น)
เราพูดคุยกับหมออยู่ราว ๆ ครึ่งชั่วโมง
พูดไม่รู้เรื่องหรอก ลำดับเหตุการณ์ไม่เป็นเรื่องราว วกไปวนมา ความคิดในหัวตีกันยุ่งเหยิงไปหมด
ไม่รู้ว่าต้องโฟกัสที่เรื่องอะไรบ้าง เรื่องสอบ เรื่องงาน เรื่องแลป เรื่องเรียน
แต่สำหรับเรา เราคิดว่าเรื่องที่ส่งผลกระทบกับเราที่สุด มันก็เรื่องที่เรารู้สึกแย่ที่ยังไม่สามารถก้าวข้ามแผลในใจเราได้สักที
ขอบคุณที่คุณหมอเข้าใจ และหมอก็แนะนำให้เราเขียน (เพราะเราบอกว่าเราชอบเขียน ถึงจะรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง แล้วแต่อารมณ์ในตอนนั้น)
และอาจเพราะเราเป็นคนชอบเขียนอยู่แล้ว ก็เลยมั่นใจว่าการเขียนจะช่วยเราได้
ในตอนนั้นที่ไม่เขียน ไม่ใช่เพราะไม่อยากเขียน แต่มือสั่นเกินกว่าที่จะจรดปากกาลงบนกระดาษ
.
ตอนนี้เราดีขึ้นแล้วนะ อย่างน้อยในวินาทีนี้ก็ดีขึ้นแล้ว
เราพอรู้วิธีจัดการตัวเองถ้าความรู้สึกนั้นกลับมาอีกครั้ง
อาจจะยังไม่สามารถฝังมันลงไปแบบที่มั่นใจว่ามันจะไม่กลับมาอีก
แต่เราว่าไม่เป็นไรหรอก
แค่นี้ก็เก่งแล้ว
ขอเวลาอีกหน่อยนะ เราสัญญาว่าเราจะพยายามกลับมาสดใสให้ได้เลย
เพื่อตัวเราเองนี่แหละ
ขอให้ทุกวินาทีที่เหลือในวันนี้น่ารักและอ่อนโยนกับคุณมาก ๆ เลยนะ
:)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in