พวกเราลงเครื่องที่สนามบินคันไซตอนเก้าโมงเช้านิด ๆ พร้อมกับอาการนอนไม่พอเล็กน้อยเพราะหลับกันมาบนเครื่องบินแต่ก็หลับไม่เต็มที่ ทันทีที่ได้สัมภาระครบทุกอัน พวกเรานั่งรถไฟมาลงที่สถานีโอซาก้า ซึ่งเป็นจุดตั้งหลักที่เราจะใช้เดินทางไปยังที่ต่าง ๆ และยังเป็นที่ที่เราจะใช้เป็นที่พักในช่วงเวลาสองวันนี้
ระหว่างรอเวลาเช็คอิน เราเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่โรงแรม Granvia ที่อยู่ในสถานีโอซาก้าก่อน แล้วค่อยเดินทางไปที่อื่นต่อ อันนี้เป็นสิ่งที่แคทซังคิดมาแล้ว ว่าควรจะพักโรงแรมที่อยู่ในสถานีเลย และมันก็ดีจริงอย่างที่เธอคาดไว้ การที่ที่พักอยู่ในสถานีโอซาก้าเลยทำให้อะไร ๆ สะดวกขึ้นเยอะ และที่สำคัญ (สำหรับคนที่ไม่เคยไป) สถานีนี้มีขนาดใหญ่มากและเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างห้างใหญ่หลายห้าง
ลองนึกภาพห้าแยกชิบูยะที่มีคนเดินกันขวักไขว่ สถานีนี้ก็คล้ายกัน เพียงแต่เปลี่ยนจากเดินบนดินมาเดินใต้ดินแทน เขาออกแบบมาให้เดินข้ามไปมาได้โดยแทบไม่ต้องขึ้นไปข้างบนเลย หรือถ้าเดินบนถนนก็จะมีสะพานลอยที่เชื่อมด้านบนเช่นกัน ที่ผมไปมาและจำชื่อได้ เช่น Grand Front Osaka (เดินหลงในนี้) , Lucua, Daimaru แต่ละห้างก็มีหลายชั้น และร้านส่วนใหญ่ก็น่าสนใจ มีตั้งแต่เสื้อผ้าทั้งชาย-หญิง ไปจนถึงของใช้ต่าง ๆ มีทั้งแบรนด์ใหญ่และแบรนด์ท้องถิ่น ร้าน selected shop แต่ละอันก็น่าสนใจ เหมือนว่าเขาคัดของน่าสนใจมาแล้วเพื่อมาวางขาย แต่เหตุผลที่แคทซังชอบที่นี่ยังมีอีกอย่าง ซึ่งจะเล่าให้ฟังในตอนหลัง
(ขออนุญาตแปะแผนที่เพื่อประกอบการเล่าเรื่อง / ภาพจาก internet)
หนึ่งในเหตุการณ์ที่ผมชอบมากในการมาโอซาก้าคือการได้มาเดินเล่นย่านนี้ เพราะมันรวมเอาหลายสิ่งที่ผมชอบเอาไว้ด้วยกัน ย่านชุมชนที่มีร้านค้าเป็นธุรกิจเล็ก ๆ บ้านเก่าที่เอามาเปลี่ยนให้เป็นร้านค้า หรือบางหลังก็เป็นแค่ที่อยู่อาศัย มีความย้อนยุค ร่วมสมัย และมีเสน่ห์เฉพาะตัว พนักงานในร้านยิ้มแย้ม(เท่าที่ผมเจอ) และตอนที่ผมไปก็อากาศดีมาก แถมคนก็ไม่พลุกพล่าน เหมาะแก่การเดินเล่นไปตามตรอกต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชอบทำเวลามาญี่ปุ่น
เพราะมันได้เห็นในทุก ๆ ด้านของเมือง บางครั้งเป็นด้านหน้า บางครั้งด้านหลัง บางครั้งด้านข้าง และด้วยเหตุผลบางอย่าง มักมีสิ่งน่าสนใจซ่อนอยู่ให้ถ่ายรูปหรือมองดู ได้เห็นคนกำลังเดินออกจากบ้านไปทำงาน เห็นผ้าที่ตากเอาไว้ บางจุดมีดอกไม้ขึ้นอยู่ริมทาง นกเกาะอยู่บนระเบียง ป้ายโฆษณาเก่าที่ถูกลืม บ้านบางหลังใช้วัสดุบางอย่างที่แปลกตาแต่น่าสนใจ
หลังจากกินเสร็จ ก็ไปเดินเล่นต่อ ย่านนี้มีร้านที่ดูน่าเข้าหลายร้านมาก
------
ในระหว่างที่เดินก็มาเจอคาเฟ่ที่อยู่ในลิสต์ของ Kat-san ชื่อว่า Neel เป็นคาเฟ่ที่มีเครื่องดื่มใส่ลูกแพรที่ต้องมาลอง ผมลองแล้วรสชาติก็ไม่เลว แก้กระหายได้ดี
ย่านนี้ยังมีอีกร้านในลิสต์ นั่นคือ วินเทจ selected shop ที่แคทซังตั้งใจจะมา พอเข้าไปก็มีของวินเทจตลกๆ หลายอัน เช่น ตุ๊กตาวูดูที่เอาเข็มปัก(แบบตลกๆ) แก้วน้ำ ของสะสม เสื้อผ้า เธอได้กระเป๋าผ้ามาหนึ่งใบกับของฝากหนึ่งชิ้น
(ด้านในไม่ได้ถ่ายเลยเอาแค่รูปด้านหน้ามาให้ดูนะ)
————
ญี่ปุ่นจะมีทำธรรมเนียมการซื้อของฝาก เวลาไปใครเที่ยวตามที่ต่าง ๆ ก็จะซื้อของกลับมา ซึ่งก็คงเหมือนบ้านเราที่เวลาไปเที่ยวที่ไหนก็จะซื้อของดีของที่นั้น ๆ สินค้า Otop หรืออาหารแห้ง อาหารสดที่ขึ้นชื่อ แต่ที่ญี่ปุ่น ดูเหมือนเขาจะยกระดับของฝากขึ้นไปอีกหน่อย เพราะเขาแข่งกันทำให้มันดูน่าสนใจและน่าซื้อกลับไป โดยเฉพาะเวลาไปตามที่ท่องเที่ยวหรือห้างสรรพสินค้า
ซึ่งของฝากส่วนใหญ่จะเป็นขนมทุกชนิดที่นึกออก ตั้งแต่คุ๊กกี้ ขนมเค้ก ขนมปัง ช็อกโกแลต ลูกอม ของขบเคี้ยว ชา กาแฟ ไปจนถึงของหมักของดอง ของกินเล่น ต่างแข่งกันทำ packaging ให้ดูน่ารักและคิดรูปแบบให้น่าสนใจ แน่นอนว่าเป็นสวรรค์ของแคทซังเช่นกัน เธอชอบของน่ารักเป็นทุนเดิม แล้วยังชอบกินขนม อีกทั้งยังชอบสะสม packaging ของสินค้าอีก
ผมไม่ได้ถ่ายรูปมาเยอะเพราะมัวแต่เดินเลือกเช่นกัน มีร้านหนึ่งเราหยุดอยุ่นานสุดเป็นร้านขายคุ๊กกี้และกาแฟที่ผมเองก็ซื้อกลับมาหนึ่งชุด ส่วนแคทซังซื้อเซ็ทคุ๊กกี้แหวนสวมนิ้วกับกาแฟดริปแบบเป็นซองมา
สิ่งที่ทำให้เธอเสียใจสุดคือการพลาดร้านดังที่ตั้งใจจะมาซื้อสองรอบ แต่ก็ขายหมดก่อนทุกที ร้านนั้น ชื่อว่า Sabrina ซึ่งขายคุ๊กกี้รูปดอกไม้ ไม่ได้ของมาแต่แปะรูปให้ดูด้านล่าง (เอามาจากอินเตอร์เน็ต)
ก่อนที่จะไปยังสถานที่ต่อไป เราขึ้นไปเช็คอินที่พัก ซึ่งบอกไว้ในช่วงแรกว่าอยู่ในสถานีนี้เอง ชื่อ Hotel Granvia Osaka ซึ่งผมคิดว่าคงไม่ต้องโปรโมทอะไรมากเพราะตอนไปก็ได้ยินเสียงคนไทยเดินออกมาจากโรงแรม (แสดงว่าคงเป็นนิยมในหมู่คนไทยอยู่แล้ว) เราพักกันที่ชั้น 23 ซึ่งห้องมีขนาดเล็กแต่ครบครัน อยู่ได้สบาย มีอ่างอาบน้ำให้แช่ ทีวีให้ดู และวิวนอกหน้าต่างให้มอง
————
พอตะวันตกดินก็ถึงเวลาของอีกไฮไลท์หนึ่งที่ตั้งใจจะมา ตัดสินใจนั่งแท็กซี่กันไป ทันทีที่ลงก็แอบกังวลกันว่าจะถูกที่หรือไม่ เพราะเขาพามาลงตรงสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ตาม GPS ต้องเดินต่อไปอีก 15 นาที (เป็นกิโล)
ระหว่างเดินเข้าไปในสวนที่มีไฟอยู่เล็กน้อย แต่คนญี่ปุ่นแถวนั้นก็ทำกิจกรรมกันปกติ ผมเห็นคนมาวิ่งออกกำลังกายหลายคน บางคนพาสุนัขมาเดิน มีกลุ่มนักเรียนทำกิจกรรมอะไรซักอย่าง ผมเห็นลุงใส่ชุดพนักงานออฟฟิศ นั่งเป่าทรัมเป็ตอยู่คนเดียว พอเดินไปสักพัก ก็เห็นนักเรียนนั่งปลีกวิเวกซ้อมแคลริเน็ตอยู่คนเดียวอีก ถ้าตั้งใจฟังดี ๆ เสียงของทรัมเป็ตกับของแคลริเน็ตก็ได้ยินถึงกันได้อยู่
เดินไปซักพักจนเหนื่อยจึงถึงหน้าประตูทางเข้า มีผู้คนมายืนเรียงแถว แสกน QR Code เพื่อเข้างาน (เราซื้อตั๋วล่วงหน้าเอาไว้แล้ว) มีวีดีโอบอกถึงสิ่งที่จะได้เจอคร่าว ๆ จับใจความได้ว่า Art Installation ที่ตั้งไว้สามารถ interact กับสิ่งต่าง ๆ ได้ พอเดินเข้าไปจะเจอกับทางตรงยาวที่มีต้นไม้สองข้างทาง และสิ่งที่ต่อไปนี้จะเรียกว่า “ตัวไข่” (รูปทรงคล้ายกับ JellyBean ถ้าใครเคยกิน) คอยเล่นเสียงดนตรีเมื่อมีคนเดินผ่าน แต่ละอันเป็นเสียงโน็ต 1 ตัว เหมือนจะเป็นของเปียโนที่ใส่ reverb และ echo ไว้เยอะๆ
เดินไปสักพัก ทุกคนเหมือนจะไปหยุดมองกันที่ถุงเป่าลม ที่ดูจากไกล ๆ เหมือนกับหนวดปลาหมึกขนาดยักษ์ แต่ละอันก็ถูกเป่าด้วยความแรงและจังหวะที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดเสียงและการเคลื่อนไหวที่ต่างกัน สลับไปมา
————
จบภารกิจสุดท้ายของวันที่ร้านชื่อว่า Episode 2 แถวย่าน Doyamacho เป็นร้านสไตล์ อิซากายะซึ่งมีเมนูที่ผมชอบคือ หัวไชเท้าราดชีส และปลาคิสุ(Kisu)ทอด ย่านแถวนั้นมีความเป็น Night life และดูเหมือนเป็นแหล่งที่คนออกมากินดื่มหลังเลิกงาน บางจุดบนถนน มีคนยืนคอยเชิญชวนให้ทำอะไรซักอย่างที่ผมฟังไม่ออก มีที่เป็นผู้ชายคนเดียว และมีที่เป็นผู้หญิงหน้าตาดียืนอยู่ด้วยกันหลายคน
จบโอซาก้าวันแรกแบบค่อนข้างครบ กลับที่พักแบบเมื่อยขาแล้วเพียงแค่วันแรก
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in