“ขอโทษนะคะ นี่เก่าหรือเปล่า”
เสียงใสๆ ดังขึ้นมาจากข้างหลัง
อยู่ๆ น้ำตาของผมก็ไหลออกมาแบบไม่ทันตั้งตัว มันเหมือนความรู้สึกแสบร้อนที่ตากำลังจะทะลักออกมาท่วมท้นให้ผมรู้สึกบางอย่างจนทนไม่ไหว... ไม่นะ ผมไม่อยากทำอะไรแบบนี้เลย
“ป้า.. หมูปิ้งสามไม้ ไม่เอามันนะ” ผมบอกป้าคนขาย พลางนึกในใจว่าต่างจังหวัดนี่ลมแรงเหลือเกิน แค่ควันหมูปิ้งเบาบางก็ทำให้เราน้ำตาไหลได้
“โทษนะคะ... นี่เก่าหรือเปล่าอ่ะ” เสียงใสๆ เสียงเดิมแต่เพิ่มเติมด้วยความหงุดหงิดดังขึ้นมาอีกครั้ง อาห์... ผมลืมไปเสียสนิทว่ามีคนเรียกอยู่ ดูท่าแล้วความตะกละจะทำให้ขาดสติไปอีกแล้วสินะ
ผมหันหน้ากลับไปพร้อมหมูปิ้งหนึ่งไม้ในปาก เราสองคนสบสายตากัน เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ประเมินคร่าวๆ อายุคงไล่เลี่ยกับผมนี่แหละ ตาของเธอกลมโต ผมยาวประบ่า ผิวขาวออร่ามีสุขภาพดี ฟันเรียงกันเป็นซี่สีขาววาวระยับ เอาจริงๆนะ ถ้าดูจากหน้าตา-เสื้อผ้า-ภาพลักษณ์ เราทั้งคู่ไม่น่าจะมีโอกาสได้รู้จักกันหรอกครับ
"ครับ ?"
“นี่จูนไง เก่าจำจูนไม่ได้หรอ ?”
ผมยิ้มพลางคิดในใจ จูนไหนวะ? กูมีเพื่อนชื่อจูนด้วยเหรอ หรือว่ามันจะเป็นไอ้จำรูญเพื่อนชายสมัยเด็กแปลงเพศมา แต่ไม่สิๆๆ จำรูญมันเป็นชื่อพ่อไม่ใช่ชื่อมัน มันชื่อจำเริญก็น่าจะแปลงเป็นเจินเจิน เฮ้ยพอๆๆ จูนคือใครวะ
"ตกลงจำได้หรือไม่ได้"
"อ่าา... จำได้สิ จำได้ครับ แหะๆ"
ช่างแม่มดีกว่า! มาถึงจุดนี้แล้ว! มึงจะจำได้ไม่ได้มันไม่สำคัญหรอกเว้ย เอาเป็นว่าคนหน้าตาน่ารักขนาดนี้มาทัก ทำเนียนไปก่อนละกัน ดูท่าแล้วไม่น่าจะใช่คนไม่ดีอะไร อย่างดีก็เข้าใจกันผิดนิดๆหน่อยๆ มิตรภาพในการเดินทางมันสำคัญนะไอ้เก่า - เสียงชั่วร้ายในหัวผมกระซิบบอกแบบนั้น
"เอ้อ... จูนกินหมูปิ้งไหม เราเพิ่งซื้อมาร้อนๆเลย”
"อื้มมม"
ผมส่งหมูปิ้งในถุงให้เธอ มือของเราสัมผัสกัน
“แล้วนี่เก่ามาทำอะไรที่นี่เหรอ ?”
เธอถามหลังจัดการหมูปิ้ง 2 ไม้ในถุงจนหมดเรียบร้อย
“พอดีกลับมาดูบ้านเก่าให้แม่อ่ะ บ้านของพ่อเรา”
“อ้อ... บ้านพ่ออออออออออออออ”
“ห่ะๆๆๆ” (แม่งกวนตีนกูแล้ว)
"แล้วนี่จูนจะไปไหนหรอ"
“พอดีเราเข้ามาเอาของที่ท่ารถ ว่าจะกลับพอดี ไปด้วยกันไหม เดี๋ยวเราไปส่ง”
"..."
ผมลองประเมินความสัมพันธ์คร่าวๆ จากบทสนทนาแล้ว จูนต้องรู้จักบ้านผมแน่ๆ และต้องมีความสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง แต่รู้จักแบบไหน ยังไง อันนี้ผมยังคิดไม่ออกแฮะ
“ไปเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ อย่าฉี่รดเบาะรถก็พอ”
“...”
---
คุณเคยเดินทางกับคนแปลกหน้าไหมครับ ?
บางครั้งบางคราว เรามักจะได้เจอกับคนแปลกหน้าหรือคนที่เราไม่คุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็น เพื่อนที่ทำงานคนใหม่ คนที่บังเอิญต้องรู้จักกันเพราะการแนะนำแบบผ่านๆ แต่มีเหตุพลิกผันให้ต้องมีโอกาสเดินทางหรือใช้เวลาอยู่ด้วยกันสักพัก
บทสนทนาที่เราเลือกใช้ คงจะไม่พ้นคำพูดทั่วไปอย่าง เป็นยังไงบ้าง ทำอะไรอยู่ คำถามเบื้องต้นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวที่เปิดเผยได้ ไปจนถึงเรื่องสภาวะแวดล้อม เหตุการณ์ใหม่ๆ หรือไม่ก็เรื่องที่กำลังเป็นประเด็นในขณะนี้
ถ้าโชคดี เราและเขามีความคิดเห็นที่ค่อนข้างตรงกัน ความสัมพันธ์มันก็อาจจะพัฒนาได้ดีขึ้น จากคนแปลกหน้ากลายเป็นคนรู้จักและยกระดับสถานะมาเป็นเพื่อนกันอะไรแบบนั้น แต่ถ้าโชคไม่ดี ความว่างเปล่านั้นมันก็เป็นอะไรที่ชวนให้อึดอัดใจไม่น้อยเหมือนกัน
สำหรับผมแล้ว จูนเป็น "คนแปลกหน้า"คนหนึ่ง
แต่ทำไมผมกลับไม่มีความรู้สึกไม่สนิทใจกับเธอเลย
ออกจากท่ารถมาได้สักพัก... เราเริ่มต้นกันด้วยบทสนทนาทั่วไปพอเป็นพิธี คงไม่พ้นเรื่องชีวิต การทำงาน อาชีพ สุขภาพ มองเผินๆดูเหมือนเราทั้งคู่กำลังแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ห่างหายกันไปนานอย่างสนุกสนาน แต่เอาจริงๆ ผมนี่แหละกำลังคิดไม่ตกเลยว่า ตกลงแล้วจูนเป็นใครมาจากไหนกันแน่
ระหว่างที่รถเคลื่อนตัวเข้าสู่ตัวเมือง ผมเหลือบมองดูวิวด้านนอก หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก ความเจริญที่เดินทางเข้ามาเยี่ยมเยียน "สถานที่เก่า" ทำให้ผมนึกอดีตในวันเก่า วันที่เรายังรู้สึกว่าความสุขนั้นหามาได้ง่ายๆ เพียงแค่ได้ออกจากบ้านไปวิ่งเล่นไล่จับกับเพื่อน แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
บทสนทนาของเราเริ่มลงลึกไปเรื่อยๆ และตอนนี้จูนเริ่มมีท่าทีสงสัยว่าทำไมผมถึงพยายามเปลี่ยนเรื่องทุกครั้งที่เธอพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของเราในอดีต
"เก่าไม่ชอบให้เราพูดถึงเรื่องในอดีตเหรอ ทำไมล่ะ"
สายตาที่ดูเหมือนผิดหวังเล็กๆของจูน ทำให้ผมรู้สึกผิดมากขึ้นกว่าเก่า
“จูนครับ คือ เอ่อ คือเรามีอะไรจะบอก” เสียงของผมสั่นนิดๆ หลังจากที่คิดได้ว่าต้องสารภาพความจริงกับเธอสักที เอาวะ... แย่ที่สุดน่าจะเป็นกูต้องลงรถแถวนี้ ยังไงคงหาทางไปต่อเองได้ไม่ยากนักหรอกวะ
“เราขอโทษนะ (ยกมือไหว้) เราจำจูนไม่ได้จริงๆ จูนเป็นใครเหรอครับ? แล้วเรารู้จักกันได้ยังไง?" หลังจบประโยคอันแสนจะยืดยาวของผม หน้าตาของจูนเหมือนกึ่งยิ้มกึ่งร้องไห้ แต่สุดท้ายแล้วเธอกลับหัวเราะเสียงลั่นขึ้นมา
“ฮ่าๆๆๆ มิน่า เห็นเปลี่ยนเรื่องตลอดๆ”
"คือเราคิดว่าถ้าเราได้คุยอะไรมากขึ้น เราจะนึกออกน่ะ"
“เราเคยอยู่บ้านตรงข้ามกันไง ตอนเด็กๆเล่นด้วยกันออกจะบ่อย"
"หืมมมมมมม"
"หลังจากนั้น เราย้ายไปอยู่เมกาตอน ป.3 ไง"
"เมกาบางนา?"
"เมกาบางนา พ่องง อเมริกาเว้ย"
หลังจากจูนเฉลยให้ฟัง ความทรงจำของผมถูกย้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว ภาพของเด็กสาวผมเปียที่ผมหลอกให้เธอเลียขี้หมา (กูนี่เลวจริงๆ) ภาพที่เราเล่นตุ๊กตาพ่อแม่ลูก ไปจนถึงภาพที่ผมโบกมืออำลาเธอกับตุ๊กตาชักกี้ที่เธอทิ้งไว้ให้ดูต่างหาก เรื่องทั้งหมดนี้วิ่งเข้ามาในสมอง ไล่ไปตามเส้นประสาทความทรงจำของผม จูน จูน จูน เราจำเธอได้แล้วววววววววว ผมหันหน้าไปหาเธอ ส่งยิ้มให้ด้วยความภูมิใจ
“เราจำได้แล้วจูนนน เรานึกว่า... ”
“ไอ้สัสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส”
สิ้นเสียงด่า... เธอหักรถหลบหมาที่วิ่งตัดหน้ารถ และทำหน้าตาน่ารักราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนผมน่ะเหรอครับ ได้แต่นั่งอึ้งพลางนึกในใจว่าโดนเธอหลอกด่าอยู่หรือเปล่า
หลังจากนั้น บทสนทนาของเรากลับสู่ความทรงจำในอดีต เธอยังจำได้ดีว่าผมเคยหลอกให้เธอเลียขี้หมา และผมก็เพิ่งนึกออกว่าเคยโดนเธอหลอกให้กินอาหารปลาเหมือนกัน #อีจูนมึง
“หกโมงเย็น เจอกันนะ เดี๋ยวเรามารับ”
ก่อนจากกัน... จูนย้ำอีกครั้งถึงนัดของเราในค่ำคืนนี้
รถของจูนจอดหน้าบ้านของพ่อ, ตึกแถวสามชั้นในย่านใจกลางเมือง เดินทางสะดวกสบาย ห่างจากสถานีรถไฟความเร็วสูงไม่มากนัก และนี่คงเป็นเหตุผลที่มีคนมาขอเช่าอยู่เสมอ แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจจะแย่แค่ไหนก็ตาม
ผมเดินสำรวจดูสภาพของบ้านคร่าวๆ โชคดีเหมือนกันแฮะ ที่คนเช่ารายล่าสุดไม่ได้ทำอะไรไว้เละมาก จัดการทำความสะอาดไม่นานคงพอจะเข้าอยู่อาศัยชั่วคราวได้ ส่วนที่เหลือไว้ค่อยทำวันหลังละกัน เรายังอยู่อีกหลายวัน ค่อยๆทำไปก็ได้เนอะ
นึกถึงช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา - ลาออกจากงาน ถูกแฟนทิ้ง เคว้งคว้างจนต้องมาทำความสะอาดบ้านเช่า คิดแล้วก็นึกสมเพชตัวเองในใจว่า... นี่เหรอวะการตามหาความฝันของกู เอ๊ะ! หรือว่าแม่เราจะอ่านหนังสือที่บอกว่าจัดบ้านครั้งเดียวเปลี่ยนชีวิตมา เลยใช้วิธีนี้มาสอนเราใช่ไหม #เพ้อเจ้อ
ห้องนอนของผมอยู่บนชั้น 3 มันเป็นห้องนอนเก่าที่ถูกเอามาใช้เป็นห้องเก็บของ และผมต้องจัดการเคลียร์ของในห้องนี้ให้สะอาดเรียบร้อยก่อนที่ผู้เช่ารายใหม่จะเข้ามาอยู่สิ้นเดือนนี้
ในห้องมีชั้นวางหนังสือระเกะระกะกับอุปกรณ์เล็กๆน้อยๆ ลองไล่สายตาดู จะเห็นว่ามีหนังสือเก่าๆหลายเล่มหลายแนว ตั้งแต่แนวสร้างแรงบันดาลใจ ความร่ำรวย หนังสือทฤษฏีต่างๆ นิยาย ธรรมมะ ปรัชญา ฯลฯ
ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ชอบอ่านหนังสือ
แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่า
ในอนาคตหนังสือจะกลายเป็นของมีค่า
ผมยืนมองหนังสือหลายเล่มบนชั้น แล้วนึกถึงประโยคนี้ของพ่อขึ้นมา ใช่แล้วครับพ่อ!! หนังสือในห้องนี้บางเล่มอาจจะกลายเป็นของมีค่าสำหรับนักสะสมหนังสือ ถ้าหากผมค่อยๆเลือกเล่มที่สภาพยังดีอยู่ ดูๆไปแล้วน่าจะขายได้หลายเล่มเหมือนกัน และนี่คือช่องทางสร้างรายได้แบบง่ายๆที่ใครก็ทำได้ นั่นคือการขายทรัพย์สมบัติของพ่อแม่กินนั่นเอง
เป็นอีกหนึ่งครั้ง...
ที่ผมรู้สึกภูมิใจในความฉลาดของตัวเอง
หลังจากนั่งจัดเรียงหนังสือที่พอจะขายได้สักพัก ผมสังเกตเห็นชั้นหนังสือด้านในสุด มีสมุดบันทึกเล่มหนาสีดำวางคั่นอยู่ตรงกลาง ผมตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาเปิดดู
มันเป็นสมุดบันทึกที่มีแต่กระดาษเปล่าเต็มไปหมด เหมือนมีร่องรอยของการเขียนบันทึกอะไรบางอย่างไว้ เอ๊ะ.. หรือว่านี่แม่มคือ เดธโน้ตในตำนาน #ผิด
...ไม่รู้ว่ามีอะไรบางอย่างดลใจให้ผมหยิบสมุดบันทึกเล่มนั้นติดมือออกมาด้วย
---
หกโมงตรง
ผมยืนอยู่หน้าบ้านเวลาเดิม
สิ่งที่เพิ่มเติม คือ จูนในเสื้อเชิ้ตเข้ารูปสีขาว ตัดกับกางเกงยีนส์ขาสั้นสีดำ สีกางเกงขับผิวขาวของเธอให้ดูมีออร่ายิ่งกว่าที่ผมเคยเห็นในโฆษณาครีมผิวขาวไวใน 7 นาทีเสียอีก
“เอ้าๆๆๆ มองอะไรนิ”
“มองฟามขาว เอ้ย ไม่ใช่สิ คิดอยู่ว่าจูนจะพาเราไปไหน”
หกโมงครึ่ง
ผมยืนอยู่หน้าร้านอาหารข้างๆจูน
ร้านอาหารที่จูนเลือก ถูกจัดอันดับอยู่ใน 10 ร้านบรรยากาศดีที่ต้องไปกินก่อนตายประจำจังหวัด เทียนที่ตั้งบนโต๊ะถูกจุดขึ้นให้แสงสว่างสลัวๆ ดูแล้วคล้ายอยู่ในดินแดนชวนฝันสำหรับวัยรุ่นและวัยทำงานที่ต้องการความรู้สึกวาบหวามหัวใจ
จูนเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ในอเมริกา เธอพูดถึงสังคม เรื่องราว วัฒนธรรมที่ผมไม่เคยรู้จัก เธอถูกบังคับให้เริ่มทำงานตั้งแต่เด็กๆ เพราะพ่อของเธอเปิดร้านอาหารไทยที่นั่น ส่วนสาเหตุที่เธอกลับมาไทยในช่วงนี้ เพราะเธอต้องมาจัดการเรื่องขายที่ดินอะไรทำนองนี้แหละ
หลังจากที่พูดคุยกันไปสักพัก... ผมสังเกตเห็นความมั่นใจในตัวของจูน บางทีมันอาจจะมากกว่าผู้หญิงไทยทั่วไป อาจเพราะเธอก็เป็นอีกหนึ่งคนทีต้องสู้ชีวิตในดินแดนต่างแดน แต่ก็น่าแปลกเหมือนกันที่เธอพูดถึงความเหงาออกมาให้ผมได้ยินอยู่บ่อยๆ ผมไม่คิดเลยว่า ผู้หญิงที่มั่นใจในตัวเองแบบจูน จะมีความรู้สึกแบบนี้อยู่ด้วย
รูปลักษณ์ภายนอกของเธอทำให้ผู้ชายหลายคนในร้านเหลียวมอง ไม่แปลกหรอกครับ สาวสวยอย่างเธอมานั่งกินข้าวกับผู้ชายปอนๆอย่างผม ใครหลายคนย่อมแปลกใจไปตามๆ กัน
ผมเล่าเรื่องชีวิตกากๆในประเทศไทยของตัวเองให้จูนฟังเป็นการแลกเปลี่ยน ตั้งแต่เรื่องของพี่กานต์ การลาออกจากงาน (น่าจะ...ครั้งสุดท้าย) ถูกแฟร์บอกเลิก ความผิดหวังของแม่ จนถึงการมาอยู่บ้านเก่าของพ่อในวันนี้
ทุ่มสิบห้านาที
จูนเอ่ยถามสั้นๆ หลังจากที่ฟังเรื่องของผมจบ
"เก่าคิดว่าสิ่งที่เก่าคิดมันจะเป็นแบบนั้นเหรอ?"
"เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ"
"อื้มม แล้วความสุขในชีวิตของเก่าคืออะไร"
"ไม่รู้สิ เอาจริงๆเราก็ไม่รู้หรอกนะว่าเราต้องการอะไร"
"หรือว่าเก่ากำลังอยากได้ในสิ่งที่เก่าไม่ต้องการล่ะ"
"..."
อาหารรสชาติดีถูกลำเลียงเข้าสู่กระเพาะของเราทั้งคู่ แกล้มด้วยไวน์รสชาติเลิศหรูที่ผมไม่เคยรู้ซึ้งถึงความแตกต่างของมัน ปะปนกับเสียงคำถามในหัวเรื่อง "ความสุขในชีวิต" ที่ผมไม่รู้จะตอบเธอไปอย่างไร
"เราถามเรื่องส่วนตัวของจูนบ้างได้ไหม"
"ได้สิ ที่เมื่อกี้เล่าไปนี่ก็ส่วนตัวสุดๆแล้วนะ"
"ตอนนี้จูนมีเงินเก็บเท่าไร"
"ประมาณล้านกว่าๆได้มั้ง"
"มีอิสรภาพการเงินหรือยัง"
"มันคืออะไรเหรอ ชวนทำขายตรงหรือเปล่าเนี่ย”
"เอ่อ.. ก็แบบไม่ต้องทำงานแล้วมีเงินใช้"
"เราชอบทำงานไปมีเงินไปอ่ะ งั้นเราคงไม่มีอิสรภาพที่ว่า"
"แล้วทุกวันนี้มีความสุขดีไหม?"
"มีความสุขสิ ได้ทำงานที่เราโอเค ได้อยู่กับคนที่เรารัก สุขภาพก็โอเค"
"ถามตรงๆนะ ความสุขของจูนคืออะไรอ่ะ"
"กินอิ่ม นอนหลับ ทำงานได้ดี ไม่โดนด่า ไม่ป่วย พอละ"
"เป้าหมายของชีวิตล่ะ"
"ดูแลครอบครัวให้ดี กับหาแฟนดีๆสักคน อิอิ"
หลังจากฟังคำตอบของเธอ... ผมกลับรู้สึกแปลกๆในจิตใจ ทำไมความสุขของเธอช่างเรียบง่าย ไม่มีรสชาตของชีวิตอย่าง การประสบความสำเร็จ การมีอิสรภาพการเงิน หรือ การมีเป้าหมายใดๆ เลย แต่เท่าที่ดูก็เห็นเธอมีความสุขดีนะ ไม่เห็นจะรู้สึกอยากมีอยากเป็นเหมือนกับเราเลย
"เอางี้ดีกว่า... จูนมีความทุกข์บ้างไหมอ่ะ"
"แหม เรายังเป็นคนอยู่นะเก่า จะไม่มีได้ยังไงล่ะ"
เธอไม่ได้เล่าเรื่องความทุกข์ให้ผมฟังมากนัก บอกเพียงแต่ว่า “อย่ารู้เลย เดี๋ยวเราดราม่า” ก่อนที่เธอจะตบท้ายด้วยประโยคที่สุดจะกินใจผมว่า...
"คนทุกคนมีความทุกข์เหมือนกันหมดแหละเก่า จะมีเงินหรือไม่มีเงิน เราทุกคนก็ยังไม่รู้สึกพอใจในชีวิต เรายังบ่นๆๆ อยากจะดีขึ้น อยากจะมีนู่นนั่นนี่ เราก็ยังเป็นแบบนี้อยู่เหมือนกัน เพียงแต่เราเข้าใจมันว่าแค่ไหนที่เรารู้สึกโอเค และไม่โอเค ถ้าเราโอเคกับมันเมื่อไร ความทุกข์พวกนั้นมันก็กลายเป็นเรื่องที่ยอมรับได้เองแหละ"
หลังจากเธอพูดจบ... ผมรู้สึกคล้ายจะเข้าใจชีวิตมากขึ้น บางทีแล้วความสำเร็จที่เราค้นหามาตลอด มันอาจจะเป็นภาพมายาที่เราใช้หลอกตัวเองว่าสักวันเราจะพบกับความสุขก็ได้
"บางทีแล้วมันคงเหมือนกับนักไต่เขาที่พิชิตยอดเขาลูกแรก หลังจากที่เขาประสบความสำเร็จ สิ่งต่อมาคือการมองหายอดเขาที่สูงขึ้นเพื่อพิชิตต่อไป" ผมพูดประโยคนี้ออกมาเบาๆ
จูนยิ้มให้กับผมเบาๆ ก่อนที่จะเอ่ยออกมาว่า
“เก่ารู้ไหม เราเคยแอบชอบเก่าด้วยนะ”
“อะไรนะ...”
"เราบอกว่า เราเคยแอบชอบเก่า"
"ห๊ะ!"
สองทุ่มครึ่ง
ผมโดนผู้หญิงสารภาพรัก
“เก่าจำตอน ป.2 ได้ไหม ตอนที่เราโดนไอ้เต้ยแกล้ง แล้วเก่าเข้ามาห้ามจนโดนต่อย"
"เราจำได้แค่ว่าเราเคยถูกพ่อตีเพราะมีเรื่องกับเพื่อน”
“ตอนที่ย้ายบ้านเราตัดสินใจจะบอกว่าเราชอบเก่า"
"แล้วทำไมไม่บอกอ่ะ" (ผมนึกเสียดายอยู่ในใจ)
"แม่ห้ามไว้ บอกว่าเด็ก ป. 3 ไม่ควรมีความรัก เดี๋ยวก็เลิก"
"ฮ่ะๆๆๆๆๆ"
"ตอนนี้ไม่ได้ชอบนะ เล่าให้ฟังเฉยๆ"
"อื้อ รู้อยู่แล้วล่ะ"
สองทุ่มสามสิบสองนาที
ผมโดนบอกเลิกเป็นที่เรียบร้อย
ชั่วขณะหนึ่งผมแอบนึกในใจไปว่า ถ้าหากย้อนเวลาไปได้ ถ้าหากเธอไม่ต้องไปอเมริกา และถ้าหากพ่อผมยังไม่ตาย เราอาจจะกลายเป็นคู่รักที่มีความสุขที่ตั้งรกรากอยู่ในละแวกนี้ มีลูกด้วยกันสองคน เลี้ยงหมาหนึ่งตัว ฯลฯ #พอเถอะมึง
"เราแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่เราทำปัจจุบันให้ดีที่สุดได้" เสียงจากหนังสือฮาวทูสักเล่มหนึ่งแวปขึ้นมาในหัวของผม ใช่สิ ถึงแม้อดีตจะผ่านไปแล้ว ปัจจุบันนี่แหละคือสิ่งที่ผมต้องค้นหา หลังจากวันนี้เป็นต้นไป ผมจะเป็นคนใหม่ที่เรียนรู้และเข้าใจโลกให้มากขึ้น
สามทุ่มตรง
ผมเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ในพริบตา
หลังจากนั้น เราสองคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานจนล่วงเลยเวลา ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่พนักงานเสิร์ฟเดินมากระซิบบอกว่าร้านกำลังจะปิด ผมอยู่ในสภาพที่เมาพอกรึ่มๆ ส่วนจูนยังดูเหมือนแอลกอฮอล์ไม่สามารถทำอะไรเธอได้แม้แต่น้อย ผมถามเธอว่าขับรถไหวไหม เธอยิ้มให้แล้วบอกสั้นๆ ว่า "ดูสภาพตัวเองก่อนเถอะจ๊ะ" เล่นเอาผมยิ้มตอบกลับไปแบบเขินๆ
ตีหนึ่งสี่สิบห้า
ผมเริ่มไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรอยู่
ความรู้สึกเหมือนถูกใครสักคนแบกลงจากรถ... เสียงล้วงกระเป๋าหยิบกุญแจไขเข้าบ้าน เสียงบ่นข้างหูเสียงดังลั่น สลับกับเสียงอาเจียนของผมเป็นระยะ เสียงผมถูกโยนลงบนโซฟานิ่มๆ ความรู้สึกของกระดุมเสื้อกำลังถูกปลด เข็มขัดกางเกงที่ถูกถอดออกอย่างช้าๆ ตบท้ายด้วยความเย็นของผ้าขนหนูแปะทีี่ตรงหน้าที่ทำให้ผมลืมตาขึ้นมามองนาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงฝาผนัง
ตีสองครึ่ง
สติของผมดับวูบลง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in