“เก่า... ทำไมวันนี้ไม่ไปทำงานล่ะลูก?”
แม่เอ่ยถามหลังจากที่เห็นผมอยู่ในชุดนอนลายเท็ดดี้แบร์
สำหรับผมแล้ว “แม่” คือ ครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงแค่คนเดียว และผมเชื่อมาตลอดว่า แม่เป็นคนเดียวที่เข้าใจในสิ่งที่ผมคิดและสิ่งที่ผมฝัน ต่อให้ผู้หญิงทุกคนบนโลกนี้จะไม่เข้าใจผมก็ตาม ... เพราะแม่ก็คือแม่
“เก่าลาออกจากงานแล้วแม่”
ผมตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มที่มั่นใจแบบสุดๆ
แม่นิ่งไปสักพักใหญ่ ก่อนที่จะถามคำถามต่อไปว่า
“แล้วเก่าลาออกจากงานมาทำไมล่ะลูก”
“เก่าลาออกมาเพื่อค้นหาตัวเอง จะได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก และมีเวลาอยู่กับแม่ไง”
ผมรู้สึกแปลกๆกับปฏิกิริยาของแม่ขึ้นมาเล็กน้อย แต่ด้วยความมั่นใจว่าสิ่งที่ผมคิดมันเป็นเรื่องที่ถูกต้อง นี่แหละ... เหตุผลที่เราตัดสินใจลาออก แม่ต้องเข้าใจสิ เพราะมันเป็นความจำเป็นในชีวิตที่ทุกคนรู้ว่าสำคัญ แต่กลับไม่เคยใส่ใจที่จะทำมันก่อน
หลังจากได้ยินคำตอบของผม แม่ยังคงนิ่งเหมือนเดิม ไม่สิ...แม่นิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ และสิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาในการสนทนาระหว่างเรา มันคือความรู้สึกมาคุที่ผมไม่เคยเจอมานานแล้ว
ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา แม่ของผมทำหน้าที่เป็นทั้ง “แม่” และ “พ่อ” เธอหาเลี้ยงผมด้วยอาชีพ “รับจ้างซักผ้า” อาชีพที่ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยน่าจะภูมิใจกับมันสักเท่าไรนัก
หลายปีก่อนหน้านี้ บริษัทสตาร์ทอัพชื่อดังด้าน “รับจ้าง” ทั้งหลาย มาชวนแม่เข้าร่วมเป็นผู้ให้บริการ (Partner) ใน Application ของพวกเขา ด้วยคำพูดที่ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า การเริ่มต้นเป็น Partner กับพวกเขา มันจะช่วยให้แม่ติดต่อหาลูกค้ามาซักผ้าได้มากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น
พวกเขายังกำชับกับแม่อีกว่า สิ่งที่เขาทำนั้น มันเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงสังคม (Social Life) ให้เข้าถึงความสะดวกสบาย มีการจัดการที่ง่ายต่างๆ นานา ทำลายความยุ่งยากของระบบ (Disruption) เพื่ออนาคตที่คล่องตัว (Lean)
บางทีผมก็สงสัยนะ
ทำไมพวกมึงชอบพูดไทยคำอังกฤษคำกันนักวะ!
สุดท้ายแม่ตัดสินใจปฎิเสธพวกเขาไปทั้งหมด เพราะแม่ไม่เข้าใจโมเดลธุรกิจสตาร์ทอัพอะไรพรรค์นี้ แม่บอกแต่ว่าเธอถนัดแต่สตาร์ทมอเตอร์ไซค์ไปส่งผ้า และไม่อยากเสียเวลารับลูกค้าเพิ่ม เพราะที่มีอยู่มันก็เพียงพอจนแทบจะล้นมืออยู่แล้ว
"คุณป้าไม่เข้าใจโลก"
เป็นประโยคสุดท้ายที่พวกเขาพูดถึงแม่ผม
เวลาล่วงเลยผ่านมาจนถึงวันนี้ ธุรกิจหลายรายที่มาชักชวนแม่ในวันนั้น เลิกรา-ขยับขยาย-ย้ายไปทำอย่างอื่น เหลือแต่แม่ของผมที่ยังคงรับจ้างซักผ้าอยู่กับลูกค้าเดิมๆ ส่วนสิ่งที่เพิ่มเติมมาคือค่ากายภาพบำบัดอาการเจ็บหลังเป็นระยะๆ
ฟังดูแล้วก็น่าตลกนะครับ ... อาชีพที่ไม่มี Passion ไม่มี Mission ไม่มี Distinction อะไรทั้งนั้น มีเพียงแต่การใช้เครื่องซักผ้าและแรงขยี้ที่ติดตัวมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ กลับทำให้แม่ของผมนั้นเลี้ยงลูกชายคนหนึ่งมาจนเติบโตอย่างในทุกวันนี้
แม่บอกผมเสมอว่า
"ขอแค่เก่าเติบโตมาเป็นคนปกติธรรมดา แม่ก็พอใจแล้ว"
ผมได้ฟังแล้วก็รู้สึกว่า
ความสุขของแม่นั้นช่างเรียบง่ายเหลือเกิน
ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องราวของแม่ มันสอนอะไรผมบ้าง แต่ตอนนี้ผมรู้แค่ว่า ผมจะไม่ทำงานซักผ้าเหมือนกับแม่ มันก็แค่นั้นแหละ...
“ถ้าเก่าไม่ลงมือทำงาน เก่าจะค้นหาตัวเองได้ยังไง”
ผัวะ!!! คำถามเด็ดเหมือนอัพเปอร์คัทเข้าที่ปลายคาง
หลังจากที่พบกับเรื่องราวที่น่าสนใจของแม่ไปสักพัก
เรากลับมาพบกับชีวิตจริงของผมกันต่อดีกว่าครับ
“แต่ถ้าหากเก่าทำงานในสิ่งที่เก่าไม่ชอบแบบนี้ เก่าก็จะไม่มีเวลาค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบเหมือนกันนะแม่” ผมสวนกลับเธอไปด้วยความมั่นใจที่เริ่มจะสั่นคลอนเล็กๆ
อะแฮ่ม... ออกตัวไว้ก่อนนะครับ สำหรับคนที่ไม่เข้าใจสไตล์ของครอบครัวผม บทสนทนาของเราทั้งคู่อาจดูเหมือนรุนแรง แต่มันเป็นผลพวงจากการสั่งสอนของแม่ที่ให้ผมรู้จักกล้าที่จะพูดกับคนอื่นตรงๆด้วยเหตุผล เพื่อให้ไม่เกิดการสื่อสารที่ผิดพลาดจากอารมณ์ต่างๆ
สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าโชคดีที่เกิดเป็นลูกแม่ คือการที่เธอเป็นผู้หญิงที่ไม่ค่อยใช้อารมณ์ในการดำเนินชีวิตมากนัก ผิดกับผู้หญิงบางคนที่เพิ่งจะทิ้งผมไปเมื่อวันก่อน เฮ้ออออ แต่อย่าพูดถึงมันเลยครับ เดี๋ยวน้ำตาไหลแล้วผมจะพูดอะไรไม่รู้เรื่อง
“แล้วจะเอาเงินที่ไหนใช้ล่ะ กินอาหารทางผิวหนังเรอะ?”
“เก่าพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ถ้าวางแผนดีๆ คงอยู่ได้สัก 2-3 เดือน”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ ถ้าเงินหมดขึ้นมา จะยังไงต่อ?”
“ยังไม่ได้คิดเลย”
“แปลว่าหลังจากนั้น เก่าต้องขอเงินแม่ใช่ไหม?”
“ไม่ใช่แบบนั้นสิ เดี๋ยวเก่าก็หาทางได้แหละมั้ง”
“แล้วอะไรคือความหมายของคำว่า มีเวลาอยู่กับแม่”
“ถ้าเอาแต่ทำงาน ก็จะไม่มีเวลาดูแลแม่ไง”
“แล้วค้นหาตัวเองเสร็จ ไม่ต้องทำงานเหรอ”
“ทำงาน แต่เป็นงานที่รัก”
“แล้วงานที่รัก ไม่ต้องใช้เวลาหรอ”
“ใช้ แต่อาจจะไม่มากเท่างานที่เคยทำอยู่”
“รู้ได้ยังไงว่าไม่มากกว่าล่ะ มีงานไหนไม่ต้องใช้เวลา”
“ก็อาจจะต้องใช้บ้าง แต่ไม่เยอะนะ”
"แน่ใจได้ยังไง"
"ก็เค้าบอกกันว่า ถ้าคุณทำงานที่รัก คุณจะไม่ต้องทำงานตลอดชีวิต"
"งานอะไรที่ไม่ต้องทำตลอดชีวิต เป็นง่อย ?"
"ไม่ใช่สิ แม่ยวนแล้ว หมายถึงมันเป็น LifeStyle อ่ะ"
“แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่ทำคือสิ่งที่ใช่จริงๆ”
“ก็... ไม่รู้ ต้องลองทำมั้ง”
“ถ้าหากไม่ใช่ขึ้นมา แล้วจะทำยังไง”
“คงต้องหางานใหม่ หรือ สิ่งที่ชอบมั้ง”
“สรุปคือทำอะไรไม่คิดใช่ไหมล่ะ?”
“...”
เอ่อ...
ผมลืมบอกไปใช่ไหมครับว่า
สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคร้ายที่สุด
มันคือเวลาที่ถูกคำถามของแม่ต้อนให้จนมุม
เมื่อบทสนทนาดำเนินมาถึงจุดๆนี้ ผมเริ่มสับสนแล้วว่าสิ่งที่ผมคิดนั้นมันจะสวยงามอย่างที่วาดไว้ หรือมันจะจบแบบบรรลัยอย่างที่แม่กำลังทำนายไว้กันแน่!!!
ผมเป็นเด็กที่ขาดพ่อตั้งแต่เด็ก แต่ข้อดีของการเป็นลูกที่ไม่มีพ่อนั้น มันทำให้ผมรู้สึกชนะทุกครั้งที่ถูกใครด่าว่า “พ่อมึงตายยยยยยย” เพราะผมจะได้เล่นมุก “เฮ้ยมึงรู้ได้ไงวะ พ่อกูตายไปตั้งนานแล้ว” สวนกลับไปทันที และก็แน่นอนว่า ถ้ามุกนี้ไม่เรียกเสียงฮายิ่งกว่าเก่า ไอ้ห่านั่นก็ต้องขอโทษขอโพยแสดงความเสียใจกลับมาทุกทีสิน่า
ก่อนที่พ่อจะตายจากโลกนี้ไป แม่ของผมยังรับหน้าที่เป็นแม่บ้านเต็มตัว เธอจึงมีเวลาในการเลี้ยงดูผมตั้งแต่แรกเกิด แต่หลังจากที่พ่อจากไป แม่ก็ถูกเปลี่ยนเส้นทางให้ต้องมากลายเป็นหัวหน้าครอบครัวโดยที่ไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไรนัก
การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น ทำให้แม่ต้องกลายเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งในทุกสถานการณ์ แม่มักจะย้ำกับผมเสมอว่า การตัดสินใจที่ดีต้องไม่มีอารมณ์และความรู้สึกมาข้องเกี่ยว แต่ให้ใช้เพียงเหตุผลและหลักการที่ถูกต้อง
ถึงแม้ว่า... การตัดสินใจของผมในครั้งนี้
มันจะใช้อารมณ์มากเกินไป
แต่ผมก็เชื่อว่า…
มันคือเหตุผลที่ถูกต้องในการใช้ชีวิต
“เก่าจะเอาชีวิตมาผูกกับแม่ไปเรื่อยๆ ไม่ได้หรอกนะ ลูกต้องวางแผนชีวิตตัวเองให้เป็น โตแล้วนะ ไม่ใช่อยากจะนึกลาออกก็ออก ทำงานแป๊บๆแล้วก็เลิก เขาจะหาว่าลูกเป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อได้นะ”
“ต่อให้เก่าดูแลแม่ได้จริงๆ แม่ก็ไม่ได้ต้องการให้ลูกมาดูแลตลอดเวลาหรอก ลูกต้องมีชีวิตของตัวเองด้วย คนเราเกิดมาก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องการการดูแล เราทำได้ดีแค่ไหนคือแค่นั้น ชีวิตคนเรามันสั้นนะลูก ถ้าเก่าต้องอยู่กับแม่ตลอดชีวิต แล้วอะไรคือชีวิตของเก่าล่ะ?”
“สิ่งที่แม่อยากเห็น ไม่ใช่ให้ลูกมาดูแล ไม่ใช่ลูกมาทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตเพื่อแม่ แม่จะมีความสุขมากๆ ถ้าหากเส้นทางที่ลูกเลือกเดินนั้นมันคือสิ่งที่ลูกต้องการจริงๆ”
ถ้าเปรียบเทียบคำพูดของแฟร์เป็นปืนกลไฟ
คำพูดของแม่ผมคงเป็นปืนใหญ่ท่าอากาศยาน
ผมได้แต่ เงียบ นิ่ง จุก เพราะไม่รู้จะเอาอะไรไปเถียงแม่ดี ความรู้สึกในตอนนี้มีเพียงเสียงด่าทอตัวเองในหัวซ้ำๆ ว่า “กูบอกว่าอยากให้คนที่กูรักมีความสุข แต่กูยังไม่เคยรู้เลยว่าคนที่กูรักเขาต้องการอะไรกันแน่เลย”
“สรุปจะเอายังไงต่อ”
“เอ่อ... ก็คิดว่าจะออกเดินทางไปค้นหาตัวเอง หาที่เงียบๆอยู่กับตัวเองสักพัก”
“แล้วแบบนี้เงินเก็บ 2-3 เดือนมันจะพอใช้หรอ”
“อืม... ยังไม่รู้เลย”
“งั้นเอาแบบนี้ไหม เก่าลองไปอยู่ที่บ้านพ่อสักพักหนึ่ง”
“ห๊ะ อะไรนะ”
พอแม่พูดคำว่า "บ้านพ่อ" มันทำให้เรื่องราวสมัยเด็กตอนที่ไปโรงเรียนของผมย้อนกลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะตอนที่คุณครูถามว่า ผมอยากเป็นอะไร ผมตอบไปว่า “อยากเป็นดาราซุป'ตาร์ของเมืองไทยฮะ”
คุณครูยิ้มแล้วบอกผมว่า “ฝันได้นะ แต่ต้องตื่นขึ้นมาบ้าง” หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงหัวเราะดังลั่นของเพื่อนๆทั้งห้อง
ผมกลับมาถึงบ้าน ร้องไห้ และบอกพ่อกับแม่ว่าผมไม่อยากไปโรงเรียนอีกแล้ว เพราะไม่มีใครเข้าใจความต้องการของผมเลย ทุกคนเห็นผมเป็นตัวตลกที่มีฝันเพ้อเจ้อลมๆแล้งๆ
พ่อบอกผมว่า “ไม่ว่าหนูอยากจะเป็นอะไร หนูจะทำได้ ถ้าหนูต้องการมันจริงๆ” ส่วนแม่ก็นอนกอดผมตลอดทั้งคืนเพื่อปลอบใจ จนผมหลับไปท่ามกลางความรู้สึกอันแสนจะอบอุ่น
วันนั้น... ผมรู้สึกว่าบ้านหลังนั้นมีความสุขซ่อนอยู่
และมันไม่ได้เป็นแค่เพียงที่อยู่อาศัยธรรมดา
หลังจากที่พ่อตาย ผมกับแม่ย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพ ปล่อยบ้านหลังนั้นให้คนอื่นเช่าต่อ และทิ้งความทรงจำทั้งหมดที่มีให้กลายเป็นอดีตที่สวยงาม
“พอดีคนเช่าเก่าเค้าย้ายออก เห็นว่าจะว่างถึงสิ้นเดือนหน้า
เก่าลองไปอยู่ดูสักพักไหม เผื่อจะคิดอะไรดีๆ ออก”
“อืม... ก็ได้”
ผมตกปากรับคำแบบง่ายๆ พร้อมกับความมั่นใจในตัวเองที่หายไปหมดเกลี้ยง
ตอนแรก ผมวางแผนว่าจะลองออกไป Backpack ทั่วไทยตามที่คนส่วนใหญ่ในเวปไซด์ชื่อดังแนะนำ เพื่อที่ว่าจะได้ค้นหาตัวเองจากการเดินทางบ้างอะไรบ้าง แต่ด้วยคำแนะนำจากแม่ที่มีพลังมากกว่า กอปรกับเงินในกระเป๋าที่ร่อยหรอ มันเลยทำให้ผมตัดสินใจว่าคงจะต้องค้นหาตัวเองที่บ้านพ่อไปสักพัก
“ไปอยู่แล้วก็ทำความสะอาดด้วย ห้องข้างบน เก็บของไว้เยอะนะ ลองไปเก็บกลับมาดู ฝากจัดการบ้านให้เรียบร้อยด้วย คนเช่าใหม่เขาจะได้ไม่ลำบาก” แม่ย้ำอีกครั้งกับผมในคืนก่อนเดินทาง
“ครับ”
ผมรับคำแม่เบาๆ ก่อนที่จะรู้สึกว่าตัวเองโง่เง่าเสียเต็มประดา
ถ้าพูดถึงคำว่า “กลับบ้านเก่า” ผมเชื่อว่าหลายคนคงเข้าใจว่ามันหมายถึงความ “ตาย” เพื่อลาจากโลกนี้ไปและย้อนกลับไปหาชีวิตของตัวเองที่ “บ้านเก่า” ซึ่งมันอาจจะเป็นสวรรค์ หรือ นรก หรือที่ชอบๆ ตามแต่ละคนจะคิดถึงมัน
แต่บ้านเก่าหลังนี้สำหรับผมมันคือการเริ่มต้นใหม่
เพื่อให้ผมได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูระหว่างที่อยู่บนรถไฟความเร็วสูง แฟร์ยังคงไม่ติดต่อมา ไม่มีข้อความ ไม่มีอะไรที่แสดงให้เห็นว่าเรายังคบกันอยู่ สถานะความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่จบลงง่ายๆ คล้ายว่า 5 ปีที่ผ่านมามันไม่มีค่าอะไรเลย แม้แต่ความทรงจำ แต่ผมก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับเรืองนี้มากนัก หรือว่าเพราะผมกำลังมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าก็ไม่รู้ แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบไม่ใช่เหรอ?
รถไฟความเร็วสูง จอดหยุดพักก่อนเข้าสถานีปลายทาง
พร้อมเสียงประกาศดังขึ้นมาว่า “ระบบไฟฟ้าขัดข้อง”
ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง นึกถึงภาพของรถคันเก่าที่พ่อขับ แม่นั่งอยู่ข้างๆ และผมนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างเบาะ พ่อเป็นคนที่ชอบเล่าเรื่องต่างๆให้ผมฟัง ตั้งแต่การเมืองการปกครอง ตรรกะ ปรัชญา สังคม ไปจนถึงความโสมมของโลกนี้ แต่พ่อคงลืมไปว่าการเล่าเรื่องราวให้เด็กอายุไม่ถึง 10 ขวบฟังมันคงเหมือนคุณกำลังบังคับให้เขาอ่านหนังสือของมูราคามิในขณะที่เด็กคนอื่นกำลังมีชีวิตอยู่กับเครื่องมือวิเศษของโดราเอมอน
รู้สึกตัวอีกที... รถไฟก็เข้าจอดที่สถานีปลายทาง ผมเดินดูบรรยากาศเก่าๆ ด้านหน้าที่เคยใช้เป็นที่วิ่งเล่นกับเพื่อนสมัยเด็กๆ และความรู้สึกในช่วงเวลาเดิมๆ นั้นเหมือนย้อนเวลาเดินทางกลับมาหาผมอีกครั้งหนึ่ง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in