วันที่ 14
23.54น.
ปัทม์นั่งจ้องมองมือถือในอุ้งมือด้วยความรู้สึกตื่น ๆ วันนี้คะแนนสอบเขาออก เขาอยากจะเล่าให้คนในสายฟังใจจะขาด เขาจ้องมองมือถือสลับกับมองหน้านาฬิกาบนผนังเป็นรอบที่สาม และกำลังจะทำอีกครั้งเป็นรอบที่สี่ แต่เข็มนาทีก็ยังอยู่ที่ 54 แล้วในรอบที่ห้าที่เขาหันกลับไปมอง เข็มนาทีก็เลื่อนไปที่นาทีที่ 55 อย่างใจเย็น
ปัทม์ตื่นเต้นนิดหน่อย ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันที่ 14 ที่เราคุยกันแบบนี้แล้วก็เถอะ เขาเปลี่ยนอริยาบทจากการนั่งมองมือถือสลับกับหน้าปัดนาฬิกาในนาทีที่ 55 นั่นแหละ ปัทม์ลุกขึ้น แล้ววิ่งพรวดพราดไปที่ห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ก่อนจะวิ่งกลับมาในนาทีที่ 59 เขามองเข็มนาทีอย่างรอคอยก่อนจะหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม เขาละสายตาจากหน้าปัดนาฬิกา ก่อนจะคว้ามือถือมาวางไว้บนตัก
หน้าจอมือถือส่องแสงวาบขึ้นมา เขาเกือบจะสำลักน้ำอยู่แล้วตอนที่มันสั่นครืดคราดอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่บนตัก ปัทม์เช็ดคราบน้ำที่เลอะมุมปากลวก ๆ ก่อนจะกดรับสาย สายที่ช่วงนี้มักจะโทรมาแบบนี้เป็นประจำตั้งแต่ 14 วันก่อน
สายแปลก ๆ ที่ทำให้เวลาของเขาหยุดลงชั่วขณะ
ณ เวลานี้ ตอนเที่ยงคืนตรง
“ฮัลโหล...” ปัทม์เริ่มต้นทักทาย
“สวัสดีค่า” เสียงเล็ก ๆ จากปลายสายเอ่ยตอบรับอย่างสดใสเช่นกัน
-
วันที่ 1
วันแรกที่ปัทม์ได้คุยกับอีกฝ่าย เป็นวันที่พระจันทร์มืดสนิท เขานั่งหลังขดหลังแข็งปั่นงานไฟนอลส่งอาจารย์อย่างตั้งอกตั้งใจ เพราะว่ากำหนดส่งก็คือพรุ่งนี้ก่อนเที่ยง แล้วเขาก็ควรจะทำมันต่อให้เสร็จสักที ก่อนที่เขาจะติด E วิชานี้เข้าจริง ๆ น่ะนะ ปัทม์ยืดสองแขนบิดขี้เกียจอย่างอดไม่ไหว หลังเขาจะหักเข้าจริง ๆ สักวันถ้าเขายังทำแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ อยู่ แบบที่นั่งอยู่หน้าแล็ปท็อป 7 ชั่วโมง โดยมีสัดส่วนระหว่างการเล่นกับทำงานคือ 5 ต่อ 2
ปัทม์ขบคิดกับตัวเอง ถึงเวลาที่เขาควรจะปรับพฤติกรรมตัวเองจริง ๆ สินะ
เสียงสารพัดเสียงยังคงดังมาจากด้านนอก ย่านที่เขาอยู่มักจะเป็นแบบนี้เสมอ เพราะติดถนนใหญ่ เสียงรถที่วิ่งในเมือง แม้จะเป็นตอนกลางดึกแบบนี้ก็เลยยังมีอยู่ตลอด เสียงแมวที่ไล่จับกับแมวตัวอื่น เสียงกึก ๆ ของต้นไม้ที่เขาสุ่มเลือกซื้อมาตั้งไว้ที่ระเบียง เพราะว่าช่วงนี้ลมพายุค่อนข้างแรงมันเลยพัดกิ่งของต้นไม้เข้ากระทบกับกระจกแบบนั้น บางทีอาจจะได้เวลาตัดแต่งกิ่ง หรือไม่ก็ย้ายตำแหน่งกระถางต้นไม้นั่นซะแล้ว
ระหว่างที่เขากำลังพักสายตาจากการจ้องมองหน้าจอแล็ปท็อปเป็นเวลานาน เสียงมือถือที่เขาชาร์จแบตเตอรี่ทิ้งไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียงก็ดังขึ้น มันดังครืดคราดอยู่สามครั้ง ครั้งที่สี่เขาก็ลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือเพื่อเดินไปกดรับสาย
“ฮัลโหล…” ปัทม์กรอกเสียงลงไปเนือย ๆ
“…” ปลายสายเงียบ แต่เขาได้ยินเสียงกุกกักบางอย่าง
“…” ปัทม์เงียบ เขาหาวออกมารอบหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนมือถือขึ้นมาดูหน้าจอ ตัวเลขดิจิทัลบนหน้าจอกำลังตั้งใจนับเวลาการโทรฯ อย่างขันแข็ง เขาส่งเสียงอีกครั้ง “เอ่อ…ฮัลโหลค่ะ”
“…อ่า...ค..” ปลายสายตอบรับ แต่เสียงขาด ๆ จนเขาฟังไม่ได้ศัพท์เลยสักนิด
“คะ? อะไรนะคะ” ปัทม์งุนงงไม่น้อย “คุณ...โทรผิดหรือเปล่าคะ?”
“อ้อ พี่สาวเป็นคนโทรมานี่คะ?” ปลายสายตอบกลับมาในที่สุด
เสียงจากฝั่งนั้นนั้นชัดเจนราวกับกำลังพูดอยู่ตรงนี้ เขาได้ยินแม้กระทั่งเสียงเด็กคนอื่น ๆ กำลังตะโกนเพื่อวิ่งเล่นไล่จับ ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดของเครื่องบางอย่าง ได้ยินเสียงลมที่พัดผ่านไมค์ของมือถือ ได้ยินเสียงสุนัขตัวเล็ก ๆ กำลังเห่า ราวกับว่าเขายืนอยู่ที่นั่น ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยจริง ๆ
“หา ฉันโทรไปเหรอคะ” วูบนึงเขาเริ่มรู้สึกกลัวกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ เสียงจากฝั่งนั้นชัดเจนมากจนขนหัวเขาลุกซู่ เขามองรอบตัวอย่างหวาด ๆ “อ้อ งั้นฉันวางนะคะ”
“...” ปลายสายไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่ปัทม์ยังได้ยินเสียงจากฝั่งนั้นชัดเจน เสียงเอี๊ยดอ๊าดของเครื่องบางอย่างที่ว่ายังดังอยู่ เสียงหัวเราะ เสียงตะโกนของเด็กหลายสิบคน สมองของเขากู่ร้องให้เขารีบออกจากสถานการณ์ชวนขนหัวลุกนี่ให้เร็วที่สุด ทว่าเสียงเอี๊ยดอ๊าดจากฝั่งนั้นเหมือนจะดังถี่ขึ้น ชัดเจนมากขึ้นกว่าตอนแรกซะอีก
ปัทม์เลื่อนมือถือออกมาก่อนจะกดปุ่มวางสาย แต่...ไม่มี ไม่มีปุ่มวางสายในหน้าจอมือถือของเขา เหงื่อกาฬเริ่มซึมออกมาจากไรผมทั้งที่ห้องของปัทม์ยังเปิดแอร์เย็นเฉียบ สองมือเขาสั่นน้อย ๆ ขณะกำลังสัมผัสหน้าจอเพื่อให้ปุ่มวางสายปรากฏขึ้นมา แต่ความพยายามของเขาไม่สำเร็จ ปัทม์หัวเสียหน่อย ๆ เขาเกือบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ จนกระทั่งลานสายตาเขาไปปะทะกับนาฬิกาบนโต๊ะพอดี
เข็มนาทีมันหยุดอยู่ที่เที่ยงคืนตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
ปัทม์เลื่อนสายตากลับมาที่มือถือ ตัวเลขดิจิทัลที่แสดงเวลาการโทรยังนับเวลาการโทรฯ ต่อไป ผ่านมา 8 นาทีกว่า ๆ แล้ว เขาสูดลมหายใจอย่างติดขัด กระบอกตาร้อนผ่าว มือเขาสั่น เขาวางมือถือไปที่เตียงแล้วเดินไปเปิดม่าน ป้ายLEDที่ปกติจะขึ้นตัวอักษรโฆษณาเลื่อนไปมา ตอนนี้กลับไร้ความเคลื่อนไหว เขาแทบจะมองเห็นเศษใบไม้ที่ถูกลมพัดกรรโชกอย่างแรง ลอยเคว้งอยู่นิ่ง ๆ กลางอากาศ เขาเบือนหน้ากลับมาที่หน้าจอมือถืออีกครั้ง มองเลขดิจิทัลที่กำลังนับเวลาการโทรฯ ไปเรื่อย ๆ
“…” ปัทม์หลุดเสียงสะอื้นออกมาในที่สุด เสียงเอี๊ยดอ๊าดจากฝั่งนั้นลากยาว ก่อนจะหยุดลง
“…เอ่อ พี่สาวร้องไห้เหรอคะ” ปลายสายถามออกมาอย่างไม่แน่ใจนัก
“ฮื่อออ” ปัทม์สูดหายใจเข้า น้ำตาเขาร่วงลงมาหยดหนึ่ง ก่อนเขาจะปล่อยโฮออกมาจริง ๆ
“อ้าว ไม่ร้องไห้สิคะ กอด ๆ น้า” เสียงเล็ก ๆ ปลอบกลับมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนเสียงเอี๊ยดอ๊าดจากฝั่งนั้นจะดังขึ้นอีกรอบ คราวนี้ปัทม์ร้องไห้ ร้องไห้จริง ๆ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาร้องไห้เพราะอะไร เพราะความกลัว เพราะความเครียดที่สะสมกดทับสองบ่าของเขาอยู่แล้วในช่วงนี้ หรือเพราะคำปลอบประโลมที่ไร้เดียงสาจากสายปริศนานั่นกันแน่
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in