ถ้าเขียนรวมเป็นบทความเดียวคงไม่พอแน่ๆ เลยขอแยกเป็นห้าวันแรกกับห้าวันหลังของการหยุดยาวครั้งนี้ดีกว่า
May 2
ไม่ได้ออกไปไหนเลย เมื่อคืนนอนตีสี่แล้วกว่าจะตื่นก็นะ 55555555 คือเป็นคนที่ตื่นสายมากๆแบบแก้ยาก พออยู่คนเดียวแล้วปล่อยตัวจริงๆ ตื่นสายไปเรื่อย บางทีตื่นบ่ายโมงบ่ายสองเลยด้วย ถึงจะตั้งปลุกตอนแปดโมงงี้ก็จะเลื่อนเวลาปลุกไปเรื่อยจนกว่าตัวเองจะรู้สึกผิด สุดท้ายแพลนวันนั้นๆก็จะพังเพราะความขี้เซาของตัวเอง วันนี้ก็ออกนอกบ้านไปแค่เดินไปแถวสถานีสามนาทีเพื่อกินข้าวมื้อแรกของวันตอนเกือบสี่โมง ที่เหลือก็กลับมานอนอ่านนิยาย ทำการบ้าน เซนเซให้การบ้านมาเกือบสิบหน้า ไม่เปิดโอกาสให้หยุดแบบจริงจังเลย
May 3 Yokohamaหลังจากอยู่คนเดียวมา5วันรู้สึกว่าตัวเองควรไปไหนมาไหนกับเพื่อนบ้าง เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้าเลยทักไลน์ไปหาเพื่อนคนไต้หวันชวนมาเที่ยวด้วยกัน ก็นัดเจอกันที่สถานีแถวอพาร์ทเมนต์เพื่อนเพราะเราต้องแวะไปเปลี่ยนสายรถไฟตรงนั้นอยู่แล้ว
มาถึงก็เจอขบวนพาเหรด 30กว่าขบวนต่อๆกัน ได้ดูการแสดงต่างๆ มีทั้งดุริยางศ์ คัลเลอร์การ์ด เชียร์ลีดเดอร์ ฟีลลิ่งเหมือนกีฬาสีย่อมๆ เลย พอได้ดูอะไรแบบนี้อยู่ๆก็รู้สึกอิจฉาในความพัฒนาแล้วของประเทศนี้จัง ได้หยุดยาวแท้ๆนึกว่าเขาจะอยากไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือต่างประเทศกัน แต่ก็ยังมีนักเรียน ผู้ใหญ่หลายคนมาเข้าร่วมเดินพาเหรดครั้งนี้ให้เราได้ดูฟรีๆ แต่งตัวกันอย่างเต็มที่
ตอนเที่ยงก็ไปกินข้าวที่ร้านใน Red Brick Warehouse ไม่ค่อยมีร้านให้เลือกเยอะข้างในตึก ร้านนี้ดูโอเคสุดก็เลยยืนรอคิวไปประมาณ10นาที ร้านเป็นแนว bar&bistro หรูๆ ราคาอาหารก็เลยแรงตามไปด้วย สั่งสเต็กเนื้อไป 1500 เยน ประมาณ 450 บาทได้ จานเล็กนิดเดียวเอง ราคาเท่านี้ไปกินบุฟเฟ่ต์แซลมอนที่ไทยได้เลยนะ TT_TT พอกินเสร็จก็นั่งคุยกับเพื่อนไต้หวันเรื่องทั่วไป เช่นเรื่องกีฬา โรงเรียนตอนม.ปลาย เขาเล่าว่าที่ม.วาเซดะ มีกิจกรรมชมรมให้ทำเยอะมาก ทั้ง ice hockey, ski มีทริปของชมรมเพื่อไปทำกิจกรรมพวกนี้ด้วย ฟังแล้วอิจฉามาก เราก็เล่าเรื่องเรียนเต้นลีลาศตอนม.6 ให้ฟัง แล้วก็มีสิ่งที่เพิ่งค้นพบก็คือสกุลเงินไต้หวันกับไทยค่อนข้างคล้ายกัน 1 บาทไทยมีค่าใกล้เคียงกับ 1 ดอลล่าร์ไต้หวัน เวลาจะคุยอะไรกันที่เกี่ยวข้องกับราคาของที่ประเทศตัวเอง ก็ไม่ต้องเสียเวลาแปลงหน่วยเป็นเยนเลย
บ่ายสามโมงก็ออกจากร้านอาหาร ไปเดินเทศกาล Fruhlingfest ที่มีเบียร์เยอรมันให้เลือกหลายแบรนด์เลย (เทศกาลนี้เซนเซเป็นคนบอกมา เรากับเพื่อนเลยเหมือนคุยๆกันไว้ก่อนหน้านี้ว่าไว้มาด้วยกัน)เป็นครั้งแรกที่ดื่มแอลกอฮอล์ที่นี่ ยืนอ่านป้ายโฆษณาเบียร์นานมากเพราะเลือกไม่ถูกว่าจะลองของตัวไหนดี 1แก้วเล็กๆ ราคาตั้ง 1000เยน (290บาท) เลยต้องตั้งใจเลือกอย่างพิถีพิถัน 5555555 สุดท้ายก็เลือกกินของWeihenstephaner รสชาติต่างกับเบียร์ไทยที่เคยชิมของพ่อเยอะเลย ของไทยขมมาก ไม่ใช่อันนี้ไม่ขมนะ มันขมแต่ก็ขมแบบกินได้อ่ะ
วันนี้ได้เดินเที่ยวไม่เยอะเท่าไหร่ เหมือนแค่มา hang out มากกว่า แต่ก็สนุกไปอีกแบบ เหมือนเราได้รู้จักเพื่อนมากขึ้นจากการนั่งคุยกัน แต่เอาจริงก็ไม่เรียกว่าสนิท มันก็มีบางทีที่ไม่มีใครพูดอะไร แต่เราก็ไม่อึดอัดกับความเงียบนั้น ออกจาก Yokohama เกือบทุ่มนึง แวะมากินสเต็กหมูที่ชิบูย่าด้วยกัน(จริงๆเมื่อเที่ยงเพิ่งกินสเต็กเนื้อไปเอง)ที่ร้านที่เพื่อนแนะนำ แล้วซักสามทุ่มครึ่งก็แยกย้ายกันกลับ
May 4 Yanesen & Jimbocho & Kagurazaka
สามย่านในวันเดียว จัดเต็มมาก ย่านแรกที่ไปคือ Yanesen เป็นย่านที่ไม่ได้ดังเหมือนชิบูย่า ชินจุกุเลย แต่พอมาถึงก็ตกใจในฝูงชนมาก ชาวต่างชาติเยอะ เหมือนจะมีร้านขายขนมดังๆหลายร้านอยู่แถวนี้เพราะเห็นจากที่คนต่อคิวยาว เราซื้อแค่ขนมของฝากกลับมากินเองแค่นั้น แถวนี้มี Fujimizaka Slope ที่เค้าว่ากันว่าจะมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้จากทางลาดตรงนั้น แต่วันที่เราไปมองไม่เห็นเลย หรือมองผิดฝั่งไม่รู้
เดินตรงนี้ไม่นานก็นั่งรถไฟมาที่สถานี Iidabashi เป็นย่านที่เรียกว่า Kagurazaka แวะมา Tokyo Daijingu Shrine กะจะมาขอพรให้กดบัตรคอนnct ได้ แต่คนต่อคิวเยอะจนท้อเลยไม่เอา เลยไปย่านการค้า เดินดูของไปเรื่อยแต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไร เดินจนโผล่มาที่ย่าน Jimbocho ที่ขึ้นชื่อด้านหนังสือมือสอง เราอยากมาดูหนังสือภาษาอังกฤษที่นี่ เผื่อได้เล่มอะไรน่าสนใจกลับมา แต่ปรากฏว่าร้านนั้นปิดช่วงโกลเด้นวีค ร้านหนังสือแถวนั้นส่วนใหญ่ก็ยังเปิดอยู่ แต่ว่าหนังสือในร้านพวกนั้น 99% เป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลย แต่ย่านนี้ไม่ได้มีแค่หนังสือเท่านั้น ม่ีทั้งพวกของสะสมเก่าๆเกี่ยวกับหนัง แผ่นซีดี โปสเตอร์ แมกกาซีน ขากลับเราแวะมาเปลี่ยนสายรถไฟที่ชินจุกุ เลยเดินทะลุผ่านย่าน Kabukicho ที่เค้าว่ากันว่าเป็นย่านอันตราย มีโฮสต์คลับ ขายบริการ ยากูซ่า เราเคยมาที่นี่สองสามครั้งตอนกลางวันเพื่อมากินราเมงก็ไม่รู้สึกว่ามันอันตรายอะไร ตอนกลางคืนมีนักท่องเที่ยวเยอะด้วย ถึงแม้จะเป็นผู้หญิงมาคนเดียวเราก็ยังรู้สึกปลอดภัย แต่เราก็เจอผู้ชายญี่ปุ่นเข้ามาชวนคุยเพราะเค้าเห็นเราถือกล้องสองตัว (ดิจิตอลกับฟิล์ม) พอเราบอกไปว่าเป็นชาวต่างชาติ เค้าก็อวยพรว่าขอให้ถ่ายรูปได้สวยๆ แล้วก็ไปเลย งงมากแต่ก็แอบกลัวๆ
May 5 Yokohama (again)
ถึงแม้เมื่อวานซืนเราจะเพิ่งไปYokohamaกับเพื่อนมา แต่รอบนั้นเราแทบไม่ได้เที่ยวเลย วันนี้เลยมาคนเดียวอีกรอบนึง เพราะ Yokohama เป็นเมืองที่เราชอบที่สุดตั้งแต่เที่ยวมา มันห่างจากโตเกียวแค่ชั่วโมงครึ่ง แถมการเดินทางก็สะดวกด้วย
เรามา Chinatown ที่คนพลุกพล่าน as always ของกินในย่านนี้ก็แพงพอควร ซาลาเปาลูกใหญ่ลูกเดียวราคา 300-500 เยนเลย บ้าไปแล้ว มีร้านชานมไข่มุกเต็มไปหมด
ตอนทุ่มนึง มีฉายหนังกลางแปลง วันนี้มีฉาย Baby Driver ที่เราเคยดูค้างไว้ในเน็ต พอตอนไปถึงคนเยอะมาก ต้องนั่งเลยซุ้มทางเข้างานเลย รอบข้างมีแต่คนมากกันเป็นคู่ เตรียมเสื่อเตรียมอาหารกันมาจริงจัง เราก็นั่งคนเดียวแบบพยายามไม่สนใจอะไร บางทีเสียงของหนังติดๆขัด ไม่ค่อยได้ยินเสียงด้วยเพราะนั่งไกล เรานั่งดูไปประมาณครึ่งชั่วโมงจนคิดว่ายังไงก็ดูไม่รู้เรื่องเลยกลับบ้านดีกว่า
เรามา Kamakura กับเพือนคนไต้หวันและเพื่อนฟินแลนด์ นัดเจอกันที่สถานีชินจุกุ นั่งรถไฟไปใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึง เป็นครั้งที่สอนที่มา hang out ด้วยกันสามคน เราได้รู้เรื่องราวใหม่ๆเยอะเลย เหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมกัน วันนี้ก็เหมือนกับมาใช้เวลาด้วยกันมากกว่ามาเที่ยวจริงๆ ได้มาดู Daibutsu ที่เห็นรูปในเน็ตมานานแล้วกับตา
เดินไปเรื่อยๆ แวะวัดสองที่ แล้วก็มาย่านการค้า ซื้อไอศกรีมกินด้วยกัน คุยเล่นเฮฮาไปเรื่อย คนฟินแลนด์รู้เรื่องเอเชียเยอะมาก เขาก็เล่าอะไรให้ฟังหลายอย่างเลย
พอกลับจาก Kamakura ก็มากินราเมงข้อสอบ Ichiran ที่ชินจุกุด้วยกัน แล้วก็ไปถ่ายรูป purikura ที่เป็นตู้ถ่ายรูปแบบแบ๊วๆตาโตครั้งแรกในชีวิต รูปออกมาเหมือนเอเลี่ยนมากๆ 5555555 หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เราก็กลับมาอ่านหนังสือต่อ พรุ่งนี้เปิดเรียนไปก็มีสอบแกรมม่าเลย
Golden Week 10 วันก็เป็นราวๆนี้ เวลาผ่านมาเร็วดี เหมือนจะได้เที่ยวเยอะแต่ก็ไม่เยอะขนาดนั้น เสียดายที่ตัวเองหยุดอยู่บ้านตั้งสองวัน เวลานั้นควรออกไปเที่ยวอ่ะจริง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in