เราอกหัก.
ใช่...ได้ยินไม่ผิดหรอก เราอกหัก และด้วยความไม่อยากจะหมกตัวเองร้องไห้อยู่ที่ห้อง เราเลยตอบตกลงคำชวนของเพื่อนสนิทและออกเดินทางไป MOCA หรือ Museum of Contemporary Art ด้วยกัน (ที่ใช้คำว่าออกเดินทางเพราะมันไกลบ้านเหลือเกิน คนนึงอยู่ศรีนครินทร์ อีกคนอยู่คลองตัน)
จริงๆแล้วการเดินทางไป MOCA ไม่ใช่เรื่องยากอะไรหากคุณขึ้นรถไฟฟ้าไปลงหมอชิตหรือขึ้นmrtไปลงจุตจักรและต่อแท็กซี่ แต่พวกเรานั้นเลือกขับรถกันไปทั้งๆที่ไม่รู้เส้นทางเลยแม้แต่น้อย ทำให้ทุลักทุเลพอสมควรกว่าจะไปถึงได้
และรู้สึกว่าเลือกไม่ผิดจริงๆที่เลือกขับรถมา เพราะถ้าหากนั่งแท็กซี่มา..เราจะไม่มีวันรู้ว่าทางเดินขึ้นมาจากลานจอดรถมันจะเท่และมินิมอลเบอร์นี้
เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายทางเข้าและบูธซื้อตั๋วเพราะในตอนแรกไม่ได้ตั้งใจที่จะเขียนรีวิวลงในนี้ แต่พิพิธภัณฑ์ข้างในกว้างและดีกว่าที่คิดไว้มาก เลยตัดสินใจที่จะมาแบ่งปันกับหลายๆคนที่อาจไม่เคยไปหรือไปแล้วแต่อยากไปอีกก็อ่านได้นะ เพราะนิทรรศการมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆอยู่แล้ว
หลังจากเสียค่าเข้าไปคนละ100บาทถ้วน (ใช้บัตรนักศึกษา ราคาปกติ250) พวกเราตัดสินใจเริ่มเดินดูจากชั้นบนก่อนและค่อยไล่ลงมา
ชั้น5จะเป็นศิลปะร่วมสมัยจากประเทศอื่น และจะมีจุดเด่นเป็นห้อง Richard Green ซึ่งรวบรวมจิตรกรรมจากยุโรปในยุควิคตอเรีย แต่เสียดายที่ไม่สามารถถ่ายรูปห้อง Richard Green มาให้ดูได้เพราะมันเป็นโซนห้ามถ่าย ใครไปก็ระวังหน่อยนะก้ะ
ชั้น4จะเป็นศิลปะร่วมสมัยจากจิตรกรไทย ห้องสีแดงในรูปที่เราลงจะเป็นผลงานของคุณถวัลย์ ดัชนี (ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์) แต่นอกจากนี้ก็ยังมีผลงานของศิลปินไทยท่านอื่นๆมากมายให้ชม
อีกจุดเด่นของชั้น4คือสะพานข้ามจักรวาล จริงๆมันก็ไม่ได้พิเศษอะไรมากนักแต่ระหว่างที่เดินอยู่ ด้วยบรรยากาศมืดๆและเสียงรอบข้างที่ค่อนข้างเงียบ มันก็ทำให้คิดอะไรได้เยอะขึ้นทีเดียว
เมื่อข้ามสะพานมาแล้วก็จะโผล่มาเจอกับห้องไตรภูมิ หรือคือเป็นงานศิลปะที่บอกเล่าการเวียนว่ายตายเกิดนั่นเอง
ชั้น3จะเป็นนิทรรศการถาวรและจะมีจุดเด่นคือเรือนนางพิมซึ่งจัดแสดงงานจิตรกรรมสองยุคสมัย ที่เล่าเรื่องราวของนางพิมพิลาไลยจากวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน แต่เสียดายที่เราไม่ได้เข้าชมเพราะมันกำลังปิดปรับปรุง เลยไม่มีรูปชั้นนี้มาให้ดูเท่าไร
ชั้น2จะเป็นศิลปะแนวเสียดสีสังคมเสียส่วนใหญ่และจะเป็นนิทรรศการถาวร โดนส่วนตัวแล้วเราชอบชั้นนี้ที่สุดเพราะมันค่อนข้างสะท้อนสังคมได้ดี บางรูปนี่ก็ยืนตีความเพลินเลยล่ะ
ส่วนสุดท้าย...ชั้น1จะมีห้องนิทรรศการทั้งหมดสี่ห้อง จะเป็นนิทรรศการหมุนเวียนสองห้องและนิทรรศการถาวรอีกสองห้อง ที่พิเศษสำหรับเรามากๆไม่ใช่ห้องนิทรรศการถาวรแต่เป็นนิทรรศการหมุนเวียนที่กำลังจัดตอนนี้ต่างหาก
นิทรรศการดังกล่าวมีชื่อว่า King of Kings..ซึ่งจะมีทั้งภาพถ่ายและภาพวาดของในหลวงรัชกาลที่ 9 แม้พื้นที่จัดนิทรรศการจะไม่กว้างมากนักแต่เรารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่เปี่ยมล้น มันเป็นนิทรรศการที่อบอุ่นหัวใจมากๆในความคิดของเรา แทนที่จะรู้สึกเศร้าโศก..เรากลับรู้สึกว่าพระองค์ยังไม่ไปไหน ยังคอยมองพวกเราจากข้างบนฟ้า เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน
นอกจากนี้ทางพิพิธภัณฑ์ยังแจกภาพพระบรมฉายาลักษณ์ฟรีด้วยนะ เราเลยหยิบมาหนึ่งใบเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก ไม่แน่ใจว่าจะแจกไปเรื่อยๆจนหมดนิทรรศการเลยหรือว่ามีจำนวนจำกัด ลองไปดูกันนะ
จบแล้วกับการพาทัวร์พิพิธภัณฑ์MOCA หวังว่าทุกคนจะเอนจอยอ่านเหมือนที่เราเอนจอยเขียนรีวิวนี้ขึ้นมานะคะ หากมีข้อมูลตรงไหนผิดพลาดก็ท้วงติงได้เลยนะ
สุดท้ายนี้ขอลาไปด้วยคติของทางพิพิธภัณฑ์...
Ars longa, vita brevis :-)
(ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in