1
“คุณเดินทางคนเดียวหรือ” เขาถาม ขณะเราผลัดกันกัดกินพิซซ่าราคาสามยูโรแผ่นนั้นร่วมกัน
ที่จริง เราต่างเป็นคนแปลกหน้า
ฝนเวียนนา (Vienna) กระหน่ำหนัก ความหนาวเหน็บเสียดกระดูก เราจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากนั่งบนขั้นบันไดหินอ่อนขาวขุ่นที่ตะไคร่และเมือกราจับข้นมานานปี บางทีอาจเริ่มจับนับตั้งแต่เกือกคู่นั้นของเบโธเฟนเคยเหยียบย่ำ มันเป็นบันไดสี่เหลี่ยมเวียนวกขึ้นซับซ้อน น้ำหยดใส่ปล่องรูลึกตรงกลางทีละหยด พื้นจึงเฉอะแฉะเจิ่งนอง ผมหนาวสั่นกว่าที่เคยหนาว
ที่จริงมันเป็นฤดูร้อน
เราอยู่ในบ้านที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเบโธเฟน
ในเวียนนา เขาเคยย้ายบ้านมามากกว่าสามสิบครั้ง ไม่นับตามนอกเมืองที่เขาไปเช่าในฤดูร้อนเพื่อชื่นชมธรรมชาติ ตลอดสามสิบห้าปีที่อยู่ในเวียนนา เบโธเฟนย้ายบ้านมากกว่าเจ็ดสิบครั้ง
แต่นั่นยังไม่ใช่นิสัยแปลกประหลาดที่สุดของเขา
ผมพยักหน้าตอบคำถามอย่างลังเล ใช่กระมัง—จะเรียกว่าวันนี้ผมเดินทางคนเดียวก็คงได้ แล้วผมก็รับพิซซ่าแผ่นนั้นกลับมากัดกิน แม้นาทีนี้ผมจะคิดถึงซัคเคอร์เค้ก (ที่เคยเรียกอย่างไทยๆ ว่า ซาเชอร์เค้กมาตลอดชีวิต) และเอสเพรสโซร้อนๆ ใส่วิปครีมเย็นๆ ตำรับเวียนนามากเพียงใด แต่สายฝนก็ไม่เปิดโอกาสให้ผมถลันถลาออกไปบนถนนริงสตราสเซ่อ (Ringstrasse) ได้ ผมจึงต้องนั่งงันงกนิ่งเงียบในความหนาวอยู่ที่นี่—กับเขาคนนี้ไปพลางๆ ก่อน
ฝนตกหนักมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
วันนี้—ขณะนี้—ผมเดินทางคนเดียว
แต่ผมไม่ได้บอกเขาว่า—ไม่ใช่เมื่อเช้านี้หรอก...
แรกทีเดียว เราต่างอาศัยความรื่นรมย์ในดนตรีและปรัชญาของเบโธเฟนมาประทัง ข้างบนที่เคยเป็น ‘บ้าน’ ของเบโธเฟนนั้นเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ มีเปียโนเก่าแก่อายุนับร้อยปีตั้งอยู่
“ไม่ใช่ตัวเก่าของเบโธเฟนหรอก”
เขาบอก เขาก็เหมือนผม เป็นหนึ่งในผู้ร่วมชมพิพิธภัณฑ์เล็กๆ แห่งนี้ บนนั้นไม่ได้มีเพียงเปียโน ทว่ายังมีตู้ใส่ข้าวของของเบโธเฟน รวมทั้งโน้ตเพลงเก่าแก่ที่เขียนด้วยลายมือของเขา
ครั้นพิพิธภัณฑ์ปิดลงเมื่อบ่ายสี่โมงครึ่ง เขากับผม—เราติดฝนอยู่ที่นี่, เหมือนๆ กัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in