วันนี้ พิเศษนิดหน่อย เพราะฉันมีนัดเจอกับเพื่อนของฉันตอนเย็น เพราะฉะนั้นพวกเราจึึงยังพอมีเวลาออกลาดตระเวนได้อยู่ แพลนสำหรับวันนี้ก็คือ ฉันจะพาลูกเรือไปเดินเล่นที่พระราชวังคยองบกกุงและแวะเที่ยวบ้านเก่าของฉันเมื่อครั้งก่อน
สถานีแรกของเราคือ พระราชวังคยองบกกุง (Gyeong-bok-gung Palace) สนนราคาค่าเข้าอยู่ที่สามพันวอน เมื่อตอนที่ก้าวเท้าเข้าไป เป็นเวลาเกือบๆ สิบเอ็ดโมง ยังพอโชคดีให้ทันดูโชว์องครักษ์ เสื้อผ้าสีสดมาก มีเป่าหอยสังค์ด้วย เท่ห์จริงๆจากนั้นพวกเราก็เดินเตร็ดเตร่ ปรากฏมีการแสดงอะไรสักอย่าง ซึ่งเป็นการจำลองเวลาพระราชาจะออกเสด็จ หรือตรวจเยี่ยมละมั้ง ผู้ที่แสดงเป็นพระราชาแสดงสีหน้าได้ดีเยี่ยม ทำเอาลูกเรือของฉันถึงกับอิน เห็นเพ้อๆว่า หน้าตาเค้าดูใจดีมาก อินไปอีก
จากนั้นเราก็ออกเดิน เดิน เดิน แล้วก็เดิน ถ่ายรูปทุกซอกทุกมุม หลังจากเมื่อยล้า หมดแรงจะพูดจะจากันแล้ว เราตัดสินใจออกจากพระราชวัง มุ่งหน้าสู่ถนนอินซาดงไปหาอะไรกินกันดีกว่า หิวข้าวด้วย เมาแดดด้วย
ด้วยวันที่เราไปนั้นเป็นวันอาทิตย์ ถนนอินซาดง (Insadong) เลยดูจะคึกคักเป็นพิเศษลูกเรือฉันเกิดอาการอยากจะช้อปขึ้นมาตะหงิดๆ จนฉันต้องเตือนเธอไปตลอดทางว่า ไปหาอะไรกินก่อนมั้ย ฉันหิวมากจนจะกินหมีได้ทั้งตัวแล้ว ฉันซึ่งทนสายตาวิงวอนของเธอไม่ไหว ต้องหาร้านที่ขายหมูย่างให้เธออีกรอบ หวยไปออกร้านนึงที่ฉันอ่านได้ว่ามีบริการ แต่เมนูไม่มีรูปภาพประกอบใดๆ ทั้งสิ้น เราสั่งมาแบบกล่องข้าวน้อยฆ่าแม่ เพราะนึกว่าจานจะเล็กเหมือนร้านที่ฮงแด ที่ร้านนั้นเราสั่งมาสามจาน เราเลยคิดเอาเองและสั่งมาสามชุด แต่ทางร้านเสิร์ฟมาหนึ่งถาดซึ่งพูนไปด้วยสามชั้นหนาๆ ขอเน้นว่าหนาๆ แค่เห็น ... เส้นเลือดในจมูกก็พร้อมจะจับมือสามัคคีกันแตกออกมาเป็นเลือดกำเดาให้ได้ กินกันหมดก็บ้า เดินออกจากร้านด้วยความเลี่ยน แล้วยังแถมมาด้วยอาการเจ็บคอ อาการที่เกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อฉันทานอะไรที่มันมากๆ ลางไม่ดีแล้วไงล่ะ
ตัดสินใจเดินย่อยอาหารกัน ก่อนที่เราจะชอปปิ้ง ฉันชวนลูกเรือไปไหว้พระที่วัดกันก่อน แล้วระหว่างทางที่เดินไป ณ ลานโล่งๆตรงหัวมุมถนน ในวันนี้มีซุ้มให้เช่าชุดฮันบกถ่ายรูป สนนราคาอยู่ที่สามพันวอนต่อชุด เราเลยเลือกกันมาคนละชุด พี่ที่ร้านพูดคุยกับลูกเรือของฉันด้วยภาษาอังกฤษคล่องปร๋อ คงไม่ต้องบอกสินะ ว่าเราถ่ายกันไปกี่รูป ใช้เวลากันไปกี่นาน
ได้เวลาไปวัดโชเกซา (Jogyesa Temple) กันแล้ววัดนี้ได้ยินคำร่ำลือมานานว่า ศักดิ์สิทธิ์ คราวก่อนที่ฉันได้มาฉันอธิษฐานไว้หลายอย่าง บางอย่างฉันได้รับแล้ว แต่บางอย่างฉันยังไม่ได้ โลภเกินไปสินะ เราเดินไปซื้อเทียนเหมือนตอนไปวัดพงอึนซา ราคาเท่ากันเลย เราไหว้พระจุดเทียน ขอพรคราวนี้ไม่ได้ขอมากเหมือนอย่างคราวก่อน พวกเราออกจากวัดด้วยหัวใจเบาๆ
และแล้ว ก็มาถึงช่วงละลายทรัพท์กัน อินซาดงเป็นแหล่งรวมข้าวของเก๋ๆ แกลเลอรี่เก๋ๆ คนเก๋ๆ ตึกเก๋ๆ ยังไม่พอ ของฝากหน้าตาเก๋บ้าง ไม่เก๋บ้าง ต่างพากันมารวมตัวกันอยู่แถวนี้ให้นักท่องเที่ยวเกี่ยวไปวางเล่นในตู้โชว์ที่บ้าน ราคาต่อได้บ้าง ไม่ได้บ้าง จะว่าไปราคาก็ไม่ได้แพงมากจนเกินไปนัก เลยไม่ได้ต่อ แต่มีอยู่ร้านหนึ่ง พ่อค้าหน้าตาคล้ายไอดอลแกรวมเงินให้ฉันแล้วย้ำเสียงแข็งว่า“ราคานี้ไม่แพงแล้วนะ” ทั้งๆที่ฉันยังไม่ทันคิดจะต่อ พอได้ยิน อยากจะต่อใจจะขาด
หกโมง ถึงเวลานัดเจอกับเพื่อนสาวชาวเกาหลีใต้ของฉัน เรานัดเจอกันที่ปากทางออกของห้าง Ssam Zie Gil ฉันยืนรอเธอพร้อมกับลูกเรือ และแล้วฉันก็เจอเพื่อนของฉัน เธอมาในเสื้อโค้ทสีแดงแรงฤทธิ์ พวกเราทักทายกันด้วยการกรี๊ดเหมือนอย่างเคย ขนาดลูกเรือของฉันยังตื่นเต้นตามไปด้วย อินไปกับเค้าอีก เพื่อนฉันบอกว่า Ssam Zie Gil มีทางออกอยู่ประมาณสี่หรือหกที่นี่แหละ ขอบคุณการเดาของเพื่อนฉัน ที่เดาได้แม่นยำจนเราหากันจนเจอ
เธอถามฉันว่าอยากทานอะไร ฉันถามลูกเรือว่าอยากทานอะไร ลูกเรือบอกว่า อาหารเกาหลี เพื่อนฉันยิ้ม ความรู้สึกคงเหมือนกับที่เธอเคยหัวเราะฉันเมื่อคราวก่อน เพราะหนุ่มสาวที่นี่นั้น มักจะชอบไปนัดเจอกันตามสถานที่ฮิปๆ อันได้แก่ร้านอาหารฝรั่ง อาหารอิตาเลียน หรืออาหารฟิวชั่น ไม่ใช่มานั่งปิ้งหน้ามันแบบนี้ และเหตุผลที่ฉันให้เธอไปในครั้งที่แล้วคือ ฉันอยากซึมซับความเป็นเกาหลีให้ได้มากที่สุด เหมือนตอนเธอมาเที่ยวเมืองไทย เธอยังกินแต่ต้มยำกุ้งทุกวัน ไปร้านนวดทุกวันเลย ในครั้งนั้น เธอยิ้มหัวเราะให้เป็นสัญญาณว่าเธอยอมรับในความคิดของฉัน
และด้วยความเป็นเจ้าบ้านที่ดี เธอตามใจพวกเรา เธอพาพวกเราไปทานอาหารเกาหลีร้านหนึ่งในอินซาดง (จริงๆ ก็หน้าบ้านเก่าของฉันนั่นแหละ) เธอรับหน้าที่สั่ง ภาษาเกาหลีลื่นปรื๊ดลื่นปรื๊ด ทำให้มื้อนี้ฉันสบายไม่ต้องใช้ภาษาเกาหลีสี่สิบชั่วโมงกับภาษามือให้เมื่อย อาหารถูกลำเลียงมาเรื่อยๆ บทสนทนาก็ลำเลียงมาไม่หยุดเช่นกัน ฉันยังจำได้กับเซ็ทอาหารที่มากพอที่สี่ห้าคนจะทาน ทั้งหมดนั้นวางอยู่บนโต๊ะเรา ยังไม่พอยังมีพิซซ่ากิมจิที่ลูกเรือของฉันขอสั่งมาเพิ่ม ใหญ่เท่าพิซซ่าถาดใหญ่ เบ่งบานอยู่กลางโต๊ะตามคาด “กินไม่หมด” สุดท้ายที่ทำให้เราสองคนรู้สึกผิดมากๆคือ เพื่อนรักของฉันอาศัยความคล่องตัว คว้าบิลไปจ่ายซะอย่างงั้น ยังมาซึ่งความละอายใจอย่างยิ่งยวด
ตามธรรมเนียม หลังจากทานมื้อหลักเสร็จ เราจะไปนั่งร้านกาแฟหรือร้านเบียร์เพื่อดื่มเคล้าบทสนทนา เราเลยหาร้านแถวๆนั้น เพื่อนฉันเป็นคนเลือกอีกเช่นเคย เพื่อนฉันเลือกร้านได้ถูกจริตฉันอีกแล้ว ฉันให้สิบคะแนนเต็มร้านเงียบๆให้เราได้คุยกันสบายๆ เพื่อนฉันกับลูกเรือของฉันคุยกันสนุก กลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปแล้ว สำหรับฉันนั้น อาการเจ็บคอเริ่มปะทุมากขึ้นเรื่อยๆ คาดว่าจะทรมานอย่างยิ่งในวันรุ่งขึ้น
บทสนทนาล่วงเลยมาจนถึงบทสุดท้าย เราแยกย้ายกันกลับบ้าน ในตอนแรกเธอเป็นเพื่อนของฉันคนเดียว แต่ตอนกลับเธอเป็นเพื่อนกับลูกเรือของฉันด้วย
..เพื่อน ห่างกันนานแค่ไหน ยังไงก็ต่อติด ..
(แค่ประโยคนี้ก็บอกให้รู้แล้วว่ามาจากยุคไหน... ยุค “ต้นๆ รถเป็นอะไรน่ะ” ถ้าคุณรู้ว่าอิชั้นนั้นพูดถึงอะไร.. ใช่ค่ะ เรายุคเดียวกัน)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in