เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Seven rooms : 7 สิ่งเร้นลับในโรงเรียนHacker Dewdie
บทที่ 11 : เลิกเรียนแล้ว กลับบ้านได้ (ตอนอวสาน)

  •                 
                    ดึกดื่นค่ำคืนยามราตรีี สองชายต่างวัยอายุ เดินถือไฟฉายสอดส่องอาคารภายในโรงเรียน จากเหตุการณ์ผิดปกติของสิ่งของกระทบกันดังลั่นและไฟฟ้าดับ ทำให้ทั้งสองคนต่างสงสัย ออกสำรวจตรวจตราอาณาบริเวณภายในโรงเรียน 


                    นับเป็นเวลาหลายชั่วโมง ทั้งผมและลุงบุญส่งได้ค้นพบเรื่องราวเร้นลับหลายๆ สิ่งมากมาย  ผมผ่านมาหลายห้องแล้ว ก็ยังไม่ชินกับการเจอสิ่งเหล่านี้ แต่สำหรับลุงบุญส่ง ก็คงอาจจะเจอเรื่องราวอยู่บ่อยครั้ง ราวกับว่าผูกมิตรกัับวิญญาณไปแล้ว ผมต้องอยู่ที่โรงเรียนนีี้เรื่อยๆ และต้องเจอพวกเขาต่อไปอีกนานแสนนาน 

                    
                    "เป็นไงบ้างล่ะหลาน มาตรวจตราโรงเรียนดึกๆ ดื่นอย่างนี้ หลานโอเคไหม"


                    "อืม....ผมยังไม่คุ้นชินกับที่นี่นะลุง"  ผมตอบกลับไปด้วยความเป็นธรรมชาติของผม "แต่ผมก็อยู่ได้นะ  โรงเรียนนี้มีเรื่องราวอะไรเยอะแยะมากมาย ยิ่งเป็นระดับชั้นมัธยมแล้ว ทั้งการเรียนเอย การใช้ชีวิตในวัยเรียนเอย ปัญหาของเขามันไม่ใช่แค่เรียนให้จบ แต่มันคือโลกทั้งใบของเด็กที่ต้องผ่านเรื่องราวตรงนั้น"


                    "......"


                    "นอกจากนั้นคือการได้มาพบกับลุงนี้แหละ...ผมก็รู้นะว่าคนที่นี่จะต้อนรับดีหรือเปล่า แต่พอคุยกับลุง ลุงก็เป็นผู้ใหญ่คุยสนุก ลุงก็ยังแข็งแรง มาเดินทัวร์โรงเรียน ขึ้นลงอาคารอย่างไม่เหนื่อยเลย แถมลุงยังพูดเก่งด้วย นีี่ขนาดแค่ผมรู้จักลุงแค่คืนเดียวนะ เหมือนผมอยู่กับลุงมาหลายปีี"


                    "ลุงดีใจจัง  ลุงก็อยากให้หลานอยู่กับลุงต่อไปนานๆ"


                    นั่นคือบทสนทนาของลุงบุญส่งหลังจากปิดห้องกิจกรรมชมรมฯ อาคารเรียน 4 เราทั้งสองคนสำรวจทางเดินอาคารเรียน 4 เล็กน้อยแล้วเดินกลับไปที่อาคารเรียน 1 ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยความเงียบ ไม่มีการคุยบทสนทนาอะไรอีกเลยนับต่อจากนั้น


    .............

                 

                    "เออลุง ลุงอยู่ที่นีี่มานากี่ปีแล้วล่ะ"  ผมเห็นว่าบรรยากาศเริ่มตึึงเครียดมากเกินไป ไม่มีบทสนทนาจากลุงบุญส่ง ผมจึงเป็นฝ่ายชวนลุงบุญส่งพูดคุยบ้าง


                    "อ่อ ลุงเหรอ...อืม....ลุงอยู่มาที่นี่เกือบ 14 ปีแล้วหลาน" ลุงบุญส่งนึกคิดสักครู่ แล้วตอบออกมา "ลุงอยู่มาตั้งแต่สมัยอาคารหนึ่งยังสร้างด้วยไม้อยู่เลย ตอนนั้นครูบาอาจารย์มีกันน้อยมาก ลุงจบแค่ชั้น ป.4 มีีความรู้ติดตัวอยู่นิดหน่อย คงไปทำงานอย่างอื่นไม่ได้ ชาวบ้านแถวนี้ก็ชวนลุงมาทำงานในโรงเรียน พวกเขาอยากให้ลุงเป็นภารโรงโรงเรียน  ตอนนั้นลุงก็เห็นว่าไม่มีงานการทำ ลุงก็รีบตกลง แล้วไปๆ มาๆ ลุงก็เลยกลายมาเป็นภารโรงเรียนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ลุงคิดว่าทีี่ที่นี่คงเป็นที่ที่เหมาะกับลุงแล้วมั้ง"


                    "ก็นานมากโขเลยนะครับ"


                    "ก็ใช่เลยแหละ ลุงก็อยู่มานาน ลุงก็พยายามช่วยเหลือครู ช่วยโรงเรียน ปลูกต้นไม้ ทำครัว ทาสีีโรงเรียนบ้าง ครูบางคนก็ใจดีให้ของตอบแทนบ้าง ชวนไปทานข้าวทีี่บ้านบ้าง จนลุงรู้สึกว่าลุงเป็นเกียรติเหลือเกินที่ได้ทำอาชีีพนี้"


                    "แต่ช่วงหลังๆ ลุงก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมไม่มีใครพูดคุยกับลุง ครูอาจารย์ผู้อำนวยการที่ลุงรู้จักก็เริ่มย้ายโรงเรียนไปทีละคนสองคน  คนหน้าใหม่ๆ ก็เข้ามา ลุงก็แทบจะไม่รู้จักกันอีกแล้ว พวกเด็กสมัยใหม่ก็ไม่ค่อยมาคลุกคลีกับชีวิตลุงเหมือนคนแต่ก่อนแล้ว มันก็คงต่างวัยกระมั้ง แถมงานการของลุงก็เป็นภารโรงคนหนึ่งเท่านั้นเอง ลุงพูดอะไรก็ไม่คนฟังหรอก แต่ไม่เป็นไร โรงเรียนนี้ให้อะไรกับลุงมาก ลุงก็จะตอบแทนโรงเรียนนี้ตราบเท่าชีวิตของลุงแล้วกัน"


                   "......."


                    "แต่เอ...นอกจากหลานที่คุยได้สนิทใจ ก่อนหน้านั้นก็ยังมีอีกคนหนึ่งนะ"  ลุงบุญส่งนิ่งคิดสักครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดต่อมา "ก่อนหน้านั้น ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งทีี่ทักทายกับลุงอยู่บ่อยครั้ง เธอทั้งสวย ทั้งงาม นะ แล้วก็ทำงานเป็นสัตวแพทย์ด้วยนะ อืม.....ดูเหมือนเธอต้องการจะไปหาห้องๆ หนึึ่งให้เจอ เธอบอกว่าเธอผูกพันกับห้องนี้  ซึ่งก็อย่างที่ว่าแหละ ตั้งแต่ลุงอยู่โรงเรียนนี้มานาน อาคารเรียนหลายๆ อาคารในโรงเรียนแห่งนี้ มันก็โดนทุบทิ้งสร้างใหม่ไปหลายรุ่นล่ะ ลุงไม่รู้ว่าจะหาห้องเรียนห้องนั้นได้อย่างไร  ลุงก็จนปัญญาเสีียด้วย"


                    "ทุกๆ ปีเธอมักจะมาในช่วงหลังสอบปลายภาค เธอจะมาในช่วงตอนเย็นๆ ใกล้มืด เธอพกดอกไม้ ธูปเทียนมาด้วย ก็ถามลุงอยู่ทุกครั้งนะว่า ลุงเจอห้องนั้นไหม  ลุงก็เลยแนะนำเธอไปที่ต้นไม้หลังอาคารเรียน 4 นะ เพราะต้นไม้ต้นนั้นอยู่มานานเป็นร้อยปี น่าจะช่วยเธอได้  เธอกราบไหว้ บูชา และอวยพรต่างๆ นาๆ หลังจากนั้นที่เธอก็ทำพิธีเสร็จ ก็คุยกับลุงว่าเธอเคยอยู่โรงเรียนนี้มาก่อน เธอเล่าประสบการณ์หลายอย่างในโรงเรียนนี้บ่อยครั้ง รวมถึงชีีวิตในมหาวิทยาลัยด้วย"


                    ลุงบุญส่งพูดยังคงพูดยาวต่อเนื่อยไปเรื่อยๆ จนบางทีผมต้องแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินบ้าง เพราะเห็นว่าลุงบุญส่งพยายามเล่าสิ่งต่างๆ ในประสบการณ์ของแกจนไม่มีีทีท่าว่าจะหยุด หากผมพยายามถามเหตุการณ์ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ  ลุงบุญส่งก็คงเล่าเรื่องอะไรที่เยอะแยะมากมายให้ผมฟังอีีกเป็นร้อยเรื่องแน่นอน


                    จนลุงบุญส่งก็เงียบ ไม่มีอะไรจะพูดในเวลาต่อมา


    ....................

                                   


  •                 เมื่อผมเดินไปเรื่อย ก็เห็นเงาของอาคารเรียน 1 อยู่ลางๆ 


                    ผมเริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเดินอยู่ในความมืด พร้อมกับเสียงสิ่งของที่ลากมากับพื้นดังครืดๆ เป็นระยะๆ ลุงบุญส่งเริ่มเดินช้าลงแล้วหยุดอยู่กับที่ เสียงวััตถุใกล้เข้ามาหาผมเรื่อยๆ ผมส่องไฟฉายไปยังวัตถุที่ผมเห็นในความมืด


                    เด็กวัยอายุแรกเกิด เดินได้ด้วยสองขา ก้าวเท้ามาในความมืด มีสายรกที่ยังไม่ถูกตัดขาดติดกับสะดือ ห้อยลงมา และถูกลากมาตามพื้นทางเดิน เด็กคนนี้มีผิวคล้ำ มีร่องรอยบอบช้ำไม่เหมือนผิวมนุษย์ ดวงตาสีขาว กลมโต ไม่มีม่านตา หน้าผากมีเส้นเลือดสีเขียวคล้ำ ริมฝีปากสีน้ำตาลคล้ำฉีก ตามร่างกายมีรอยช้ำเลือดปรากฏทั่วร่างกาย 

                    
                    มือข้างหนึ่งของเขาปั้นนิ้วหัวมือแล้วใช้ปากดูด มืออีกข้างหนึ่งจับสิ่งของชิ้นหนึ่งลากตามมากับพื้น เมื่อผมส่องไฟฉายไปที่วัตถุนั้น ทำให้ผมทราบว่าเป็นหุ่นจำลองร่างกายมนุษย์ที่อยู่ในห้องวิทยาศาสตร์  มันนอนคว่ำหน้าให้กับพื้น ครึ่งซีกด้านซ้ายเหมือนมนุษย์ปกติ แต่ครึ่งซีกด้านขวาเป็นซีกจำลองอวัยวะภายในของมนุษย์ 


                    "แว้......แว้..........แว้........."


                    เด็กคนนั้นส่งเสียงร้องแผดดังเหมือนกับเสียงเด็กทารก ลุงบุญส่งเห็นเด็กร้องไห้ จึงเดินเข้าไปที่เด็ก ใช้มือช้อนทีี่ศีีรษะ มืออีกข้างช้อนก้น ดึงร่างเด็กขึึ้นมาเหนือเอว หลังจากนั้นเอาแขนไปจับส่วนตัวของเด็ก วางหัวของเด็กลงบนท่อนแขน แล้วใช้แขนแทนหมอนรองคอ ลุงบุญส่งแกว่งเด็กไปมา จนเด็กเริ่มหยุดร้อง และงีบหลับไปในที่สุด


                    ด้วยความตกตะลึกในเหตุการณ์เหล่านั้น  ผมเดินเข้าไปใกล้ลุงบุญส่ง


                    "ลุงบุญครับ คือว่า...."


               
                    ทันทีที่แกได้ยินเสียงผม แกค่อยๆ หันหน้ามาหาผม แกหันมาหาผมในลักษณะขณะที่ลำตัวไม่บิดเอี้ยวตัวมาตามหัว ความมืดในบรรยากาศ ความสว่างเล็กๆ น้อยทำให้ค่อยเผยเห็นภาพใบหน้าประหลาดของลุงบุญส่ง 


                    ภาพใบหน้าที่แตกร้าว บริเวณคิ้วซ้ายมีรอยการแตกของกระโหลกเป็นหลุม ไม่มีขนคิ้ว มีดวงตาที่ใหญ่โตแทบจะถลนออกมาจากเบ้าตา ร่องรอยฟกช้ำเต็มบนทั้งใบหน้า มีเลือดตามรอยตา หู จมูก หัวกะโหลกบุบจนเป็นหลุม ผิวหน้งแตกกร้าน   ผมเผ้าเริ่มค่อยๆ ร่วงหล่นจนปกคลุมแค่บางพื้นทีี่บนศีรษะ 


                    "มีอะไรเหรอ หลานรัก......"








  •    


                   ผมตกใจและวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต 


                    สิ่งที่ตามผมมาตลอด


                    ไม่ใช่คน 


                     แต่กลับเป็น


                    .

                    .

                    .

                    
                     สองเท้าก้าวยาวๆ จนผมแทบไม่รู้จักความเหนื่อยหอบ ไฟฉายที่อยู่ในมือผมร่วงหล่นหายไปไหนก็ไม่รู้ ผมต้องรีบเร่งวิ่งไปยังอาคารหนึ่งอย่างเร่งด่วน ในขณะที่วิ่ง ไฟฟ้าภายในโรงเรียนกลับมาส่องสว่างตามปกติ  ผมเห็นชายคนหนึ่งที่แก่กว่าผมประมาณ 10 ปี นั่งที่โต๊ะใต้อาคารเรียน 1 มันเป็นโต๊ะทีี่ผมอยู่ก่อนเกิดเหตุการณ์เสียงวัตถุกระทบดั่งลั่นทั่วโรงเรียน 


                     "พี่ช่วยผมด้วย....." ผมรีบวิ่งตาตื่นไปหาพี่เขาทันที
       

                     "อ่าวน้องที่เป็นครูใหม่นี่นา...เกิดอะไรขึ้น หายไปไหนมาตั้งนาน"


                    "มันคือ..... ช่วย ช่วยผมด้วย.....มัน เป็น......." ผมพูดอย่างไม่เป็นภาษา


                    "ใจเย็นๆ มีสติค่อยๆ พูดก่อนก็ได้"


                    ผมก้มตัวลงด้วยความเหนื่อยหอบ และค่อยๆ ยืดตัว สูดลมหายใจลึกๆ ปล่อยออกมายาวๆ จนตัวเองเริ่มค่อยๆ หายจากอาการเหนื่อยหอบ


                    "ผม เจอ ลุง บุญ ส่ง"


                    "ห๊าาาาา  อะไรนะ"  ชายคนนั้นตอบทำให้ผมตกใจไปชั่วขณะ


                    "ลุงบุญส่งเขาเดินกับผม แล้ว เขา กลายเป็น......."


                    "น้องล้อเล่นใช่ไหม....ก็ลุงที่ชื่อบุญส่ง ภารโรงคนนั้นหน่ะ" ชายคนนั้นเว้นวรรคทางคำพูด และมองผมด้วยความตะลึง "ลุงเขาตายไปเมื่อ 14 ปีที่แล้ว"


                     ผมตื่นตกใจและหายจากอาการเหนื่อยอย่างปลิดทิ้ง แล้วมองชายคนนี้ด้วยความประหลาดใจ


                     "ลุงแกเขาตายที่ห้องคอมฯ โดนโจรบุกรุกโรงเรียนแล้วใช้หุ่นจำลองทุบเข้าที่ศีรษะจนตาย และคนที่น้องเรียกชื่อว่าลุงบุญส่งนะ รูปภาพของแกอยู่งตรงนั้น น้องไม่ได้สังเกตเห็นหรอกเหรอ แล้วน้องไปเจอแกได้อย่างไร"  


                      ชายคนนั้นชี้ไปที่หิ้งเหนือศีรษะ ทีี่หิ้งมีรูปภาพของลุงบุญส่งทีี่แสดงเป็นภาพขาวดำ มีชื่อและวันที่อยู่ด้านล่าง เป็นข้อความที่เขียนว่า "บุญส่ง  ชาตะ xxxxxxx  มรณะ xxxxxxx "










     จบบริบูรณ์....

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in