เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Seven rooms : 7 สิ่งเร้นลับในโรงเรียนHacker Dewdie
ตอนที่ 10 : ขอให้เรื่องนี้..ไม่มีคนตาย (ตอนแรก)
  • (กดที่นี่เพื่อย้อนกลับไปอ่านบทที่ 9)


    "ยิ่งฉันมองเห็นมันมากเท่าไหร่   
    ฉันยิ่งมองเห็นความตายมากขึ้นเท่านั้น"

              

              เสีียงเพลงลูกทุ่งดัังขึ้นจากลำโพงซ้ายขวาของรถยนต์กระบะคันหนึ่ง ชายวัยกลางคนกำลังขับรถยนต์บนถนน สายตามองถนนด้านหน้าอย่างไม่ลดละ ทีี่นั่งด้านข้างของคนขับ มีสาววัยไล่เลี่ยกับผู้ชายคนนั้นกำลังสนทนาคุยกัันอย่างเพลิดเพลิน เบาะที่นั่งด้านหลังเด็กชายวัยประถมตอนปลายกำลังนั่งเล่นเกมบอยอย่างสนุกสนาน ส่วนฉัันกำลังฟังเพลงจากเครื่องเล่นเทปคลาสเซ็ท แต่สายตามองชมวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างของรถ


              วันนีี้เป็นวันหยุดเทศกาล ผู้คนต่างทยอยเดินทางกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัวตนเอง เช่นเดียวกับครอบครัวของฉัน  พ่อและแม่ตั้งใจพาฉันและน้องชายไปเยี่ยมคุณปู่คุณย่าที่อยู่ต่างจังหวัด ฉันต้องตื่นนอนตอนเช้าและออกเดินทางช่วงตอนสาย กว่าจะถึงบ้านของคุณปู่คุณย่าก็เป็นเวลาช่วงบ่าย การเดินทางบนท้องถนนที่แสนยาวนานมันน่าเบื่อจริงๆ ฉันไม่ชอบการเดินทางนี่เลย ฉันอยากให้ถึงที่หมายโดยเร็วๆ


              อุณหภูมิเย็นภายในห้องโดยสาร ทำให้ฉันเคลิบเคลิ้มไปกับบทเพลงทีี่กระทุ้งโสตประสาทเกิดเป็นทำนองไพเราะ จนฉันเผลอผล่อยหลับไป  


              "กรีี๊ดดดดดดด!!!!!!"
              เสียงผู้หญิงกรีดร้องยาวๆ ดังขึ้น พร้อมกับเสียงแตรดังลั่นรถ เมื่อฉันตกใจและรีบลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ภาพที่ปรากฎบนกระจกด้านหน้าของรถ แสดงให้เห็นว่ารถกำลังพุ่งออกนอกเส้นทาง เสียงเบรกดังชัดเจน รถส่ายไถลโคลงเคลงไปมา เสียงของกระทบกระแทกจากทั้งด้านซ้ายและขวาของตัวรถ และภาพสุดท้ายที่ฉันจำได้คือ รถทะยานพุ่งสู่แม่น้ำในคลองแห่งหนึ่ง


              ภายในห้องโดยสารค่อยๆ มืดลง น้ำไหลทะลักเข้ามาภายในห้องโดยสาร ฉันรีบปลดเข็มขัดนิรภัย ร้องเรียกพ่อ แต่พ่อไม่ตอบรับกลับมา ฉันเห็นพ่อนอนแนบกับพวงมาลัยอย่างแน่นิ่งพร้อมกับมีเลือดไหลออกมาจากหู ฉันตกใจเป็นอย่างมาก มองซ้ายมองขวา น้องชายของฉัันหายไปจากที่นั่ง  ส่วนแม่กำลังดิ้นรนกระสับกระส่าย เอี้ยวตัว พยายามดึงพนักพิงศีรษะ ฉันจึงช่วยแม่ดึงจนมันหลุดออกมา


              "เอามันทุบกระจกรถสิ!!  เร็วๆ!!! " แม่ตะโกนสั่งฉันด้วยน้ำเสียงดุดัน ฉันรีีบทำตามทีี่แม่บอก จนกระจกรถทะลุ น้ำเริ่มไหลเข้ามาในรถจนเกือบท่วมที่นั่ง  "ออกไป....ไป!! เร็วสิ..รีบไป!!  เดี๋ยวแม่กับพ่อจะตามไป" 


              ระดัับน้ำภายในรถท่วมถึงเบาะที่นั่ง ฉัันใช้พนักพิงทุบกระจกจนมันเกิดเป็นรอยร้าว  และทุบอีกครั้งจนกระจกแตก ฉันใช้มือสองมือจับประตูรถด้านนอก ลอดออกจากช่องกระจกรถ และพยุงตัวเองให้ลอยขึ้นมาอยู่เหนือผิวน้ำ ฉันมองดูรถตัวเองอีกครั้ง รถค่อยๆ จมหายไปกับตาสองข้างของฉัน ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่โผล่ออกมาให้ฉันเห็นเลย


              ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมานั่งตอนกลางดึก     


             "ฝันหรอกเหรอเนี่ย"


             เหงื่อท่วมใบหน้า หัวใจเต้นเร็ว ฉันสูดลมหายใจลึกๆ ตั้งสติและพลิกตัวหันไปมองดูรอบๆ เตียง มองทะลุผ่านมุ้ง เห็นมุ้งทรงสี่เหลี่ยมสีขาวของคุณป้าจึงเกิดความรู้สึกสบายใจ ฉันพลิกตัวกลับ พลางคิดถึงเรื่องในความฝันเป็นเวลาหลายนาที แล้วพยายามข่มตาตัวเองให้นอนหลับอีกครั้ง


    **************


              ผมเดินลงบันไดจากอาคารเรียน 4 เพื่อกลับไปยัังอาคารเรียน 1 ตามเดิม แต่ในระหว่างทีี่ผมกำลังเดินลงบันไดจนถึงชั้น 1 นั่นเอง ที่มุมเลี้ยวของระหว่างทางเดินอาคารชั้น 1 กับบันได ผมเห็นร่างวิญญาณของมนุษย์ผู้ชายคนหนึ่งกำลัังมองมาที่ผม  เขาสบตากับผมชั่ววินาทีแล้วหลังจากนัั้นก็วิ่งไปตามทางเดินอาคารเรียนหนึ่ง


              "หลานเห็นเขาใช่ไหม" ลุงบุญส่งเอ่ยถามขึ้นมา 


              "อะ อะ...อืมครับ"  ผมตอบด้วยเสีียงสั่นครืน เพราะผมยังไม่เคยชินต่อการปรากฏกายของสิ่งเร้นลับเหล่านี้เลย


              "ไปเยี่ยมเขาหน่อยไหม  บางทีเขาคงอยากจะคุยกับลุงนะ" ลุงบุญส่งพูดขึ้นมา โดยที่ผมก็รู้คำตอบอยู่แก่ใจแล้วว่า ผมไม่พร้อมจะเจอกัับวิญญาณอะไรทั้งนั้น เพราะจิตใจของผมยังไม่แข็งแรงพอ  "ก็คงเป็นเรื่องนั้นมั้ง เขาคงทำใจไม่ได้ที่เขาต้องจากไปก่อนวัยอันควร"



              "กะ กอ.. ก็ได้ครับ"  ผมตอบตกลงไป


              ผมกับลุงบุญส่งเดินไปตามทางเดินจนถึงกลางอาคารเรียน แล้วหลังจากนั้นผมก็พบกับวิญญาณชายคนนั้นอีกครั้ง เขายืนอยู่หน้าห้องแห่งหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นเขาก็ก้าวเดินทะลุผ่านประตู ผมยืนมองด้วยความตื่นตะลึง ลุงบุญส่งรีบเดินแล้วไปไขกุญแจห้องทีี่วิญญาณชายคนนั้นเดินเข้าไปในห้อง


              วิญญาณชายคนนั้นยืนมองดูรูปภาพของตัวเองที่อยู่เหนือกระดานด้านหน้าของห้อง เหนือรูปภาพของเขามีป้ายข้อความเขียนไว้ว่า  "ชมรมอาสาพััฒนาชนบท"  ภายในห้องเต็มไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นถังน้ำแข็ง ถ้วยแก้ว หมวก ร่ม กล่องปฐมพยาบาล กลองสันทนาการ ผ้าคลุม ป้ายไวนิล และของต่างๆ อีกมากมายที่วางกระจัดจายตามแนวผนังของห้อง


              ลุงบุญส่งเดินไปพูดคุยทักทายกับวิญญาณชายคนนั้นทันทีี  ส่วนตัวผมยืนนิ่งอยู่ที่ประตูของห้อง มองบริเวณไปรอบห้อง  จนชั่วอึดใจหนึ่ง ผมดันไปสบตากับวิญญาณทีี่คุยกับลุงบุญส่ง เขายกแขนและชีี้ไปยังทีี่มุมด้านหลังของห้อง และเขาพยักหน้าให้กับผม  ผมเดินไปตามทีี่วิญญาณคนนี้ชีี้ไป ก็พบกับชั้นวางหนังสือทีี่เต็มไปด้วยสมุดมากมาย 


              ผมหันหน้าสบตากับวิญญาณอีกครั้ง แต่แล้วเขาไม่ได้อยู่ที่เดิม เขาอยู่ทีี่ข้างๆ ผม เขาทำผมตกใจเป็นอย่างมาก 



              "ทะ ทำไมเธอถึงวนเวียนอยู่ที่นี่"  ผมถามวิญญาณไปด้วยน้ำเสียงสั่น


              "ผมคิดถึงคนหนึ่งครับ....คนทีี่อยู่ในความทรงจำของผม"


              เขาพูดพลางชี้นิ้วไปยังที่วางชั้นวางหนังสือ ผมเห็นสมุดโน้ตเล่มหนึ่งวางอยู่ข้างหน้า หน้าปกของหนังสือไม่มีข้อความอะไรเขียนไว้เลย และแล้วสมุดโน้ตถูกเปิดออกมาอย่างอัตโนมัติ ข้างในเป็นข้อความที่เขียนด้วยปากกาลูกลื่นที่มีลายมือสวยงาม และมีรูปถ่ายหญิงสาววัยมัธยมต้นกับชายมััธยมปลาย


              ผมมองรูปภาพชายมัธยมสักครู่ และหันหน้าไปเทียบกัับวิญญาณชายคนนั้น  ปรากฏว่าวิญญาณชายคนนั้นมีหน้าตาที่คล้ายกับคนในรูป


              "ใช่แล้วครับ.....ผมคือคนที่อยู่ในรูปนั้นเอง"


    **************



  •           "ชมรมโน้นก็เต็ม ชมรมนี้ก็ไม่รับเพิ่ม แล้วตกลงว่าพวกเราจะเลือกเข้าชมรมอะไรได้บ้างล่ะเนี่ย"


              "ชมรมวิทยาศาสตร์ก็เต็ม ชมรมดูหนัง ชมรมฟังเพลงก็มีแต่คนรับแต่คนที่รู้จักกันเอง ให้ตายเถอะ นั่นมันเป็นชมรมที่ชอบเลยนะ เดินหามาตั้งนานแล้ว จะเลิกเรียนอยู่แล้ว ยังหาชมรมไม่ได้เลย เซงชะมัด"


              นั่นคือเสียงบ่นของเพื่อนสนิทของฉันทีี่กำลังเดินตามหาชมรมในช่วงคาบเรียนชมรม  โรงเรียนให้คาบแรกของวิชาชมรมเป็นการสมัครเข้าร่วมชมรมต่างๆ ภายในโรงเรียน โรงเรียนของฉันมีชมรมให้เลือกน้อยมาก ฉันพยายามอยากไปสมัครชมที่ต้องการให้ทันก่อนการปิดรับสมัคร แต่ปรากฏว่าชมรมที่ฉันต้องการมีสมาชิกเต็มแล้ว และไม่สามารถรับคนเพิ่ม 


              "อ่าวน้อง!!  สนใจมาอยู่กับชมรมพี่ไหม"


              "ชมรมอะไรคะ"


              "นี่เลย"  รุ่นพี่ชีี้ไปยังป้ายทีี่อยู่บนประตูห้องหนึ่งอยู่อาคารเรียน 4 มันเขียนว่า 'ชมรมอาสาพัฒนาชนบท'  "ก็อย่างทีี่ว่าแหละ น้องเข้าชมรมนี้ น้องจะได้รับประสบการณ์ช่วยเหลือผู้คนในท้องถิ่น มีน้ำใจให้กับส่วนรวม และยังได้เปิดโลกมองธรรมชาติที่แสนสวยในจังหวัดของเรา"


              "อืม....ชนัฐกานต์ เอายังไงดีล่ะ" ฉันพูดแล้วมองหน้าเพื่อนสนิทของฉัน


              "ถ้าเธอเอา ฉันก็เอา ฉันไม่อยากเสียเวลาเดินหาชมรมอีกแล้ว ฉันอยากกลับบ้านแล้ว"


              "งั้นก็เอาตามนั้นนะ"


              ฉันตอบตกลงกับรุ่นพี่ หลังจากนั้นรุ่นพี่เชิญฉันเข้าไปในห้องเพื่อสมัครสมาชิกในชมรมดังกล่าว ข้างในห้องเป็นห้องที่เต็มไปด้วยสิ่งของทีี่มากมายวางรกระเกะระกะ หลายๆ อย่างถูกจัดวางไม่เป็นหมวดหมู่ มีลังกระดาษวางซ้อนกันอย่างไม่เป็นระเบียบ  มีถุงพลาสติก ถุงใบใหญ่ต่างๆ อีกมากมายที่วางไว้อยู่ทีี่มุมของห้อง บนกระดานเต็มไปด้วยข้อความมากมาย 


              รุ่นพี่ทีี่ต้อนรับพวกเราเดินนำทางฉันและเพื่อนไปยังที่โต๊ะตัวใหญ่ที่อยู่มุมหนึ่งของห้อง ที่โต๊ะตัวนั้นมีรุ่นพี่อีกคนนั่งบนเก้าอี้และรอคอยต้อนรับ 


              "จะสมัครชมรมใช่ไหมครับ เอานี่เลย กรอกชื่อนามสกุล และ......."  


              รุ่นพี่คนนั้นหยุดพูดแล้วหันหน้ามาสบตากับฉัน  ดวงตาที่งดงามทีี่อยู่บนใบหน้าของรุ่นพี่คนนั้นทำให้ฉันหวั่นไหว สายตาของฉันจดจับจ่ออยู่กับดวงตาของเขาเป็นเวลานาน  ฉันรู้สึกเหมือนเวลาหยุดเคลื่อนไหว ภาพบรรยากาศโดยรอบถูกใบหน้าของพี่บดบังจนฉันลืมใส่ใจว่าอะไรเป็นอะไร  แม้กระทั่งคำพูดทีี่รุ่นพี่พูดขึ้นมาหลัังจากนั้ัน ฉันก็ลืมไปเลยว่ามันหมายความว่าอย่างไร


              "เออ...น้องครับ คือ...กรอกข้อมูลครับ"


              "ค่ะ..เออ..เออ ปากกา..คือเออ...อ่อ  อัันนี้"  

              หัวใจของฉันเริ่มอยู่ไม่เป็นสุขเลย มันพยายามเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ มุมมองของสายตาเริ่มแคบลง  พยายามตั้งสติจดจ่อกับสมุดบัญชีและปากกาที่วางอยู่บนโต๊ะ ฉันเอามือจับปากกาบนโต๊ะด้วยความสั่น เอามือซ้ายทาบอก โค้งตัว ก้มหน้าลง ปล่อยให้ผมปิดบังส่วนใบหน้าของตัวเอง และเขียนอย่างช้าๆ  ฉันพยายามใส่ใจกับตัวอักษรที่ฉันเขียนทีละตัวเพื่อบอกให้ใจจดจ่อกับชื่อตัวเองมากกว่าพี่ที่อยู่ข้างหน้าของฉัน


              "ชื่ออรรัมภาเหรอ....."  ฉันหยุดเขียนและพยายามฟังคำพูดของพี่คนนั้นให้ชัดทุกถ้อยทุกคำ


              "ค่ะ." 


              "ชื่อน่ารักดีนะ"


    ***********


           ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา คำว่า `น่ารัก` มันติดอยู่ในความคิดทุกวี่ทุกวัน ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหน ฉันก็เหลือบหันไปมองห้องชมรมฯ อาคารเรียน 4  หัวใจของฉันก็เต้นตุ่มๆ ต่อมๆ วกซ้ายวนขวา ชะเง้อมองลอดผ่านช่องประตู เพื่อหวัังว่าจะเจอรุ่นพี่โผล่ออกมาจากในห้อง อย่างน้อยก็ขอให้เห็นแค่เขาก็เพียงพอต่อความรู้สึกในวันนั้น 


           "ยัยอร!!!"  ชนัฐกานต์เพื่อนสนิทตบที่บ่าของฉัน จนฉันสะดุ้งจากการจินตนาการถึงรุ่นพี่ ฉันกลับมารู้สึึกตัวอีกครั้ง ฉันและเพื่อนกำลังนั่งพักผ่อนหน้าอาคารเรียน 4  ในคาบว่างช่วงบ่าย  "เธอเห็นอะไรล่ะเนี่ย"


           "คือ อ่อ....เปล่า ฉันไม่เห็นอะไรหรอก"


           "หมู่นี้เธอเหม่อลอยทุกที ฉันไม่แน่ใจแล้วนะว่าเธอเป็นอะไรกันแน่ ฉันนึกว่าไม่ใช่เธอซะอีก" ชนัฐกานต์พูดให้ฟัง ฉันส่ายหัวตอบรับ  "แล้วเมื่อวันก่อนที่เธอเห็นพวกหมู่ทหารวิ่งหนีตาย ทีี่นอนร้องโอดโอยกลางสนามหญ้านั่นนะ เธอไม่เห็นแล้วใช่ไหม" 


           "เอออ....เธอมองไปที่ตรงนั้นนะ ตรงนั้นมี ฮ. อยู่ลำหนึ่ง มีขาของคนพาดอยู่บน ฮ. ส่วนลำตัวและหัวของเขาอยู่บนต้นไม้ต้นนู้นแหละ"  ฉัันชี้ไปยังปลายสนาม พร้อมพูดด้วยน้ำเสีียงช้าๆ ชััดๆ เพื่อให้เพื่อนของฉันเห็นภาพ


           "เห้ย...อย่าชี้สิ ฉันไม่อยากเห็นสิ่งเหล่านั้น"


           "โธ่เอ้ย..ฉันล้อเล่นนา ฮ่ะฮ่า"


           แต่ในบางวันฉันก็ไม่ได้ล้อเล่นหรอกนะ  เรื่องราวชวนขนหัวลุกมันปรากฏให้ฉันเห็นจริงๆ  ไม่ว่าจะอยู่ทีี่กลางสนามหญ้า หน้าอาคารเรียน ในห้องเรียน หน้าเสาธง บนตึกหรือบนหลังคา  พวกเขามักจะสวมเสื้อทหารไทยโบราณเปื้อนเลือด มีสีหน้าเกรงขาม บางคนลำตัวขาด แขนขาด ขาขาด นอนหายใจรวยระรินอยู่บนพื้น บ้างก็ขอร้องความช่วยเหลือ อาจจะมาในรูปแบบของคนเดียว หรือมากันเป็นกลุ่มคณะ ในกรณีที่มาเป็นคนเดียว เขาอาจจะแทรกเข้ามาในระหว่างฉันคุยกับเพื่อนของฉัน เดินสวนทางกับฉัน หรืออาจจะอยู่ข้างหลังของฉัน และในกรณีที่มาเป็นรูปแบบกลุ่มคณะ อาจจะโผล่ในรูปแบบการเดินลาดตระเวน หรือกำลังจัดแถวเรียงพล

           
           พวกเขาเหล่านั้นมักปรากฏในช่วงวันทีี่ฉันอารมณ์หงุดหงิด ยิ่งเป็นช่วงวันนั้นของเดือน พวกเขาจะแสดงกายให้ฉันเห็นบ่อยครั้ง ถึงแม้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ฉันยังไม่ชินกับเหตุการณ์ทีี่เกิดขึ้น ฉัันต้องข่มใจ ระงับอารมณ์และความรู้สึก ต้องไม่สบตามองกับเขา  เพราะถ้าเขารู้ตัวว่าฉันมองเขา เขาจะพุ่งตรงมาหาฉัน และยึดครองร่างของฉัน บอกความรู้สึกตอนทีี่เขายังมีชีวิต


           มีเพียงแค่ `ชนัฐกานต์` คนเดียวเท่านั้นที่เข้าใจในสิ่งที่ฉัันเป็นในตอนนี้ เธอช่วยฉุดดึงอารมณ์ฉันให้แจ่มใสเสมอ เธอเป็นผู้รับฟังที่ดีี เธอมัักจะชอบฟังฉันเล่าเรื่องราวสิ่งทีี่ฉัันเห็นเหตุการณ์เหล่านี้เป็นประจำ ดูคล้ายๆ ว่าเธอชอบเรื่องแบบนี้นะ แต่พอเล่าให้ฟังทีไร เธอแสดงสีีหน้าหวาดกลัวทุกที

           
           ตั้งแต่ฉันเกิดมาก็เหมือนกับเด็กทั่วๆ ไปนั่นแหละ ไม่เคยเห็นอะไรที่เป็นแบบนี้มาก่อนเลย จนถึงวันทีี่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ รถของฉันพุ่งตกลงไปในคลอง ฉันดิ้นรนเพื่อหาทางรอดจนสำเร็จ แต่ต้องแลกกับการต้องสูญเสียพ่อแม่และน้องชาย ในเวลาต่อมา  ฉันได้รับการเลี้ยงดูจากป้า ป้าของฉันไม่ได้แต่งงานนะ เธอไม่มีทั้งลูกและสามี แต่เธอก็ยังรับฉันมาเลี้ยง และเอ็นดูเหมือนลูกแท้ๆ ของตัวเอง  


    *************

  •           "ก่อนอื่นพี่จะขอแนะนำตารางระยะเวลาการดำเนินงานในกิจกรรมคร่าวๆ ของทางชมรมฯ ก่อนนะครับ"  รุ่นพี่ที่เป็นประธานชมรมฯ กล่าวเปิดตัวในคาบชมรมอาสาพัฒนาชนบท  


              "โดยเริ่มต้นจากเดือนนี้ ทางพี่ๆ ทุกคน จะปรึกษาหารือวางแผนดำเนินงานว่าจะไปพัฒนาที่ไหน ต้องเตรียมพร้อมอุปกรณ์อะไรไปบ้าง และใช้เงินที่มีอยู่อย่างจำนวนจำกัดอย่างไร หลังจากที่กำหนดการวางแผนไปแล้ว ก็จะเริ่มการติดต่อประสานงานกับผู้นำชุมชนต่างๆ แล้วนำมาปรึกษาหารืออีีกครั้งว่าจะทำโครงการอะไร  หลังจากนั้นเมื่อได้"


              "จะเล่าอะไรให้มันยาวนักเล่า มันก็เหมือนเดิมๆ ทุกปีนั่นแหละ"  รุ่นพี่อีกคนพูดแทรกขึ้นมา "เอางี้ดีกว่า ที่เล่ามาสรุปสั้นๆ เอาเลยล่ะกัน เดี๋ยวพวกพี่ก็ไปจัดเตรียมสถานทีี่กันเองนะ ส่วนพวกน้องๆ ก็เตรียมตัวบอกพ่อบอกแม่ เพื่อจะไปช่วยงานกิจกรรมนะ   เดี๋ยวรายละเอียดคุยกันตอนใกล้วันจริงอีกทีีหนึ่งละกัน"  


              "เออ คือ.....แล้วจะไม่ถามน้องว่ามีคำแนะนำว่า ปีนี้เราจะทำกิจกรรมอะไรบ้างเลย"


              "โอ๊ยมากคนก็มากความ เอาที่มันง่ายๆ ไม่ต้องเหนื่อยๆ ไม่ต้องเปลืองแรงงานก็พอ เอาอันที่ซื้อของให้เขาก็จบแล้วป่ะ"  หลังจากรุ่นพี่คนนี้พูดจบแล้ว บรรยากาศภายในชมรมฯ เข้าสู่ความเงียบ รุ่นพี่ที่เป็นประธานก้มหน้าหยิบแฟ้มเอกสารที่วางบนโต๊ะ เปิดแฟ้ม และหยิบรายชื่อสมาชิกชมรมเพื่อตรวจสอบสมาชิกที่เข้ามาในชมรมของวันนี้


    **********


              "พี่เออ....มีีอะไรให้หนูช่วยไหมคะ"  ชนััฐกานต์พูดขึ้นมา ในขณะทีี่เห็นพี่ประธานชมรมฯ และคนภายในชมรมกำลังวุ่นวายภายในชมรมฯ 


              "อ่อ..น้องเหรอ...อืมม....พีี่ลืมซื้อแก้วพอดีเลย เดี๋ยวน้องไปซื้อแก้วนะ ส่วนน้ำอัดลมก็มีแล้ว แล้วไปเจอกันที่หน้าอาคารเรียน 3 นะ" รุ่นพีี่หยิบเงินให้ชนัฐกานต์ ชนัฐกานต์ก็รับเงินและเดินออกไปจากห้อง หลังจากนั้นก็หันกลับมามองฉัน "ส่วนน้อง เออ....น้องอร เดี๋ยวไปหยิบลัังตรงนั้นนะ แล้วเดินไปพร้อมกับพี่"


              "ค่ะ....."  ชนัฐกานต์ตอบรับ  "เออ..คือ...พี่ชื่ออะไรเหรอคะ"


              "พี่ชื่อ กันตพิชญ์ หรือเรียกสั้นๆ ว่าพี่กันต์ ก็ได้นะ" รุ่นพี่ประธานตอบ


              วันนี้เป็นคาบชมรมฯ  ภายในเดือนนี้พี่กันต์วางแผนให้คนภายในชมรมระดมเงินทุนจากแหล่งต่างๆ เพื่อเป็นทุนในการทำกิจกรรม  พี่กันต์มีแผนการเรีี่ยไรเงินบริจาคจากคนภายในโรงเรียน โดยใช้วิธีการร้องเพลงโฟล์คซองทีี่หน้าอาคารเรียน 3  ซึ่งเป็นทางเดินก่อนทีี่นักเรียนในโรงเรียนกลับบ้าน พีี่กันต์มอบหมายให้ฉันและชนัฐกานต์ถือกล่องเรีี่ยไรเงิน และคอยพูดโน้มน้าวให้คนบริจาคเงินเพื่อดำเนินกิจกรรมภายในชมรมฯ


              ในระหว่างการทำกิจกรรม ฉันเดินไปพบไปคุยกับคนแล้วคนเล่า เพื่อโน้มน้าวให้เขาบริจาคเงิน และในช่วงที่ไม่มีคน ฉันก็คุยกับชนัฐกานต์ และคอยแอบมองพี่กันต์มาตลอด ในใจของฉันก็หวังว่าพี่กันต์จะหันหน้ากลับมามองฉันเช่นกัน  พี่กันต์ดีดกีต้าร์โปร่งด้วยอารมณ์สุนทรีย์ ตัวโน้ตบนสายกีต้าร์ประสานเสียง ทำให้บรรยากาศโดยรอบครึกครื้น


              ฉันคอยมองพี่กันต์สลับกับการชักชวนบุคคลากรภายในโรงเรียนให้บริจาค หลังจากที่ฉันหันไปหันมาในชั่วระยะเวลาหนึ่ง  ฉันเห็นเงาตะคุ่มๆ คล้ายกับคนยืนข้างหลังพี่กันต์ เขาตัวสูงยาว ผิวเทา สวมเสื้อโค้ทดำยาวจนถึงปลายขา แขนของเขาผอมเล็กเรียว มือของเขาตั้งบนบ่าของพี่กันต์ เขาโค้งลำตัวเล็กน้อย และมองพี่กันต์จากข้างบนโดยที่พี่กันต์ไม่รู้สึกตัว เขายืนมองชั่วครู่ แล้วเขาก็หันหน้ามามองฉันฉันตอบสนองเขาโดยหันหน้าหนีมองไปทางทิศอื่นในชั่วพริบตา



              "สิ่งที่อยู่ข้างหลังพี่กันต์ เป็นตัวอะไร"


    **********

  •           ผ่านไป 1-2 เดือน

              วันนี้เป็นเช้าของวันที่ใครๆ หลายคนต่างหยุดอยู่กับบ้าน วันนี้เป็นวันทีี่ทางชมรมเดินทางไปทำกิจกรรมพัฒนาชนบท  ฉันแต่งตัวชุดพละของโรงเรียน บอกลาคุณย่า คุณป้า และเดินทางไปโรงเรียน  


              กิจกรรมของชมรมอาสาพัฒนาชมบทในปีนี้คือโครงการช่วยเหลือเด็กผู้ด้อยโอกาสในพื้นที่ชุมชนใกล้โรงเรียนของฉัน  ซึ่งในเดือนที่ผ่านมา พี่กันต์ติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว  โดยตามกำหนดการต้องเดินทางไปยังสถานที่เปิดรับเด็กด้อยโอกาส และมีเจ้าหน้าที่จะรอคอยต้อนรับพวกเราอยู่ที่นั้น และหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์ฯ จะเล่าประวัติ ความเป็นมา ความสำคัญของการเปิดมูลนิธิฯ  แล้วพวกเราจะบริจาคสิ่งของให้กับทางมูลนิธิในตอนเช้า ส่วนตอนบ่ายจะมีกิจกรรม
    สันนทนาการและเล่นเกมร่วมกับเด็กๆ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงแล้วเดินทางกลับ

              
              "มา...พี่ช่วยนะน้องอร"  เสียงทุ้มดังเข้ามาในขณะที่ฉันกำลังถือกล่องลังและแฟ้มเอกสารหลายแฟ้ม ในระหว่างกำลังจัดเตรีียมสถานที่รอความพร้อมก่อนการเริ่มพิธีการ ฉันหันไปหาที่มาของเสียง ก็พบกับพี่กันต์กำลังเดินเข้ามาอาสาช่วยงานของฉัน


              "เออ....พี่ไม่ต้อง¬"  ยังไม่ทันที่ฉันห้าม พี่กันต์ก็ดึงแฟ้มเอกสารแล้วถือเดินไปกับฉัน ฉันรู้สึกในเกรงใจพี่เขาเป็นอย่างมาก ที่พี่เขาช่วยฉันถือสัมภาระที่ฉันสามารถถือคนเดียวได้ ในระหว่างทางฉันแทบจะไม่คุยอะไรกันเลย ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดิน เพราะในใจเขินอายจนไม่กล้าสบตามองกับพีี่เขา


              "น้องเห็นเด็กๆ พวกนั้นไหม พี่รู้สึกเอ็นดูพวกเขาเหลือเกิน บางคนเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่พร้อมต่อการเลี้ยงดู บางครอบครัวยากจน บางคนก็สูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่เล็ก  เด็กเหล่านั้นไม่ควรเติบโตด้วยสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากแบบนี้ พวกเขายังเป็นเด็กเป็นเล็ก  เขาต้องการได้รับความการศึกษา ความรัก และการเอาใจใส่ เพื่อให้เขาเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ทีี่ดีีในอนาคต.............." 


             พี่กันต์พูดไปเรื่อยจนแทงใจฉัน  คำพูดเหล่านั้นทำให้ฉันคิดถึงตอนสมัยทีี่ยังเป็นเด็ก ชีวิตพวกเด็กเหล่านั้นก็ไม่ต่างอะไรกับฉัน  ฉันต้องสูญเสียคนในครอบครัวไป ฉันแทบไม่เหลือใครอีกแล้ว ฉันร้องไห้แทบบ้า ร้องจนสลบบนเตียงนอนของโรงพยาบาลไปหลายสิบครั้ง พ่ออยู่ไหน แม่อยู่ไหน ร้องจนแทบไม่มีน้ำตาจะไหลออกมา  ลืมตาตื่นขึ้นมาก็จมอยู่กับความคิดที่ไม่มีวันจบ ฉันต้องอยู่กับใคร ทำไมฉันต้องเป็นผู้รอดชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำไมเขาไม่เอาตัวฉันไปด้วย ถ้าทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ ฉันขอตายแทนพ่อแม่และน้องเสียยังดีกว่า


             เหตุการณ์ที่พ่อนอนสลบอยู่หน้าพวงมาลัยขับรถ ประโยคที่แม่สั่งฉันเป็นครั้งสุดท้าย เหตุการณ์ที่น้องนั่งเล่นเกมยังคงวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนกับหนังทีี่ฉายไม่รู้จบ จนวันหนึ่งฉันได้ยินเสียงนางฟ้าจากสวรรค์ ยื่นมือเข้ามาช่วยฉัน 


             "มาอยู่กับป้านะ ป้าจะเลีี้ยงหนูอย่างดีเลย"  


             สิ้นเสียงคำนั้น มันเหมือนความอบอุ่นแทรกซึมในใจ ความมืดมิดค่อยๆ สว่างสดใส ฉันมองหน้าป้า ป้ายิ้มให้กับฉัน  ฉันโอบกอดป้าโดยทันที  ป้าของฉันลูบหัวอย่างเบาๆ ช้าๆ  หลังจากนั้นเป็นต้นมา ฉันย้ายไปอยู่กับป้า  ป้าของฉันทำงานหนักเพื่อให้ย่ากับฉันอยู่ดีกินดี และส่งเสียค่าเล่าเรียนให้ฉันจนมาถึงทุกวันนี้ คนดีๆ อย่างป้าของฉันคงไม่มีที่ไหนอีกแล้ว เพราะป้าของฉันเปรีียบเสมือนแม่คนที่สอง


              "อะไรกันเนี่ย...พี่พูดแค่นี้น้องถึงกับน้ำตาซึมเลยเหรอเนี่ย"  พี่กันต์มองหน้าฉัน  "โธ่คนดีของพี่ โดนอะไรมาเนี่ย"


              "เปล่าหรอก"  ฉันเอามือปาดน้ำตา  "หนูก็แค่...รู้สึกสงสารเหมือนกันนะ" 
       


    **********
              

              "ก็กูบอกว่าจะเอาอย่างนี้ไงเล่า ทำไมมันจะทำไม่ได้ มึง..กระดาษวาดเขียนก็มีเหลือตั้งเยอะตั้ง กูจะเอามาใช้ในเกมของกูในชั่วโมงถัดไปไม่ได้เหรอ"


              "ก็กระดาษอันนั้นมันจะเอาไปใช้ในกิจกรรมวาดเขียนเล่าเรื่องจากนิทาน ถ้ามึงขอเอาไปใช้ในกิจกรรมมึง แล้วกิจกรรมต่อไปล่ะ จะทำยังไง"


              "ก็ทำอย่างอื่นแทนสิ ถ้าไม่เอามาใช้ กูจะทำเกมยังไง กูขอเหอะ"


              เสียงดังออกมาจากข้างหลังห้อง ทำให้ฉันต้องหันไปหาที่มาของเสียง พบว่าเป็นเสียงของรุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนกับพี่กันต์ต่อล้อต่อเถียงกับพี่กันต์อยู่ตั้งนาน


              "มึงดูสถานการณ์บ้างสิ  ตอนนี้พวกเรายังดึงอารมณ์ของพวกเด็กๆ ไม่ขึ้น เราต้องเปลี่ยนแผน เราต้องครีเอทใหม่ เดี๋ยวนี้ ตอนนี้...." 


              "มึง..แม่ง...อยากจะเอานั้น จะเอาอย่างนี้ สับนั้น สับนีี้ แล้วในเวลาตอนนี้ ใครจะรับความต้องการของมึงทันว่ะ"  พี่กันต์พูดขึ้นเสีียงใส่ 


              "แล้วมึงจะให้รันคิวงานต่อไปอย่างนี้โดยที่น้องมันเบื่อๆ งงๆ กับกิจกรรมทีี่เราวางแผนทำมาแล้วได้ยังไง มึงต้องหากิจกรรมอะไรที่มันสร้างสรรค์ยิ่งกว่าเดิมอีีกโว้ย เราต้องครีเอทใส่มันเข้าไป แทรกเพิ่ม ไอ้กิจกรรมวาดเขียนมันไม่สนุก มึงเชื่อกู มึงก็ควรตัดออกไปได้แล้ว  โง่ฉิบหายแล้วอยากมาเสือกมาเป็นประธานชมรมอีก"


              "ถ้ามึงเก่งจริง มึงก็มายืนในจุดที่กูยืนในตอนนี้สิ"           


              "เ-ี้ยไรว่ะ....แม่ง...กูเสนอให้แล้วไม่ทำ..งั้น.มึงอยากทำอะไรก็ทำไปเลย...กูไม่ทำเ-ี้ย แม่งแล้ว" พูดจบรุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนพี่กันต์ เดินออกไปจากวงสนทนา

              
              การดำเนินงานของเกมกิจกรรมในช่วงถััดไป พี่กันต์ยอมเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมแทนเพื่อนพี่กันต์  กิจกรรมดำเนินไปอย่างติดๆ ขัดๆ ไม่เหมือนกับเพื่อนของพี่กันต์ที่ดำเนินกิจกรรมสันทนาการให้กับน้อง บ่อยครั้งพี่กันต์จะเล่นมุกตลกทีี่ไม่ขำออกมา ทำให้น้องๆ งงกับสิ่งที่พี่กันต์เล่า บรรยากาศเริ่มเต็มไปอึดอัดและน่าเบื่อ 


            น้องก็เริ่มพูดคุยเสียดังจนไม่สนใจพี่กันต์ พี่กันต์จึงรีีบเบรคพักก่อนเวลากำหนดการ ฉันเดิินไปหยิบแก้วน้ำ แจกพวกน้องๆ แต่แล้ว จู่ๆ ก็มีเสียงประหลาดดังขึ้นมาจากข้างหลัง มันเป็นเสียงโทนต่ำที่มีพลังจนทำให้ขนแขนลุก ฉันหันหลังกลับไป เจอเงาคนที่ฉันไม่เคยเจอมาก่อนวิ่งตัดหน้าฉัน เมื่อฉันมองตามไปเรื่อยๆ มันจึงวิ่งเขย่งหยุดอยู่กับที่ แล้วหันมามองฉัน ไม่นานนัก เงาประหลาดนี้ออกตัววิ่งอีกครั้งในทิศทางเดิม



              บางทีเขาต้องการบอกอะไรกับฉัน ฉันใช้เวลานิ่งคิดสักครู่ แล้วหลังจากนั้นฉันวิ่งตามเงานั้นไป



  •           ฉันตามเงานั้นไปจนเจอกับพี่กันต์นั่งยองๆ หันหน้าให้กับต้นไม้ต้นใหญ่ต้นหนึ่ง


              "พี่เป็นอะไร...ทำไมอยู่ที่นี่คนเดียว"           


              "พี่ก็ห่วยแตกเหมือนที่เพื่อนพี่พูดจริงๆ นั้นแหละ....พี่ก็เป็นประธานที่ทำอะไรก็ไม่ได้ดีไปสักอย่าง" เสีียงของพี่กันต์พูดอย่างช้าๆ และสั่นครืน เสียงสูดน้ำมูกของพี่กันต์ดังจนฉันได้ยินชัดเจน


              "พี่ก็รู้แค่ว่ามันคือกิจกรรมสันทนาการ แต่พี่ไม่รู้ว่าจะทำให้เด็กสนุกสนานกับกิจกรรมสันทนาการได้ยังไง" พี่กันต์หยุดพูดสักครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อไป "คนที่เป็นประธานชมรมฯ เขาจะต้องเป็นคนแบบไหน  ต้องเก่งนั้น ต้องเก่งนี้เหรอ ต้องเป็นคนมีความสามารถแบบนั้นเหรอ ใช่หรือเปล่า" 


              "พี่ก็รู้ตัวเองว่าพี่ไม่เหมาะจะเป็นประธานชมรมหรอก  แต่ทำไมเพื่อนพี่ต้องเทโหวตให้พี่ คิดหรือไงว่าหน้าตาตี๋ๆ เนิร์ดๆ อย่างพี่มีบุคลิกที่เป็นประธานงั้นเหรอ ทำไมเขาไม่เอาคนบริหารงานเก่งๆ ให้เป็นประธานฯ"


              "พี่กันต์...คือ...เอออ"  หลังจากที่พี่กันต์เงียบไปสักครู่ ฉันจึงเอ่ยปากพูดบ้าง  "หนูไม่รู้นะว่า ก่อนหน้านั้นพี่ผ่านมาอะไรมาบ้าง  แต่ประเด็นคือตอนที่หนูสมัครเข้ามาในชมรมครั้งนี้ พี่ก็ทำงานเป็นประธานได้ดีกว่าที่หนูคาดคิดไว้เสียอีก"


              "......"


              "หนูก็เห็นนะคะว่าพี่ก็พยายามพูดคุย ประชุมร่วมกันกับสมาชิกชมรม ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ และมีส่วนร่วมรับผิดชอบงานกิจกรรมต่างๆ ภายในชมรมอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าจะมีความขัดแย้งในชมรมก็ตามเถอะ  แต่พี่ก็ใส่ใจความคิดเห็นทุกคน พี่เป็นผู้นำชมรมฯ ที่ดีได้นะ" ฉันพยายามพูดให้กำลังใจพี่กันต์  


              "......"


              "ตอนที่หนูสมัครชมรมเข้ามากับเพื่อน หนูเองก็กลัวเหมือนกันว่าจะอยู่ชมรมนี้ยังไง  กลัวว่าจะอยู่โดดเดี่ยวหรือเปล่า"


              "แต่พอมีพี่กันต์ที่เป็นแบบนี้ พี่ก็ทำให้หนูรู้สึกว่าหนูก็มีส่วนสำคัญกับชมรมมากขึ้น   นอกจากพี่เอาใจใส่กับงานแล้ว พี่ยังเอาใจใส่กับสมาชิกภายในชมรมเช่นเดียวกััน ถึงพี่ก็ไม่เก่งเท่าคนอื่นเขา แต่หนูคิดว่าพี่นะ..คือศูนย์รวมจิตใจของคนในชมรม งานกิจกรรมที่เดินทางมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ก็เป็นเพราะพี่นะ  สำหรับหนู หนูคิดว่า พี่เป็นประธานชมรมฯ ที่ดีแล้ว"          

     
              พี่กันต์สูดลมหายใจลึกๆ แล้วลุกขึ้นยืน หันหน้าเข้าหาฉัน ฉันเห็นใบหน้าของพี่กันต์แดงก่ำ มีร่องรอยน้ำตาน้ำมูกทิ้งอยู่บนใบหน้า พี่หยิบผ้าเช็ดหน้าจากภายในกระเป๋าเสื้อและซับน้ำตา หลังจากนั้นพับเก็บลงในกระเป๋า


              "พี่รู้แล้วว่ากิจกรรมต่อไป พี่ควรจะทำยังไง....ขอบใจมากนะน้องอร"  พี่กันต์เชิดหน้าชูตา มองท้องฟ้า แล้วสูดลมหายใจลึก พร้อมกล่าวให้ฉันได้ยินว่า  "ไปทำกิจกรรมกันต่อเถอะ"


             สักครู่หนึ่ง ฉันรู้สึกเหมือนมีใครเดินตามข้างหลัง เขามีกลิ่นตัวแปลกประหลาด เมื่อหันหลังกลับไป ฉันเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนพิงต้นไม้ สวมแว่นตาดำ เอามือกอดอก และจ้องมองเราทั้งสองคน


              "เอ้า.......หยุดเดินทำไมล่ะน้อง มาเดินข้างๆ พี่สิ"  ฉันหันหลังกลับเห็นพี่กันต์ยืนหันหัวมาส่งยิ้มให้กับฉัน

              
    To be Continue....



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in