วันผู้บริจาคโลหิตโลกเริ่มมีมาตั้งแต่ปี 2004 โดยเลือกเอาวันที่ 14 มิถุนายน วันเกิดของ Karl Landsteiner นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล ผู้ค้นพบหมู่โลหิตระบบ ABO

ปัจจุบันยังไม่สามารถหาสารประกอบใดที่สามารถใช้แทนโลหิตได้ดี การบริจาคเลือดจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยเหลือผู้ป่วยที่จำเป็นต้องนำเลือดไปใช้ทดแทนโลหิตที่ร่างกายสูญเสียไปในภาวะต่าง ๆ เช่น อุบัติเหตุ การผ่าตัด การคลอดบุตรผิดปกติและโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย เป็นต้น

เม็ดโลหิตแดง พลาสมา และเกล็ดโลหิต คือ ส่วนประกอบของเลือดที่เราสามารถบริจาคให้กับผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องได้รับเลือดได้  องค์การอนามัยโลก (WHO) จึงให้การสนับสนุนโครงการวันผู้บริจาคโลหิตโลกในการสร้างความตระหนักถึงการบริจาคโลหิตอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มีโลหิตที่มีคุณภาพ ปลอดภัย เพียงพอ ทั้งในเวลาปกติและภาวะฉุกเฉินจากวิกฤตการณ์ต่างๆ และเพื่อขอบคุณผู้บริจาคโลหิตทุกคนที่มีน้ำใจมอบเลือดเป็นของขวัญชีวิตให้แก่คนที่พวกเขาไม่รู้จักโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน

การบริจาคโลหิตแต่ละครั้ง เป็นการนำโลหิตประมาณ 350-450 มิลลิลิตร (ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของผู้บริจาค) ออกจากร่างกายของผู้บริจาคหนึ่งคน แต่สามารถนำไปใช้กับผู้ป่วยได้อย่างน้อยสามคน ผู้บริจาคเพียงสละเลือดส่วนที่ร่างกายยังไม่จำเป็นต้องใช้ให้กับผู้ป่วย จึงไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริจาค อีกทั้งเมื่อบริจาคโลหิตออกไปแล้ว ไขกระดูกก็จะทำหน้าที่สร้างเม็ดโลหิตขึ้นมาทดแทน เพื่อให้ร่างกายมีปริมาณโลหิตเท่าเดิม จึงไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะมีผลเสียต่อร่างกาย ผู้บริจาคระลึกไว้ได้เลยว่า เลือดของเรามีค่าเท่ากับชีวิตคน ๆ หนึ่ง (หรือมากกว่า) ฉะนั้นไปบริจาคเลือดให้เป็นกิจวัตรกันเถอะ เจาะเลือดเจ็บน้อยกว่าเจาะหูอีก นี่พูดจริงนะเนี่ย

*** เกร็ดเล็ก เกร็(ล)ดเลือด ***

- การบริจาคเลือดสามารถบริจาคได้ทุก 3 เดือน หรือปีละ 4 ครั้ง เลยทีเดียว

- เกล็ดโลหิตบริจาคได้เดือนละ 1 ครั้ง โดยส่วนใหญ่จะรับบริจาคเฉพาะผู้ชาย แต่ถ้าผู้หญิงมีปริมาณเกล็ดเลือดมากเพียงพอก็สามารถบริจาคได้เช่นกัน

- ก่อนไปบริจาคโลหิตควรทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำเยอะ ๆ ดูและสุขภาพ พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ได้เลือดที่มีคุณภาพที่สุดแก่ผู้รับ

อ้างอิง