เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I Know It's Real, I Can Feel It | TXT Fan Fictionsa week before valentine
โพสต์นี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมกับเยาวชน Remember Me | #yeonbin
  • Rating: Explicit

    Archive Warning (s) : None

    Fandom (s) : TOMORROW X TOGETHER

    Categories: M/M

    Relationship: YEONJUN/SOOBIN

    Characters: YEONJUN, SOOBIN





    Work Title: Remember Me


    Notes: PWP อีกแล้วแม่ 555555555555555555


    Warning: PWP, Explicit Content, ไม่เหมาะสำหรับเยาวชนอายุต่ำว่า 18 ปี



    Disclaimer: บทความนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงแต่อย่างใด และไม่มีเจตนาสร้างความเสื่อมเสียแก่บุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงที่ถูกกล่าวถึงใด ๆ ทั้งสิ้น






    Remember Me

    YEONJUN/SOOBIN









    หากใครถามซูบินว่า บรั่นดียี่ห้อไหนดีที่สุด เขาย่อมตอบได้เต็มปากเต็มคำว่า บรั่นดีจากปากของยอนจุนนั่นแหละ คือที่สุดของสุราทั้งปวงแล้ว





    แก้วใสบรรจุของเหลวสีอำพันวางลงตรงหน้าชายหนุ่มที่เพิ่งนั่งลงได้ไม่ถึงห้านาที ชเวยอนจุนไม่ได้สั่งอะไรเป็นพิเศษเพียงแต่บอกบาร์เทนเดอร์ว่าขอค็อกเทลดี ๆ สักแก้วที่คิดว่าเหมาะกับลูกค้าอย่างเขาในคืนนี้ คังแทฮยอนเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายจึงไม่ได้ถามเพิ่มเติมอีก แต่เมื่อสิ่งที่วางลงตรงหน้าดูไม่มีอะไรมากกว่าแค่บรั่นดีเพียว ๆ ในแก้วทรงเตี้ยที่น้ำแข็งก้อนกลมใหญ่เกือบเท่าแก้วกำลังกลิ้งกระทบขอบแก้วเป็นเสียงกรุ๊งกริ๊งเหมือนกระดิ่งลมเคล้าเสียงดนตรีแจ๊ซจากนักดนตรีบนยกพื้นข้างบาร์ ยอนจุนก็อดมองหน้าคนชงไม่ได้

    “ไม่ชงอะไรให้หน่อยหรือไง”

    คังแทฮยอนใช้ผ้าเช็ดปากแก้วเปล่าใบหนึ่งขณะเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “พี่ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองอยากกินอะไร ผมจะไปรู้ได้ยัง”

    “ก็บอกว่าอะไรที่น่าจะเหมาะกับฉันวันนี้”

    แทฮยอนหรี่ตามองเขา “วันนี้พี่ดูไม่มีชีวิตชีวาเกินไป กินเพียวไปเถอะครับ ไม่แย่นักหรอก นาน ๆ คืนสู่สามัญบ้างก็ดี”

    ยอนจุนเบะปากเพราะเถียงบาร์เทนเดอร์ตรงหน้าไม่ได้ คังแทฮยอนก็เป็นแบบนี้ เถียงเก่งเสียเหลือเกิน

    สุดท้ายเพราะบทสนทนาอันยืดยาวแต่หาสาระไม่ได้นั้น ยอนจุนจึงคอแห้งจนต้องยกเครื่องดื่มเดียวที่มีตรงหน้าขึ้นมาดื่ม

    สัมผัสของบรั่นดีอย่างเดียวนั้นแสนจะบาดคอแต่ก็ทำให้ตาสว่างขึ้นมาโดยพลัน ยอนจุนถอนหายใจยาวตอนวางแก้วกลับลงบนโต๊ะอีกครั้ง แล้วแทฮยอนที่อยู่ตรงหน้าก็หายไปแล้ว

    เขาหันซ้ายหันขวามองหาคู่สนทนาเพียงคนเดียว จึงพบว่าบาร์เทนเดอร์หนุ่มเดินห่างออกไปรับลูกค้าที่ทางซ้ายของบาร์ ยอนจุนได้ยินบทสนทนาไม่ชัดนักเพราะเสียงเชลโล่กับเปียโนดังกลบไปพอสมควร แต่เสี้ยวหน้าด้านข้างของลูกค้าคนนั้นก็ทำให้เขาเผลอหลุดเรียกอีกฝ่ายไป

    อาจเพราะความขมบาดคอของบรั่นดีแก้วนั้นก็ได้ ทำให้ยอนจุนเกิดลูกบ้าขึ้นมา

    “ซูบิน?”

    เสียงที่ผ่านคอออกไปดังกว่าที่คาด แทฮยอนหันมามองเขา รวมถึงเจ้าของชื่อด้วย

    แววตาประหลาดใจฉายชัดบนแก้วตาสีดำใส คิ้วเรียวเลิกขึ้นก่อนซูบินจะแย้มยิ้มน้อย ๆ จนเกิดรอยบุ๋มข้างแก้ม แล้วลุกจากเก้าอี้สตูลตรงที่ตัวเองนั่งเปลี่ยนมาเป็นที่ข้างเขา

    แทฮยอนตามมาชงค็อกเทลตรงหน้าพวกเขา แต่ยอนจุนไม่ได้สนใจนัก เพราะมันไม่ใช่เครื่องดื่มของเขา และคนข้าง ๆ น่าสนใจกว่ามากเลย

    “กลับมาจากอเมริกาตั้งแต่เมื่อไหร่ พี่ยอนจุน”

    คำถามแรกพาให้ความทรงจำและความรู้สึกหลากหลายท่วมท้นออกมาโดยไม่รู้ตัว

    “ก็เดือนนึงได้แล้ว เปื่อย ๆ น่ะ ยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

    “ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”

    “อืม”

    “พี่ดูดีขึ้นนะ”

    ยอนจุนเลิกคิ้ว “พี่ในความทรงจำของเธอเป็นยังไงถึงพูดแบบนั้นกัน”

    ซูบินหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะใสพอ ๆ กับน้ำแข็งกระทบแก้วที่ยอนจุนเคยได้ยินก่อนหน้านี้

    “เนิร์ดคนหนึ่งที่ดูไม่สนใจอะไรมากไปกว่าบทเรียนน่ะครับ”

    “แล้วมันแย่หรือไง”

    “เปล่าหรอก” ซูบินส่ายศีรษะช้า ๆ “เพราะตอนนั้นผมก็ชอบพี่อยู่”

    ตอนนั้น

    ยอนจุนได้ยินคำสำคัญนั้นชัดเจนเต็มสองหู เขาเสยกแก้วเหล้าตัวเองขึ้นจิบอีกรอบก่อนเอ่ยต่อ

    “แล้วเป็นไงเรา บอกแต่ว่าพี่ดูดีขึ้น ตัวเองก็เอาเรื่องอยู่นะ” ยอนจุนว่าพลางกวาดสายตามองคนข้าง ๆ ชเวซูบินผู้ไม่ค่อยแต่งตัวในอดีตหายไปแล้ว กลายเป็นชายหนุ่มผู้รู้จุดเด่นของตัวเอง สวมกางเกงอวดช่วงขาเรียวยาว เอาเสื้อทับในอวดเอวเพรียว

    พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น ซูบินก็ยิ้มตอบ

    “ก็พี่แต่งตัวเก่งนี่นา ผมก็อยากลองทำตามบ้าง”

    ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะตอนที่แทฮยอนเสิร์ฟค็อกเทลของซูบินลงตรงหน้า ยอนจุนฟังคำอธิบายค็อกเทลผ่าน ๆ ยกเว้นชื่อที่ทำให้เขาต้องหันไปมองหน้าคนสั่งอีกรอบ

    Remember Me

    จนเมื่อแทฮยอนเดินห่างออกไป เขาจึงเอ่ยถามออกมา

    “ช่วงนี้ไม่มีแฟนเหรอ ถึงออกมาคนเดียว”

    ซูบินจิบค็อกเทลเล็กน้อย ยอนจุนเห็นริมฝีปากอิ่มสวยคู่นั้นเลอะเกลือที่โรยอยู่ตรงปากแก้ว “เลิกกันได้หลายอาทิตย์แล้วครับ พี่ล่ะ”

    ยอนจุนยักไหล่ “โสดมาเป็นเดือน ๆ แล้วเหมือนกัน”

    คำพูดต่อมาทำให้ยอนจุนที่ทำท่าไม่ยี่หระอะไรถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ

    “…งั้นคืนนี้ อยู่ด้วยกันไหมครับ”

    ซูบินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ประกายนัยน์ตาคาดหวังเต็มเปี่ยม

    แล้วยัง... ยอนจุนเหลือบมองมือขาวที่วางลงตรงหน้าขาเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ซูบินขยับเข้ามาใกล้ขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน ยอนจุนไม่รู้ตัวเลย

    “เมาแล้วหรือไง”

    ซูบินส่ายหน้า “กินไปยังไม่ถึงครึ่งแก้ว เอาอะไรมาเมาล่ะครับ”

    “เป็นคนตรงไปตรงมาไม่เปลี่ยนเลยนะ”

    “ชีวิตไม่ได้มีเวลาให้อ้อมค้อมมากหรอกครับ” ซูบินว่า “ผมเปิดห้องอยู่ข้างบนนะ ขอผมหมดแก้วนี้แล้วไปกันเถอะ อยากอยู่กับพี่จะแย่แล้ว”

    คำพูดเหล่านั้นพาให้ผิวแก้มของคนฟังร้อนผ่าวขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ขณะที่คนพูดพูดจบก็ผละมือออกจากขาเขากลับไปสนใจค็อกเทลตรงหน้าต่อ ยอนจุนมองตามเสี้ยวหน้าด้านข้างที่กำลังจดจ่อกับเครื่องดื่มอย่างพิศวง

    ชเวซูบินเป็นคนตรงไปตรงมาที่อ่านยากที่สุดในโลกจริง ๆ





    ยอนจุนกับซูบินเคยคบกัน เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย จะเรียกว่าเป็นช่วงค้นหาตัวเองก็คงไม่ผิด พวกเขาลองจูบกับผู้ชายเป็นครั้งแรก และมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ชายด้วยกัน -- ก็คือกันและกัน -- ในช่วงเวลาเหล่านั้น แต่ก็ห่างหายกันไปเพราะยอนจุนไปเรียนต่อที่อเมริกา ส่วนซูบินก็ใช้ชีวิตอย่างผู้ชายเกาหลีที่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ รสนิยมทางเพศของตัวเองต่อไป

    เพราะไม่ได้เลิกกันแบบตัดขาดความสัมพันธ์ และต่างก็เติบโตขึ้นกันมากแล้ว พอกลับมาเจอกัน ยอนจุนจึงพบว่า ตัวเองไม่ได้เลิกรักซูบินไปเสียทีเดียว ซูบินในตอนนี้ยังคงมีเสน่ห์แบบที่ตัวเขาสมัยมัธยมละสายตาไม่ได้ และทวีคูณอะไรบางอย่างที่ทำให้ยอนจุนรู้สึกเหมือนซูบินคนนี้อันตรายกว่าคนที่เขาเคยรู้จัก

    ห้องพักของซูบินเป็นห้องเตียงเดี่ยวห้องหนึ่งของโรงแรม ทันทีที่ประตูห้องปิดลงก็ราวกับเป็นสัญญาณเริ่มต้น ซูบินพุ่งตรงเข้ามาหาเขา กดจูบและไล้เลียริมฝีปากราวกับหิวกระหาย น่าสงสัยว่าเครื่องดื่มที่ดื่มไปก่อนหน้านี้ผ่านไปเข้าในร่างกายเจ้าตัวจริง ๆ หรือไม่ ถึงได้พยายามตักตวงจากภายในปากของยอนจุนไม่หยุดจนคนอายุมากกว่าต้องเป็นฝ่ายรุกไล่กลับบ้างเพื่อปรับจังหวะหายใจ ชเวซูบินคล้องแขนอยู่หลังคอของเขา ร่างกายแนบชิดกันแม้จะมีเสื้อผ้ากั้น แต่ปลายนิ้วของยอนจุนบีบเคล้นเอวบางของคนตรงหน้าไปมาผ่านเสื้อเชิ้ตแล้วค่อย ๆ ดึงชายเสื้อออกอย่างระมัดระวัง ตราบเมื่อสัมผัสได้ถึงผิวเนียนนุ่มใต้เสื้อตัวนั้น เขาจึงได้ยินเสียงลมหายใจของซูบินชะงัก

    แต่เพียงครู่เดียว ซูบินก็รุกจูบเขาอีกครั้ง ยอนจุนจึงหันกลับไปสนใจสัมผัสที่ริมฝีปากตัวเอง ปล่อยให้ฝ่ามือทำตามสัญชาตญาณ ไล่สัมผัสผิวใต้ร่มผ้านั้นอย่างระมัดระวัง บรรจงเคล้นคลึงผิวกายเย็น ๆ ตัดกับลมหายใจอุ่นร้อนของเจ้าของห้องที่กระทบผิวหน้าเขาอยู่ ซูบินรุกจูบจนดันให้ยอนจุนนั่งลงบนเตียง ขณะที่ตัวเองนั่งลงบนตักเขาแล้วไล่จูบซับสันกรามของยอนจุนไปมาเหมือนกำลังคลอเคลีย

    “…ตกใจอยู่นะ”

    ซูบินหัวเราะเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้น

    “ผมเหมือนจะกินพี่เข้าไปเลยใช่ไหม”

    เขาพยักหน้า ซูบินยิ่งหัวเราะหนักกว่าเดิม

    “พี่รู้ไหม” ซูบินพึมพำ กดริมฝีปากบนกลีบปากเขาซ้ำอีกครั้ง “ผมเพิ่งรู้ว่าเหล้าเพียว ๆ ก็รสชาติดีทีเดียว พอมันอยู่บนปากพี่”

    “…ใครสอนให้พูดแบบนี้กันเนี่ย”

    ยอนจุนพึมพำก่อนจะช้อนร่างคนที่นั่งตักให้ลงนอนบนเตียงแล้วขึ้นไปคร่อมไว้ ซูบินดูสนุกเมื่อเขาทำแบบนั้น ยอนจุนจึงกดจูบลงที่ปลายจมูกนั่นแรง ๆ อย่างมันเขี้ยว

    “วันนี้จะอยู่ด้วยกันทั้งคืนเลย พี่สัญญา”

    ซูบินยิ้มมุมปาก “ผมจะรอดูว่าพี่จะอยู่ได้ทั้งคืนอย่างปากว่าจริงไหม”

    ราวกับคำท้าทายไปกระตุกต่อมอะไรสักอย่างของยอนจุนเข้า คนเป็นพี่จึงตะโบมกดจูบลงบนริมฝีปากอิ่มคู่นั้นอีกครั้ง เขาได้ยินเสียงหอบหายใจของคนใต้ร่างเป็นช่วง ๆ เมื่อผละริมฝีปากออก ร่างกายท่อนบนของเจ้าของห้องเปลือยเปล่าไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ ยอนจุนเองก็ไม่รู้ว่าเสื้อตัวเองหายไปตอนไหนเช่นกัน แต่รู้สึกตัวอีกทีตัวเขาก็กำลังกดจูบซับผิวเหนือแอ่งสะดือของชายหนุ่มผิวขาวจัดตรงหน้าอยู่

    เสียงลมหายใจของซูบินดังก้องห้องพัก ยอนจุนผละสายตาจากหน้าท้องขาวบางขึ้นไปมองใบหน้าของคนที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ ผิวแก้มขาวของซูบินเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ หากสัมผัสชีพจรตอนนี้คงรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหัวใจอีกฝ่ายเต้นเร็วและแรงแค่ไหน

    แต่ยอนจุนก็ไม่ต่างกัน

    เขาแกล้งเป่าลมหายใจใส่หน้าท้องขาวนั่นอีกรอบให้อีกฝ่ายเกร็งจนเผลอแขม่วมันเล่น หลุดหัวเราะคิกคักเมื่อรู้สึกได้ว่าคนที่นอนอยู่เริ่มใจร้อน ขายาวใต้กางเกงสแล็กเลื่อนมาใกล้ ยกเท้าสะกิดแถวเป้ากางเกงเขาเบา ๆ ยอนจุนยกมือปิดปาก ทั้งขำทั้งเขิน

    “มันต้องขนาดนี้เลยหรือไง ซูบินอา”

    “พี่ก็อย่าลีลาได้ไหมล่ะครับ” เจ้าของชื่อมุ่ยหน้า “ลีลาไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก”

    จริงอย่างที่ซูบินว่า แต่ยอนจุนก็แค่อยากแกล้งอีกฝ่ายเท่านั้น และซูบินคงจับทางทันเลยรีบเร่งให้เขาเลิกลีลาเสียที

    ยอนจุนตอบรับคำเร่งเร้านั้นด้วยปลายนิ้วที่เลื่อนเกลี่ยวนรอบแอ่งสะดือขาวไล้ต่ำลงมาจนถึงตะขอกางเกง เขาปลดมันออกอย่างบรรจง ก้มลงใช้ฟันกัดปลายซิปกางเกงรูดลงมาอย่างใจเย็น ได้ยินเสียงขบกรามจากคนด้านบนดังขึ้นมา ก่อนที่สองมือจะรูดรั้งกางเกงให้มากองตรงหน้าขา

    “...แล้วทำไมพี่ไม่ถอดไปเลย”

    “ก็มันเซ็กซี่กว่า”

    “…”

    สองมือดันต้นขาคนที่นอนอยู่ให้แยกออกจากกัน ก่อนที่คนอายุมากกว่าจะก้มลงสัมผัสส่วนที่ตื่นตัวขึ้นมาผ่านกางเกงชั้นใน ซูบินเชิดหน้าขึ้นด้วยความเสียดเสียว เขารู้สึกได้ถึงปลายชิ้นชื้นแฉะและริมฝีปากนุ่มหยุ่นของอีกคนที่สัมผัสร่างของเขาผ่านผ้าผืนบาง ชเวยอนจุนเล้าโลมเขาแต่ไม่สัมผัสตรง ๆ สักที ซูบินใกล้แตะฝั่งหลายครั้งแต่ยอนจุนก็กระชากเขากลับมาทุกครั้ง

    เขายื่นมือไปกระชากผมอีกฝ่ายขึ้นมาเบา ๆ ชเวยอนจุนที่กำลังเพลิดเพลินกับหว่างขาเขาเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

    ซูบินรู้ตัวทันทีว่าหลงกลเข้าให้แล้ว

    ถ้ารีบร้อนนักก็ทำเองเลยสิ แววตาของชเวยอนจุนบอกแบบนั้น

    ซูบินยิ้มมุมปาก “พี่ขึ้นมา”

    ยอนจุนรีบคลานขึ้นมานอนข้างเขาทันทีเหมือนรอคำนี้อยู่แล้ว ซูบินพรูลมหายใจ ความรู้สึกวาบหวามยังหลงเหลืออยู่บ้างแต่ความมึนเมาจากแอลกอฮอลล์หายไปนานแล้ว

    ซูบินยกขาถอดกางเกงทั้งหมดทิ้งอย่างไม่ไยดี ก่อนจะวาดขาคร่อมคนที่เปลี่ยนท่ามาเป็นกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียง

    ยอนจุนเอื้อมมือมาจับต้นขาเขา สายตาบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังชื่นชม

    ซูบินคุกเข่าคร่อมอยู่เหนือกลางลำตัวอีกฝ่าย แต่ไม่ยอมทิ้งตัวลงนั่ง เขาขยับขึ้นไป ก้มศีรษะลงราวกับจะจูบอีกคน แต่ทำเพียงวางหน้าผากให้สัมผัสกันเท่านั้น

    “ถ้าพี่จะเล่นแบบนี้” ซูบินพูดเสียงเบาราวกับกระซิบ “ผมก็ไม่ได้ติดอะไรหรอกนะครับ” ก่อนที่มือข้างหนึ่งของเขาจะคว้าไหล่ของยอนจุนต่างหลักยึด มืออีกข้างที่ว่างเลื่อนมาจับกรอบหน้าอีกคน ปลายนิ้วโป้งไล้ริมฝีปากล่างของยอนจุนก่อนจะสอดแทรกเข้าไปเป็นเชิงขออนุญาต ซูบินสอดนิ้วชี้กับนิ้วกลางเข้าไปในโพรงปากของยอนจุน สัมผัสความอุ่นชื้นและปลายลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดหยอกล้อกับปลายนิ้วเขาทั้งที่สายตายังประสานกันอยู่ เขาค่อย ๆ ถอนนิ้วออกจากปากอีกฝ่าย แล้วเปลี่ยนมาสอดมันเข้าไปช่องทางด้านล่างของตัวเองแทน

    ยอนจุนตาโต

    ซูบินไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายพูดอะไร เขาก้มลงกดจูบลงกลีบปากชื้นแฉะนั้น ขณะที่มืออีกข้างไล้ตามแนวไหปลาร้าคนที่นอนอยู่อยากหยอกเย้า นิ้วทั้งสองก็ปรนเปรอช่องทางของตัวเองไปด้วย เสียงหอบหายใจของเขาดังผะแผ่วอยู่ในห้อง ได้ยินเสียงหายใจติดขัดของยอนจุนดังมาเป็นระลอก

    ก็อยากลีลานัก ซูบินก็จะเล่นให้เต็มที่ไปเลย

    ชเวยอนจุนตอนนี้เหมือนคนโง่ ไม่รู้แล้วว่าควรวางมือไว้ตรงไหน ซูบินหยอกล้อกับริมฝีปากเขาราวกับมันเป็นตาน้ำผุดกลางทะเลทรายแห้งแล้งที่ตักตวงได้ไม่สิ้นสุด หรือไม่ลิ้นของอีกฝ่ายก็คงเปลี่ยนให้ต่อมน้ำลายของเขากลายเป็นไวน์ได้ ไม่อย่างนั้นซูบินคงไม่ทำท่าราวกับมัวเมาในรสชาติของมันขนาดนี้

    มือข้างหนึ่งของยอนจุนบีบนวดหน้าขาคนที่ยังคุกเข่าคร่อมเขาแต่ไม่ยอมทิ้งตัวลงมา เลื่อนขึ้นไปบีบสะโพกนิ่ม ทุกครั้งที่ปลายนิ้วเฉียดสัมผัสกับนิ้วของอีกคนก็รู้สึกอยากเป็นฝ่ายเข้าไปสำรวจปากทางนั้นบ้าง แต่เพราะซูบินยังไม่อนุญาตจึงทำได้เพียงแสดงความรู้สึกนั้นผ่านการสอดแทรกปลายลิ้นสำรวจโพรงปากอุ่นของอีกฝ่ายแทน มืออีกข้างค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตอีกฝ่ายทีละเม็ด ผิวขาวผุดผาดกระจ่างแก่สายตา เขาเลื่อนมือไปสะกิดปลายยอดนุ่มนิ่มของอีกคนเพื่อเร้าความรู้สึก สัมผัสได้ว่าซูบินสะท้านขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง จนต้องผละริมฝีปากออกมามองหน้าเขา

    “ทำไมชอบแกล้ง”

    “...เธอก็แกล้งพี่อยู่เหมือนกันนะ”

    "ก็พี่ลีลา"

    “ก็อยากใช้เวลาอยู่กับเธอนาน ๆ” เขาว่าอย่างออดอ้อน ยื่นจมูกไปถูไถปลายจมูกอีกคน “ไม่ชอบเหรอครับ”

    ซูบินหัวเราะในคอ “พี่ก็แบบนี้ทุกที”

    "ทำไม"

    “ปากหวาน"

    “จริงเหรอ”

    "ก็ชิมแล้ว หวานจริง”

    ไม่พูดเปล่า ยังยื่นหน้ามากดจูบเขาอีกรอบเพื่อย้ำคำพูดตัวเองด้วย

    ยอนจุนปล่อยให้ซูบินทำตามใจตัวเอง เพราะเขาก็จะทำแบบนั้นเช่นกัน

    มือข้างที่ลูบไล้ผิวกายขาวใต้เสื้อเชิ้ตเลื่อนไปบีบเคล้นเอวบางไปมา ก่อนจะเลื่อนไปสัมผัสแก่นกายของคนที่เอาแต่ปรนเปรอช่องทางด้านหลังตัวเอง ชักรูดจนซูบินส่งเสียงครางแผ่วออกมา ยอนจุนมองหางตาที่มีน้ำตาคลอหน่วงนั้นอย่างเอ็นดู แต่มือข้างนั้นก็ไม่หยุดสัมผัสศูนย์กลางอารมณ์ของเจ้าตัว ส่วนอีกข้างก็เค้นเนื้อสะโพกนุ่มนั้นไม่หยุด

    มือซูบินที่เคยหยอกล้อกับไหปลาร้าของเขาเปลี่ยนมาเกาะไหล่แน่น อีกฝ่ายหอบหายใจแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่ยอนจุนขยับ ซูบินก้มหน้าราวกับกำลังรวบรวมสติ ยอนจุนจึงก้มไปมองหน้าอีกฝ่ายบ้าง เขาเห็นซูบินขมวดคิ้ว หลับตาแน่น น้ำตาซึมอยู่ตรงหางตา ริมฝีปากอ้าออกตักตวงอากาศหายใจอย่างยากลำบาก

    “ก้มทำไมล่ะครับ” ยอนจุนถาม ใช้ปลายจมูกเกลี่ยคางอีกฝ่ายให้เชิดหน้าขึ้นมา “ทำเหมือนพี่ไม่เคยเห็นไปได้”

    ซูบินลืมตามองเขา ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่คำพูดเหล่านั้นก็กลืนหายไปในคอเมื่อยอนจุนเพิ่มความเร็วข้อมือ

    มือข้างที่เคยจับไหล่ยอนจุนเปลี่ยนมาคล้องคอ หน้าผากทิ้งตัวลงซบกับหน้าผากของยอนจุนอย่างไร้แรงต่อต้าน เสียงครางอื้ออึงและลมหายใจหอบดังอยู่ข้างหู ยอนจุนปัดมือซูบินที่ปรนเปรอช่องทางด้านหลังตัวเองออกแล้วเปลี่ยนเป็นฝ่ายสัมผัสมันแทน คนอายุน้อยกว่าสะท้านเฮือก น้ำตาไหลอาบแก้มที่ขึ้นสีระเรื่อ ยอนจุนขยับมือเร็วขึ้นอีกกระทั่งซูบินสะท้านไปทั้งร่าง ของเหลวสีขาวพวยพุ่งออกมา แต่ยอนจุนยังคงขยับมือทั้งสองข้างอยู่จนกระทั่งร่างที่สั่นกระตุกค่อย ๆ สงบลง ยอนจุนค่อย ๆ จูบซับริมฝีปากอิ่มที่สั่นระริกนั้นราวกำลังปลอมประโลม

    ลมหายใจของซูบินค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ มือที่อยู่หลังคอยอนจุนเปลี่ยนมาเป็นนวดวนเบา ๆ ราวกับออดอ้อน และทิ้งร่างลงบนตักเขาอย่างหมดแรง

    “หมดแรงแล้วเหรอครับ” ยอนจุนถาม

    ซูบินพรูลมหายใจ “ขอเวลาแป๊บนึงครับ” เจ้าตัวหายใจเข้าออกช้า ๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะจ้องหน้าเขาอีกรอบ “โอเค ต่อได้เลย”

    “เธอทำเหมือนเราแข่งกันอยู่”

    “เปล่าสักหน่อย” ว่าพลางทิ้งตัวลงนอนแผ่กับเตียง “คราวนี้พี่ทำเลยนะ ผมขอนอนเฉย ๆ”

    "พี่ก็ทำตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่นา"

    "ก็ถ้าพี่ไม่แกล้งผมเมื่อกี้ ผมก็จะทำให้อยู่หรอก”

    ยอนจุนหัวเราะ ไม่ปฏิเสธเรื่องที่แกล้งอีกคนจริง ๆ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นคนคุกเข่าคร่อมคนที่นอนอยู่บ้าง เขาเอื้อมมือไปหยิบถุงยางอนามัย ตรงหน้าคือซูบินที่เหลือเพียงเชิ้ตตัวเดียว สภาพยุ่งเหยิงทั้งผมเผ้าที่ไม่เป็นทรง ผิวแก้มยังแดงเรื่อ ริมฝีปากบวมเจ่อ ตามเนื้อตัวไม่ได้มีร่องรอยอะไรมากนักแต่แค่นี้ก็เพียงพอให้คนมองรู้สึกร้อนผ่าว

    “ตาพี่บ้างนะครับ” เขาว่าพลางปลดเข็มขัดตัวเองออก





    นาฬิกาที่หัวเตียงบอกเวลา 01:04 น.

    ชเวซูบินมองมันแล้วไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากส่งเสียงเครือจากลำคอแหบแห้งของตัวเอง ถ้าตีหนึ่งแปลว่าตอนนี้ก็สามชั่วโมงเข้าไปแล้วที่เขาอยู่กับชเวยอนจุน

    และจำไม่ได้แล้วด้วยว่าเสร็จกันไปกี่ครั้ง แต่ตอนนี้...

    ร่างกายช่วงบนของซูบินทิ้งตัวอยู่กับเตียง เขาตะแคงใบหน้ามองเห็นนาฬิกาอยู่ไกล ๆ แต่สะโพกยังลอยเด่นเพราะอีกคนจับยึดไว้ เขายังคุกเข่าอยู่กับเตียง ขณะที่ชเวยอนจุนยังขยับสะโพกกระทั้นกายเข้าหาเขาเบา ๆ ราวกับหยอกล้ออยู่

    ซูบินจำได้ราง ๆ ว่าได้ยินยอนจุนบ่นเรื่องถุงยางอนามัยหมด แต่เขาไม่แน่ใจกว่ากล่องใหม่หรือกล่องเดิม แต่มันไม่ใช่ว่าต่างฝ่ายต่างเสร็จเร็วอะไรหรอก แต่ชเวยอนจุนชอบแกล้งเขาเนี่ยสิ!

    กว่าจะเสร็จแต่ละครั้งนานเหลือเกิน หยอกอยู่ได้ เป็นแมวหยอกเหยื่อหรือไง

    “หมดแรงแล้วเหรอครับ” เสียงกระซิบเบา ๆ ดังขึ้นข้างหู ซูบินหรี่ตามองแววตาเป็นประกายเหมือนจิ้งจอกของคนพูด

    "จบรอบนี้ก็พอเถอะครับ ผมจะตายแล้วจริง ๆ”

    ยอนจุนหัวเราะ “ได้ครับ ๆ”

    ก่อนจะเร่งความเร็วขึ้นจนซูบินเผลอเกร็งไปทั้งร่าง ยอนจุนคร่อมทับร่างเขา มือยึดเอวเขาไว้แน่นแล้วกระทั้นกายเข้ามาเป็นจังหวะถี่ขึ้น ซูบินหอบหายใจหนักขึ้นทุกครั้งที่อีกฝ่ายสัมผัสจุดกระสัน ก่อนที่ทุกอย่างจะระเบิดออกอีกครั้ง ยอนจุนถอนกายออกไปและกดจูบซับไปทั่วร่างเขาอย่างเอาอกเอาใจ

    “ขอ...น้ำ...”

    พอเขาพูดแบบนั้น ยอนจุนก็รีบไปรินน้ำมาให้ทันที ซูบินค่อย ๆ พยุงตัวเองขึ้นนั่งพิงเตียง สะโพกร้าวระบมไปหมด รู้สึกเหมือนโดนซ้อมมาก็ไม่ปาน

    เขารับน้ำจากยอนจุนมายกขึ้นจิบ เห็นอีกฝ่ายนั่งมองเขาอยู่ตรงข้างเตียงด้วยสีหน้าเหมือนกำลังจะงอแง

    “...อะไรครับ”

    “ซูบินเจ็บเหรอ กินยาแก้ปวดไหม เดี๋ยวพี่ไปซื้อให้”

    ซูบินส่ายหน้า “ในกระเป๋าผมมีครับ หยิบให้หน่อย”

    ยอนจุนกระวีกระวาดหายาแก้ปวดในกระเป๋าเขาให้ทันที แกะให้เขาเรียบร้อยเสียด้วย

    ซูบินกินยาเสร็จก็มองคนที่นั่งเรียบร้อยมองหน้าเขา ราวกับคนละคนกับที่เพิ่งเคี่ยวกรำเขาอย่างหนักไป

    “ผมแค่เหนื่อย ๆ ถ้าพี่ไม่เพลียมากก็ฝาก...” เขากวาดตามองร่องรอยเลอะเทอะที่ต่างทำไว้แล้วก็ถอนหายใจ “นั่นแหละครับ"

    “ได้ครับ” ยอนจุนขยับมาหยิบแก้วน้ำออกจากมือเขา กดจูบที่หน้าผากเบา ๆ “เธอหลับก่อนก็ได้ จะตื่นกี่โมงครับ”

    “ตื่นสายได้ครับ พรุ่งนี้หยุด”

    “…ถ้าไม่หยุดก็คงได้ลาป่วย”

    “ถ้าไม่หยุดผมไม่ยอมพี่ขนาดนี้หรอกครับ"

    เขาทำหน้ามุ่ยคืนบ้าง ยอนจุนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ใส่เขาอีกรอบ

    “ขอโทษครับ”

    เป็นเด็กน้อยหรือไง

    “ผมไม่เป็นอะไรสักหน่อย” เขาว่า ทิ้งตัวลงนอน “จัดการเสร็จแล้วก็เรียกผมหน่อย คืนนี้อยากอยู่ด้วยกันยาว ๆ ไง ผมก็อยากนอนพร้อมพี่บ้าง”

    คำพูดนั้นทำเอาคนฟังหน้าแดงหูแดงขึ้นมาเสียอย่างนั้น ก่อนที่ยอนจุนจะกุลีกุจอเก็บกวาดห้อง แล้วซูบินก็จมลงสู่ห้วงนิทราเพราะความอ่อนเพลียอย่างรวดเร็ว





    ซูบินรู้สึกตัวอีกทีตอนที่รู้สึกได้ถึงสัมผัสนุ่มหยุ่นที่หัวไหล่ เป็นชเวยอนจุนที่กอดเขาจากด้านหลัง แผ่นหลังเขาแนบชิดกับแผ่นอกอีกฝ่าย ได้ยินเสียงหัวใจเต้นอยู่เบา ๆ

    “ซูบินอา”

    “ครับ? ”

    “กลับมาคบกันไหม”

    คนพูดพูดไปก็ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยผมข้างศีรษะเขาไปมา ซูบินพลิกกายหันกลับมามองคนพูด ยอนจุนนอนตะแคงเท้าศีรษะกับฝ่ามือมองเขาอยู่

    “คราวก่อนเราเลิกกันเพราะอะไรนะครับ”

    “พี่ไปเรียนต่อ ส่วนเธอก็...” ยอนจุนกลืนน้ำลาย “ทะเลาะกับที่บ้านเรื่องเป็นเกย์”

    “ตอนนี้พี่ทำงานอะไร”

    “…เป็นอาจารย์”

    ซูบินอ้าปากค้าง

    “จริงเหรอ"

    “…ทำไมต้องตกใจขนาดนั้น”

    “ผมแค่” ซูบินเม้มริมฝีปาก ก่อนพูดด้วยแววตาเป็นประกาย “สมัยพี่เป็นเนิร์ด ผมก็เคยคิดว่าถ้าพี่เป็นอาจารย์ต้องหล่อมากแน่เลย แบบพวกอาจารย์ฮ็อต ๆ ที่นักศึกษา––”

    ยอนจุนยกมือปิดปากอีกฝ่ายทันที “...เธอนี่นะ”

    ซูบินหัวเราะ “แล้วไม่ถามหรือไงว่าผมทำงานอะไร”

    “โห” ยอนจุนกลอกตา “ใครไม่เคยเห็นหน้าเธอบ้าง คุณนายแบบหนุ่มอนาคตไกล ชเวซูบิน”

    คนฟังหัวเราะ

    “แต่ก็สมเป็นนายแบบ” ยอนจุนไล้มือตามช่วงเอวบาง “หุ่นดีเชียว”

    “ก็นะ” นายแบบหนุ่มยักไหล่ “ได้โชว์ให้พี่เห็นก็คุ้มแล้ว”

    “แล้วยังไง” ยอนจุนกลับมาเรื่องเดิม “อยากกลับมาคบกันหรือเปล่าครับ”

    “ติดใจล่ะสิ”

    “นึกภาพเธอไปซนแบบนี้กับคนอื่นแล้วพี่ลมจะจับนะ เอาจริง ๆ”

    “พูดจาเหมือนลุงอะ”

    “ก็พี่เป็นอาจารย์”

    ซูบินกะพริบตาปริบ ๆ เอ่ยเสียงนุ่ม

    “อาจารย์ครับ”

    “…”

    ยอนจุนยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเอง

    “พี่ขี้เขินจริง ๆ ไม่เหมือนเวลามีอะไรกันเลย อย่างกับคนละคน”

    “…เอาล่ะ” ยอนจุนตีหน้าตัวเองเบา ๆ “ตกลงว่า? ”

    “คาดคั้นจังเลย"

    “ไม่อยากเหรอ” ซูบินรู้สึกเหมือนเห็นหูแมวลู่ลง “ถ้าไม่อยากจะได้ไม่สานต่อแล้ว พี่ก็ไม่อยากให้เธอลำบากใจ”

    “ผมยังไม่ได้พูดแบบนั้นเลย” ซูบินว่า “แค่คิดว่ากลับมาคุยกันก่อนไหมครับ สักเดือนนึง ถ้าโอเคก็กลับมาคบ เราห่างกันไปนานมากเลยนะ พี่ลืมหรือไง”

    คำพูดนั้นเหมือนจุดปัญญาให้แมวตรงหน้าเขา ซูบินเหมือนเห็นหูแมวตั้งขึ้นมาอย่างดีใจ

    “นั่นสินะ”

    “อืม”

    “ดีจัง” แล้วยอนจุนก็ทิ้งตัวลงทับเขา กอดรัดเขาไปมา “ดีจังเลย”

    “พี่ พี่ เบา ๆ มันเจ็บ...”

    ซูบินไม่รู้เหมือนกันว่ายอนจุนได้ยินเขาไหม

    แต่เอาเถอะ อย่างน้อยที่วางแผนไว้ทั้งหมดก็สมปรารถนาแหละนะ





    ย้อนกลับไปเมื่อวาน

    “แทฮยอนบอกว่า พี่ยอนจุนกลับมาแล้ว" ชเวบอมกยู ผู้จัดการของซูบินบอกเขาที่กำลังเตรียมถ่ายงานวันนี้ “เอาไง”

    “แล้วมาบอกตอนนี้เนี่ยนะ” ซูบินตาโต “คิดว่าจะเตรียมอะไรทัน"

    “แล้วจะเตรียมอะไรมากมาย" บอมกยูก้มลงมากระซิบ "หาทางไปเจอเขาให้ได้ก็พอ อย่าลืมสิ พี่ยอนจุนเคยหลงนายขนาดไหน”

    “…มันจะดีเหรอ ถ้าเขามีแฟนแล้ว"

    "ไม่มี" บอมกยูยืนยัน “ฉันสืบมาแล้ว โสด สนิท เหมือนนาย”

    “…"

    “เอาเป็นว่าทำงานเสร็จก็ว่าง ลองไปบาร์ที่แทฮยอนทำงานอยู่แล้วกัน โรงแรม T น่ะ จำได้ใช่ไหม”

    “…”

    “ที่เหลือก็ใช้ความถนัดเฉพาะตัวเอาแล้วกัน ชเวซูบิน เชื่อเถอะ ตัวนายที่ทำเอาเนิร์ดอย่างชเวยอนจุนสนใจอย่างอื่นไม่ได้ไปเป็นเดือนน่ะ ของแค่นี้ไม่อยากหรอก”

    บอมกยูอ่านขาดจริง ๆ

    จะตอนนั้น หรือตอนนี้ พี่ยอนจุนก็ลืมเขาไม่ลงจริงด้วย ๆ

    หรือพูดให้ถูกก็คือ ไม่เคยมีวันที่ลืมเขาเลยต่างหาก

    ก็นะ



    “Remember me.”

    คือคำสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้ให้ยอนจุนก่อนอีกฝ่ายจะบินไปอเมริกา

    สำหรับเขามันคือคำอธิษฐานให้อีกฝ่ายไม่ลืมกัน แต่อีกนัยหนึ่ง อาจเป็นคำสั่งสำหรับชเวยอนจุนก็ได้

    เช่นเดียวกับรสบรั่นดีจากปากของชเวยอนจุนที่เขาไม่มีวันลืม รสชาติเมื่อคืนแรกของพวกเขาตอนเรียนมหาวิทยาลัยเป็นอย่างไร จนถึงตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง



    หากใครถามซูบินว่า บรั่นดียี่ห้อไหนดีที่สุด เขาย่อมตอบได้เต็มปากเต็มคำว่า บรั่นดีจากปากของยอนจุนนั่นแหละ คือที่สุดของสุราทั้งปวงแล้ว




    FIN



    220604

    เหมือนฟิคจะมาทุกวันหยุดราชการเลย--

    ค่ะ ก็ อีกครั้งแล้วนะคะกับ pwp ถามว่าเขียนง่ายเหรอ ก็ไม่ แต่ก็...อยากเขียน /จริง ๆ คือเพิ่งเห็นว่ามันอยู่ในคอมมาหลายเดือนแล้ว เลยหยิบมาเขียนต่อ

    ก็ ก็ไม่รู้จะพูดอะไร 5555555555555

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in