เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I Know It's Real, I Can Feel It | TXT Fan Fictionsa week before valentine
Lucky | #yeonbin
  • Rating: Teen and Up Audiences

    Archive Warning (s) : None

    Fandom (s) : TOMORROW X TOGETHER

    Categories: M/M

    Relationship: YEONJUN/SOOBIN

    Characters: YEONJUN, SOOBIN, WOOYOUNG (ATEEZ)

    Additional Tags: Fluff, Rom-Com, Highschool AU

    Credit: ภาพปกโดย Photo by zehua chen on Unsplash



    Work Title: Lucky



    Notes:

    • ขออนุญาตเรียนเชิญคุณจองอูยองมาเป็นแขกรับเชิญในเรื่องนี้นะคะ
    • ไม่ได้ตรวจคำผิดก่อน ใครเจอสะกิดได้นะคะ เดี๋ยวมาแก้ค่า T_T



    Disclaimer: บทความนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงแต่อย่างใด และไม่มีเจตนาสร้างความเสื่อมเสียแก่บุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงที่ถูกกล่าวถึงใด ๆ ทั้งสิ้น



    ––––––––––––––––––––




    Lucky

    YEONJUN/SOOBIN





    ชเวยอนจุนเกลียดการตื่นเช้า

    คาบแรกของเขาเริ่มเรียนตอนเก้าโมงเช้า ปกติแล้วเขาจะตื่นสักแปดโมงครึ่งทำทุกอย่างให้เสร็จภายในสิบห้านาทีแล้วออกจากห้องตอนแปดโมงสี่สิบห้า ใช้เวลาสิบนาทีวิ่งสุดชีวิตไปถึงหน้าโรงเรียนตอนแปดโมงห้าสิบห้านาทีพอดี จากนั้นเดินเอื่อยเฉื่อยอีกหน่อยถึงหน้าห้องเรียนตอนแปดโมงห้าสิบแปด แล้วมีเวลาถอนหายใจเล่นก่อนออดคาบแรกจะดัง

    หากทำเช่นนี้ก็จะไม่ต้องตื่นเช้ามาก แต่จะหิวเพราะไม่ได้กินข้าวเช้า แล้วอาจจะสมองไม่ทำงานไปจนกว่าจะจบคาบแรกแล้วพอจะเจียดเวลาวิ่งลงจากตึกไปหาขนมปังโง่ ๆ สักชิ้นแอบกินตอนคาบถัดไป เป็นกิจวัตรที่ไร้ระเบียบจนน่าละอายถ้าต้องเล่าให้ใครฟัง แต่พอบอกกับชเวซูบินไปตรง ๆ ตอนที่กำลังกระวีกระวาดกวาดอาหารกลางวันลงท้องราวกับคนตายอดตายอยาก อีกฝ่ายกลับหัวเราะจนตาปิด แล้วบอกว่า “เดี๋ยวผมช่วยเอง”

    ตอนแรกยอนจุนคิดไม่ออกเลยว่า รุ่นน้องที่เด็กกว่าเขาหนึ่งปีซึ่งบังเอิญเจอกันที่เรียนพิเศษจะช่วยให้ชีวิตเขาดีขึ้นได้อย่างไร กระทั่งได้ทดลองปล่อยให้เจ้าเด็กตายิ้มแก้มยุ้ยคนนี้เข้ามาในชีวิตของเขาจริง ๆ จัง ๆ ชเวยอนจุนจึงรู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นคนที่โชคดีเสียเหลือเกิน

    โทรศัพท์มือถือของชเวซูบินดังตอนเจ็ดโมงเช้า

    ชเวยอนจุนเคยรำคาญมันในวันแรก ๆ เพราะเสียงรบกวนนี้ทำให้เขาต้องเสียเวลานอนไปหลายสิบนาที แต่ซูบินก็ดับความหงุดหงิดในใจของเขาด้วยปลายนิ้วที่เกลี่ยเบา ๆ ที่ข้างแก้มและริมฝีปากที่ประทับลงมา

    “ตื่นได้แล้วครับ พี่จุน”

    เพียงแค่นั้น ชเวยอนจุนก็ตาสว่างขึ้นมาทันใด

    ถ้าวันไหนเขาไม่ง่วงมากก็จะทันกอดฟัดอีกฝ่ายอยู่ราวห้านาที แต่ถ้าวันที่ชเวยอนจุนแบตอ่อนจนเกินจะตอบโต้ ซูบินจะเป็นคนกอดเขาแน่น ๆ แล้วค่อยลุกจากเตียงไป

    ชเวยอนจุนเคยคิดว่าชีวิตราวกับความฝันเช่นนี้คงมีแต่ในซีรีส์โรแมนติกเท่านั้นแหละ แต่พอเกิดขึ้นกับเขาจริง ๆ ก็ทำเอาอดยิ้มราวกับคนโง่ไม่ได้

    ซูบินตื่นก่อนเลยใช้ห้องน้ำก่อน ยอนจุนจะใช้เวลาที่รอจัดเสื้อผ้ามาวางให้เรียบร้อย พอแท็กมือเปลี่ยนตัวกันเข้าไปห้องน้ำ ออกมาก็จะเห็นซูบินที่แต่งตัวเสร็จแล้วกำลังเช็กกระเป๋านักเรียนของตัวเองอยู่

    “เธอไม่ลืมอะไรหรอกน่า”

    “ยังไงก็ควรดูอีกรอบก่อนอยู่ดีนี่นา” ซูบินว่า “พี่เถอะ ลืมหรือเปล่า มีงานต้องส่งไหมวันนี้”

    วินาทีนั้นเองที่ชเวยอนจุนนึกอยากกราบเท้าซูบินอีกสักรอบ เขาเกือบลืมหยิบรายงานวิชาประวัติศาสตร์ใส่กระเป๋าแล้วจริง ๆ

    ภารกิจทั้งหมดนี้เสร็จสิ้นในเวลาประมาณสามสิบถึงสี่สิบห้านาที แน่นอนว่าคนที่ช้ามักเป็นชเวยอนจุน เขามักใช้เวลาระหว่างแต่งตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ แกล้งหยอกซูบินบ้างจนคนเป็นรุ่นน้องบางทีต้องเดินหนีออกมาไปรอนอกห้องนอน จนยอนจุนพอใจนั่นแหละ กิจวัตรของพวกเขาจึงจะดำเนินต่อ

    แต่งตัวเสร็จยังไม่ทันแปดโมง ถ้าวันไหนคิดอะไรออกก็จะทำอาหารเช้ากินกันเองง่าย ๆ ก่อนไปเรียน แต่บางวันก็เลือกแวะซื้ออาหารที่ร้านสะดวกซื้อใกล้บ้านกินกัน ปกติแล้วยอนจุนไม่ชอบกินข้าวข้างนอก เมื่อก่อนตอนอยู่คนเดียวมันสะดวกก็จริง แต่พออยู่กับซูบินก็อยากใช้เวลากับซูบินมากกว่า

    “ถ้าเจอเด็กในโรงเรียนก็ต้องทำเป็นไม่รู้จักเธอน่ะสิ น่ารำคาญจะตาย”

    ซูบินมักจะหัวเราะกับคำพูดนั้น

    “ผมไม่เคยบอกให้พี่ทำแบบนั้นเลยนะ”

    “แต่ถ้าคนรู้ว่าเธอสนิทกับพี่ มันจะแย่เอานะ”

    ถ้าเขาพูดแบบนั้นออกไป ซูบินมักจะยื่นหน้ามากดจูบเบา ๆ ที่มุมปาก แล้วยิ้มกว้างให้

    “ผมบอกแล้วไง ผมไม่สนใจเรื่องพวกนั้นสักหน่อย”

    ชเวยอนจุนบอกแล้ว เขาเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก





    พอเข้าใกล้โรงเรียน ชเวยอนจุนจะเดินทิ้งห่างจากซูบินทันที รอจนอีกฝ่ายหันกลับมายิ้มให้เขาแล้วเดินเข้าโรงเรียนไปแล้ว เขาจึงจะออกเดินอีกครั้งเพื่อไม่ให้คนคิดว่าพวกเขามาโรงเรียนด้วยกัน

    มันเป็นเรื่องยากที่จะอธิบาย ชเวยอนจุนมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่บอกเล่าทุกอย่างให้ฟังได้ แต่กลับเรื่องนี้ก็รู้สึกว่ายากที่จะสาธยายให้ฟังว่ามันเป็นมาอย่างไร อะไรทำให้คนอย่างเขารู้จักจนถึงขั้นสนิทสนมกับนักเรียนตัวอย่างอย่างชเวซูบิน พวกเขาเรียนกันคนละชั้นปี อยู่กันราวกับคนละโลก ขณะที่ซูบินเป็นตัวแทนแข่งวิชาการของโรงเรียน ยอนจุนคือคนที่ถ้าพูดชื่อในหมู่นักเรียนเกเรทุกคนก็หวาดหวั่น เขาเป็นคนแบบนั้น คนที่พร้อมจะต่อยตีทุกคนที่เข้ามาหาเรื่อง เขาไม่เคยหาเรื่องใครก่อน แต่ก็ไม่เคยยอมใครเช่นกัน

    เหตุผลเดียวที่เขายังไม่โดนไล่ออกจากโรงเรียนแม้จะมีเรื่องจนถึงขั้นขึ้นโรงพักมาแล้วหลายรอบตลอดเวลาที่เรียนอยู่ม.ปลาย ก็เป็นเพราะ หนึ่ง เขาเป็นลูกชายคนเล็กของประธานบริษัทชเวกรุ๊ปที่ใหญ่ที่สุดในโซล สอง เขาไม่เคยหลุดห้าอันดับแรกของชั้นปี โรงเรียนจึงพอจะทำเป็นตาบอดกับพฤติกรรมห่าม ๆ ของเขาได้ และพ่อก็ไม่ได้สนใจเขาขนาดนั้น แค่ซื้อบ้าน (ห้องสตูดิโอหรูใจกลางเมือง) ให้เขาแล้วก็นาน ๆ จะติดต่อกันที แค่พี่ชายคนโตก็รองรับทุกความต้องการของพ่อได้หมดแล้ว เขาจะทำอะไรก็ได้ตราบใดที่ยังไม่ทำให้ใครล้มตายหรือผิดกฎหมายรุนแรง ยอนจุนคิดว่าตัวเองไม่ใช่เด็กมีปัญหาอะไร แต่คนอื่นเสียอีกที่คิดว่าเขามีปัญหาแบบนั้น พ่อคิดว่าเขามีปัญหาเพราะถูกตามใจจนเคยตัว ครูคิดว่าเขามีปัญหาเพราะพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ พี่ชายคิดว่าเขาอิจฉาที่ไม่เคยได้สิทธิ์อะไรจากพ่อ แต่ความจริงแล้วชเวยอนจุนแค่เบื่อและรำคาญเท่านั้น

    รำคาญพ่อที่ตามใจในเรื่องที่เขาไม่ได้ขอ เพราะพ่อไม่เคยรู้ว่าเขาอยากได้อะไร และเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองสนิทกับพ่อมากพอที่จะขอ

    รำคาญครูที่จับตามองเขามากเกินไปและคิดว่าเขาเหมือนไข่ในหิน แตะนิดแตะหน่อยก็พร้อมจะออกนอกลู่นอกทาง

    รำคาญพี่ชายที่คิดว่าเขาขี้อิจฉา ทั้งที่เขาไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย ดีใจเสียด้วยซ้ำที่ทุกอย่างไปตกที่พี่ แล้วเขาจะทำอะไรก็ได้

    คนที่ชเวยอนจุนไม่รำคาญมีน้อยคน หนึ่งในนั้นคือชเวซูบิน




    พักกลางวันมาถึงพร้อมกับเสียงออดบอกเวลา คาบเรียนภาษาอังกฤษจบลงทันทีด้วยความตรงต่อเวลาของอาจารย์ต่างชาติ ยอนจุนบิดขี้เกียจด้วยความเมื่อยขบสองสามทีก่อนจะเดินนำเพื่อนสนิทไปที่โรงอาหาร

    พวกเขาก็เหมือนพวกเด็กผู้ชายวัยรุ่นที่ชอบแสดงอำนาจและความเป็นเจ้าถิ่นบางอย่าง จึงมักมีพื้นที่ที่ตัวเองโมเมว่าถือสิทธิ์ครอง เช่น โต๊ะประจำในโรงอาหาร ยอนจุนกับเพื่อนก็มีที่แบบนั้น พอนั่งลงก็จะไม่มีใครมายุ่งกับโต๊ะนั้นอีกทั้งที่นั่งได้อีกประมาณสี่คน ตอนที่ยอนจุนกำลังตักข้าวคำที่สามเข้าปากก็มีเสียงที่คุ้นเคยเอ่ยขึ้นเบา ๆ

    “ขอนั่งด้วยได้ไหมครับ”

    ชเวซูบินกำลังยิ้มให้เขา

    ยอนจุนนิ่งค้าง เพื่อนสนิทสะกิดว่า ‘ไล่ไปดิ’ แต่เขากลับพยักหน้ารับ

    ซูบินยิ้มกว้าง ชวนเพื่อนของตนนั่งด้วย ขณะที่เพื่อนสนิทเขาทำหน้างง

    ยอนจุนโบกมือไปมาในอากาศ “รีบกินเถอะ” ก่อนจะกินข้าวต่อเหมือนไม่ได้สนใจอะไร ทั้งที่จริง ๆ แอบลอบมองอีกคนที่นั่งเยื้องไปบ่อย ๆ รอยยิ้มของซูบินทำให้อาหารอร่อยขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

    “อารมณ์ดีอะไรวะ”

    พอเพื่อนถามเขาก็แค่บอกว่า ไม่มีอะไร ทำเป็นไม่เห็นสายตารู้ทันของซูบิน และแอบทดไว้เอาคืนในใจข้อหาแกล้งทำให้เขาเสียอาการของเจ้ากระต่ายตัวแสบ





    พอเลิกเรียน ยอนจุนกับซูบินจะนัดเจอกันที่สถานีรถไฟใต้ดินใกล้โรงเรียนเพื่อไปเรียนพิเศษพร้อมกัน (แบบที่คนอื่นดูไม่ออก)

    พวกเขาจะคุยกันด้วยสายตาและแอปแชตในมือถือ ส่งข้อความบอกว่าแตะบัตรเข้ามาในสถานีแล้ว อยู่ตู้ที่เท่าไหร่ เพื่อให้เห็นกันในระยะสายตา พอพ้นเขตโรงเรียนที่ห่างออกไปสักสี่สถานีก็จะค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้กัน

    ซูบินขำกับอะไรแบบนี้ทุกรอบ

    “พี่ทำเหมือนมันเป็นเรื่องผิดกฎหมาย”

    “เธอก็รู้ว่าประเทศนี้มันเป็นยังไง”

    “แค่เป็นเพื่อนกันก็ไม่ได้เหรอ คุยกันแบบเพื่อนไง”

    “ไว้เธอซุกอกพี่ได้เหมือนคู่รักตู้ข้าง ๆ ในที่สาธารณะพี่อาจจะพิจารณาคำว่าเพื่อนนั่นนะ”

    ซูบินทำหน้าเหมือนจะกัดเขา “ผมสูงกว่าพี่อีก ทำไมพี่ไม่เป็นฝ่ายซุกอกผมล่ะ”

    “จะยังไงก็ดูแปลกไม่ใช่หรือไง”

    “บอกแล้วว่าผมไม่ได้สนใจ”

    “…”

    “แต่ถ้าพี่สนก็โอเค ผมได้หมด”

    ชเวซูบินเป็นเด็กดีมาก ๆ

    เขาเจอเด็กคนนี้ครั้งแรกที่โรงเรียนกวดวิชา วินาทีที่ครูคุมการสอบจำลองกำลังจะกล่าวหาว่าเขาขโมยข้อสอบออกไปและรู้คำตอบล่วงหน้าทำให้ได้คะแนนสอบเต็ม ชเวซูบินคือคนที่ออกตัวเป็นพยานให้เขา

    ‘ครูไม่มีหลักฐานนี่ครับว่ารุ่นพี่ยอนจุนเป็นคนทำแบบนั้น จะกล่าวหาเขาแค่เพราะเรื่องนี้ไม่ได้ ผมเห็นว่าใครเป็นคนทำ’

    นั่นแหละ ชเวซูบินที่กล้าออกปากปกป้องรุ่นพี่ที่ไม่เคยคุยกันมาก่อน และน่าจะได้ยินชื่อเสียแปลก ๆ ของเขามาเยอะ กลับพูดแก้ต่างให้ แถมพูดเป็นนัยด้วยว่าตัวการที่แท้จริงคือใคร -- ก็หลานของครูคนนั้นยังไงล่ะ

    ความประทับใจแรกที่ยอนจุนมีต่อซูบินเลยเป็นแบบนั้น คำขอบคุณกลายเป็นขอให้เลี้ยงข้าว ไป ๆ มา ๆ ก็คุยกันที่โรงเรียนกวดวิชาบ่อยจนเริ่มสนิทกัน เขาเอาชีตเก่า ๆ ไปให้ดูบ้าง อีกฝ่ายมาถามโจทย์ข้อที่ไม่เข้าใจบ้าง เริ่มเข้ามาในพื้นที่ชีวิตของกันและกันช้า ๆ จากโรงเรียนกวดวิชา เป็นร้านอาหารข้างทาง ร้านสะดวกซื้อระหว่างทางมาเรียน ไปจนถึงบ้านของอีกฝ่าย

    จากรุ่นพี่รุ่นน้อง กลายเป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งตั้งแต่เมื่อไหร่ ชเวยอนจุนไม่แน่ใจ มันค่อย ๆ เกิดขึ้นและก่อร่างสร้างตัวในใจของเขาอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง รู้สึกตัวอีกทีชเวซูบินก็กลายเป็นคนที่เขาคุยได้ด้วยทุกอย่าง ไว้ใจได้ทุกอย่าง แล้วก็อยากให้ซูบินมีความสุขโดยมีเขาเป็นคนสร้างมันให้อีกคน

    ดังนั้น หลังจากรู้จักกันได้ราวครึ่งปี ก่อนคริสต์มาส ชเวยอนจุน นักเรียนชั้นปีสอง จึงได้ออกปากบอกกับชเวซูบิน ปีหนึ่ง ว่า

    “คบกันไหม”

    “หมายถึง? ”

    “คบกัน ออกเดต กินข้าว ดูหนัง ไปเที่ยว จับมือกัน” เขาสบตากับซูบินที่มองอย่างประหลาดใจ “จูบกัน

    ตอนนั้นพูดออกไปโดยไม่ได้คิดว่าจะถูกปฏิเสธ ราวกับรู้อยู่แล้วว่า ความรู้สึกที่ซูบินส่งผ่านมาให้เขาด้วยคำพูดและการกระทำคืออะไร เพราะพวกเขาต่างยังเด็ก และไม่รู้ว่าโลกนี้มันโหดร้ายกับความรักของพวกเขาได้ขนาดไหน ยอนจุนจึงไม่ลังเลที่จะกล่าวความปรารถนาของตัวเองออกมา

    ซูบินในตอนนั้นนิ่งค้างไปนาน พวกเขาอยู่กันหน้าร้านอาหารอิตาเลี่ยนแห่งหนึ่งที่เพิ่งตกแต่งไฟรอวันคริสต์มาส พอสิ้นคำพูดนั้น ลมหนาวก็พัดมาวูบหนึ่งให้รู้สึกชาไปทั้งหน้า ซูบินมองซ้ายมองขวา แล้วริมฝีปากเย็นเยียบก็แตะเบา ๆ บนกลีบปากของเขา

    “ลองดูสิครับ”

    ยอนจุนจำวินาทีที่หัวใจพองโตนั่นได้เป็นอย่างดี

    จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาได้จะหกเดือนแล้ว ผ่านคริสต์มาสแรกด้วย ปีใหม่แรกด้วยกัน วาเลนไทน์แรกด้วยกัน ใบไม้ผลิแรก หน้าร้อนแรก จนถึงหน้าฝนแรกกำลังจะผ่านพ้นไป ยอนจุนชอบทุกช่วงเวลาที่ได้ใช้กับซูบิน และรู้สึกอยากให้มันเป็นแบบนี้ตลอดไปเลย

    เขาอยากบอกทุกคนว่าตัวเองเป็นคนรักของซูบิน แต่กลับไม่กล้าพอที่จะพูดออกไป ไม่กล้าแม้แต่จะบอกคนอื่นว่า สนิทกัน

    “คนอย่างชเวซูบินมานั่งโต๊ะกินข้าวเดียวกับพวกเรานี่ประหลาดชะมัด”

    เพราะแค่เรื่องที่โรงอาหารก็ทำเอาเขาต้องเหยียบเท้าเพื่อนในกลุ่มให้เลิกปากหมาเสียก่อน

    สำหรับคนอื่นแล้ว เขากับชเวซูบินดูเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะโคจรมาเจอกันได้เลยจริง ๆ

    สถานที่ที่ยอนจุนจะแสดงความสนิทสนมกับซูบินได้ นอกจากโรงเรียนกวดวิชาที่ห่างออกมาหน่อย ก็คือที่บ้านนั่นแหละ

    เพราะอย่างนั้น ตอนที่มีคนสะกิดไหล่เขาตอนกำลังกดน้ำเผื่อซูบินก่อนเข้าคลาสแรก ยอนจุนจึงชะงัก ยิ่งได้เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขายิ่งช็อก

    “…อูยอง? ”

    “เซอร์ไพรส์ ไม่นึกว่าจะเจอแกที่นี่นะ”

    แล้วทำไมจองอูยอง เพื่อนสนิทของเขา มันถึงได้มาโผล่ที่เรียนพิเศษนี่ด้วยวะ!





    ‘พี่ควรบอกรุ่นพี่อูยองนะ’

    หลังจากส่งข้อความไปบอกซูบินว่ากลับไปหาไม่ได้ ไม่ได้ซื้อน้ำไปให้นี่ เพราะเจอเพื่อน นี่คือข้อความที่ตอบกลับมาจากซูบิน

    เขามองหน้าจองอูยองที่ทำท่าสนใจใครรู้ทุกอย่างในห้องเรียนเหมือนชีวิตนี้ไม่เคยเรียนพิเศษแล้วก็ถอนหายใจ

    “ทำไมมาเรียนไกลขนาดนี้ ไม่สิ ทำไมไม่บอกตั้งแต่ที่โรงเรียน”

    อูยองย่นหน้า “ก็คนอื่นดูไม่สนใจเรียนต่อเลยนี่หว่า บอกว่าเรียนพิเศษมันดูไม่ค่อยเท่ปะ อุตส่าห์เลือกที่เรียนไกลโรงเรียนขนาดนี้ ยังเจอแกอีกเหรอ”

    “ฉันเรียนที่นี่มาตั้งแต่ปีที่แล้ว”

    “อ้าวเหรอ”

    “แล้วมาเรียนตอนนี้มันจะตามทันหรือไง”

    “ถึงต้องให้แกช่วยไง ยอนจุนเพื่อนรัก”

    ชเวยอนจุนอยากร้องไห้ โอกาสที่จะได้อยู่กับซูบินสองต่อสองหายไปอีกแล้ว ไอ้จองอูยอง!!!!

    ‘ถ้าพี่ไม่บอก ก็ต้องปิดบังไปเรื่อย ๆ นะครับ’

    ‘จะปิดไปอีกนานแค่ไหนเหรอ อย่างน้อยนั่นก็เพื่อนสนิทพี่นะ’

    ข้อความจากซูบินเด้งขึ้นมาบนหน้าจออีกรอบ ยอนจุนพลิกจอซ่อนไม่ทัน อูยองจึงเห็นเต็ม ๆ

    “หือ? ใครอะ my baby? นี่แกมีแฟนเหรอ!”

    จองอูยองเอ่ยเสียงดังราวกับจะประกาศให้คนทั้งโรงเรียนกวดวิชารู้ ยอนจุนรีบปิดปากเพื่อนตัวดีแล้วทำมือให้ลดเสียง

    “ไว้ค่อยคุยกัน”

    “เชี่ย ทำไมไม่บอกวะ อะไรเนี่ย มีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่”

    แล้วหลังจากนั้นชเวยอนจุนก็ต้องทนฟังเสียงบ่นงุ้งงิ้งของเพื่อนสนิทไปจนจบคลาส





    มันคงถึงเวลาแล้วล่ะ

    สุดท้ายยอนจุนก็ตัดสินใจได้

    เขารอซูบินอยู่หน้าทางเข้า บอกจองอูยองว่ารอกลับบ้านพร้อมแฟน ถ้าอยากเห็นหน้าก็รอเจอด้วยกันแล้วกัน แน่นอนว่าคนอย่างจองอูยองถ้าต้องกางเต็นท์รอข้ามคืนก็คงทำ ดังนั้นพอเห็นชเวซูบินเดินออกมา เจ้าเพื่อนสนิทถึงทำหน้าแปลกใจ

    “โอ๊ะ นั่นชเวซูบินนี่? ”

    “…”

    ซูบินยิ้มกว้าง เดินมาหาพวกเขา

    “…เขารู้จักพวกเราด้วยเหรอ”

    “…”

    “พี่จุน”

    “บินอา” เขาผายมือไปทางอูยอง “นี่เพื่อนพี่เอง ชื่ออูยอง”

    จองอูยองนิ่งค้างเหมือนโดนสาปให้กลายเป็นหิน ขณะที่ชเวซูบินยิ้มกว้าง

    “สวัสดีครับ ผมชเวซูบิน”

    “อูยอง นี่ซูบิน”

    “…”

    “แฟนฉันเอง”





    ชเวยอนจุนเคยคาดหวังปฏิกิริยาหลายอย่างจากการบอกคนอื่นว่าเขาคบกับผู้ชายอยู่บ้าง แต่สาบานว่าสิ่งที่จองอูยองทำอยู่นอกเหนือจากความคิดของเขาไปไกล

    พอฟังคำพูดของเขาจบ จองอูยองยกมือปิดปากตัวเอง แววตาเป็นประกาย

    “เรื่องจริงใช่ไหมเนี่ย”

    “…แล้วจะโกหกเพื่ออะไร”

    อูยองบีบต้นแขนเขาแน่น “แกรู้ไหม ฉันเคยเห็นแกกับซูบินเมื่อสองเดือนก่อน ตอนนั้นก็คิดว่าตาฝาด แต่ตอนนี้ฉันมั่นใจว่าไม่ได้มองผิด”

    “สองเดือนก่อนเหรอครับ” ซูบินทำหน้างง

    ชเวยอนจุนกะพริบตาปริบ ๆ เขานึกย้อนไปถึงสองเดือนก่อน น่าจะเป็นช่วงหน้าร้อน เขากับซูบินทำหลากหลายกิจกรรมด้วยกันมาตลอด เลยนึกไม่ออกอยู่ดีว่ามีอีเวนต์อะไรให้อูยองมาเจอเขา

    “ที่สวนสาธารณะ ใต้ต้นพ็อดกท...”

    ซูบินทำหน้าเข้าใจ “อ๋อ”

    “อ๋อ? ”

    เป็นยอนจุนเองที่งง

    จองอูยองดึงแขนเขาให้เดินออกห่างจากหน้าโรงเรียน “คุยกันที่อื่นเถอะ ตรงนั้นคนเยอะแยะ”

    แล้วพวกเขาก็มานั่งคุยกันต่อที่บ้านของยอนจุน

    ยอนจุนงงมากว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วไอ้อูยองมันตามเขามาถึงบ้านได้อย่างไร ตั้งแต่คบกับซูบินเขาไม่เคยพาเพื่อนมาบ้านอีกเลย บอกปฏิเสธตลอดว่าไม่พร้อมรับแขก แต่เพราะซูบินบอกให้มาคุยที่บ้านจะได้กินอะไรง่าย ๆ พร้อมกันหรือค้างคืนถ้าหมดรอบรถไฟ สุดท้ายจองอูยองเลยมานั่งจ๋องอยู่ที่โซฟาบ้านเขา

    “ตกลงวันนั้นมันมีอะไร”

    สวนสาธารณะ? ต้นไม้? แล้วยังไง

    ซูบินหัวเราะ “ผมถ่ายรูปให้พี่ไง จำไม่ได้เหรอ”

    ยอนจุนทำหน้างงกว่าเดิม อูยองเลยยื่นมือถือของตัวเองให้

    “รูปโปรไฟล์แกในคาทก”

    มันเป็นรูปเขายืนอยู่ใต้ต้นพ็อดกทที่ออกดอกบานสะพรั่ง จากมุมแล้วคิดว่าคนอื่นต้องถ่ายให้แน่นอน เพราะไม่ใช่มุมเซลฟี่

    “ตอนนั้นถามว่าใครถ่ายให้ แกบอกว่าญาติที่ไปด้วยกัน แต่ฉันเห็นว่าเป็นซูบิน หรือจะบอกว่า ชเวนี่ตระกูลเดียวกัน คงไม่ทันแล้วมั้ง”

    ยอนจุนถอนหายใจ

    “นึกว่าเห็นอะไรแปลก ๆ”

    “อะไรล่ะ”

    “ไม่มีอะไรหรอกครับ” ซูบินหัวเราะ “ผมบอกแล้วว่าพี่จุนคิดมากไป นี่มันยุคไหนกันแล้ว”

    บทสนทนาจบลงตรงนั้นแล้วเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น อย่างน้อยก็น่ายินดีที่อูยองไม่ได้มีปัญหากับเรื่องส่วนตัวของเขา แถมดูยินดีที่เป็นซูบินเสียด้วย สุดท้ายเขาจึงให้เพื่อนสนิทนอนที่โซฟา แล้วคืนนั้นเรื่องคุยก่อนนอนของเขากับซูบินจึงเปลี่ยนไป

    “โล่งขึ้นบ้างไหมครับ”

    เขาพยักหน้ารับคำถามของซูบิน

    “เพื่อนพี่ใจดีจะตาย”

    “อืม ใจกว้างด้วย”

    “พี่ไม่ได้ทำอะไรผิดนะครับ” ซูบินบอกเขา “ดังนั้น ถ้าคนอื่นจะมีปัญหา ก็ไม่ใช่ความผิดของพี่”

    เขายิ้มรับคำพูดนั้น

    “อืม ถ้าการรักเธอเป็นเรื่องผิดของโลกนี้ งั้นพี่ยอมเป็นคนชั่วในสายตาคนทั้งโลกก็ได้นะ”

    “น้ำเน่ามากเลยอะ”

    เสียงหัวเราะของซูบินก้องห้องเล็ก ๆ นั้นจนทำให้ชเวยอนจุนยิ้มตาม

    นั่นสินะ เขาไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย

    แต่เพราะมีซูบินนั่นแหละ เขาถึงกล้าที่จะบอกคนอื่น

    เริ่มจากเพื่อน หวังว่าหลังจากนี้เขาจะได้อวดคนใกล้ตัวว่า เขาเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก ที่มีคนรักคือชื่อชเวซูบิน





    เสียงหัวเราะนั้นดังแว่วออกมาจนถึงห้องนั่งเล่น

    จองอูยองกำลังจะหลับ เขาอมยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องวันนี้ แล้วยิ้มอดยิ้มกว้างกว่าเดิมไม่ได้เมื่อนึกถึงเรื่องราวเมื่อสองเดือนก่อน

    วันนั้นเป็นวันหนึ่งในเทศกาลชมดอกไม้ของเมือง เขาออกไปดูดอกไม้กับน้อง ๆ ที่บ้าน ระหว่างแวะซื้อขนมก็เห็นยอนจุนยืนอยู่ข้างต้นไม้ แต่ไม่ทันได้ทักเพราะเห็นเรื่องน่าสนใจกว่า คือชเวซูบินกำลังถ่ายรูปให้ยอนจุน

    คนทั้งโรงเรียนรู้จักชเวซูบิน ใครบ้างจะไม่รู้จักประธานชั้นปีคนเก่ง นักเรียนตัวอย่างของโรงเรียน เรียนดี กีฬาเด่น กิจกรรมไม่ขาด เป็นคนสมบูรณ์พร้อมคนหนึ่งที่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง แถมนิสัยก็ดี ไม่ถือตัว

    พอเห็นแบบนั้นเขาเลยแอบสังเกตการณ์เงียบ ๆ และใช้เวลาสั้น ๆ ที่ซูบินปลีกตัวออกมาซื้อน้ำดื่มเพิ่มเข้าไปทักไม่ให้ยอนจุนเห็น

    “ชเวซูบิน? ”

    อีกฝ่ายทำหน้างงใส่เขา

    “ฉันจองอูยอง เป็นเพื่อนของยอนจุน”

    ซูบินตาโต

    “คือผม...”

    “ฉันเห็นนายอยู่กับยอนจุน สนิทกันเหรอ”

    ซูบินหน้าเสียจนเขากังวล

    “ฉันแค่ถามเฉย ๆ ไม่ได้จะว่าอะไร” อูยองรีบพูด “หรือมันมีปัญหาอะไรหรือเปล่า นายถูกมันข่มขู่อยู่หรือไง”

    “…พี่จุนไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อยครับ”

    ซูบินย่นหน้าใส่เขา อูยองกะพริบตา

    “เหรอ แล้วตกลงมาด้วยกันได้ยังไง คิดว่าไม่รู้จักกันเสียอีก”

    ซูบินถอนหายใจ “เอาเป็นว่าสนิทกันระดับหนึ่งครับ พี่เขายังไม่อยากบอกใคร ผมเลยไม่อยากพูด ไว้ถ้าเขาพร้อมแล้ว ถึงตอนนั้นพี่ก็จะรู้ทุกอย่างเองแหละครับ”

    รอยยิ้มบาง ๆ และแววตาเชื่อมั่นบนใบหน้านั้นทำให้จองอูยองยอมสงบปากสงบคำ แม้จะเห็นว่าเพื่อนสนิทเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ในรอบหลายเดือนแถมไม่ยอมเปลี่ยนอีกเลย ก็ยอมไม่พูดอะไรมาก และท้ายที่สุดยอนจุนก็บอกออกมาจนได้

    คนรักเหรอ

    ไม่รู้สิ จองอูยองอาจจะเป็นคนใจกว้าง เขาไม่ได้รู้สึกแปลกอะไรกับการที่เพื่อนมีแฟนเป็นผู้ชาย แต่ถ้าคนอื่นจะมีก็...อืม ไว้มีใครมาด่าซูบินก่อนแล้วกัน เขาจะช่วยต่อยให้อีกที

    ส่วนยอนจุนเหรอ ช่างมันเถอะ ใครอยากด่ามันก็เชิญ มันต่อยเองได้อยู่แล้วนี่นะ



    จบ


    ----------


    210822

    เขียนจบตอน 01.04 น. 55555 โอ๊ย เพลินมาก จริง ๆ อยากให้เป็นเรื่องยาวไปเรื่อย ๆ มากแต่กลัวหมดไฟกลางคัน (์...) เลยรีบเขียนให้จบในเรื่องเดียวดีกว่า

    รอมคอมเข้ามือมากเวอร์ งง แต่เหมือนไม่ได้เขียนนาน 555 สามพันสี่ร้อยคำ (Pages นับ) อุ้งมือด้านไปหมดแล้วค่ะ เป้าหมายของการซื้อของต่อไปคือที่รองข้อมือตอนพิมพ์ U_U

    ชอบไม่ชอบยังไง บอกกันได้ในคอมเมนต์และ twitter @BeforeWeek นะค้า เริ้บยอล

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in