งามหน้าเข้าให้กับกองหน้าไฟแรงสนนราคารวมกันกว่า 400 ล้านยูโร หรือ 'MCN' กับฟอร์มสุดแผ่ว ชื่ออย่างสิงห์ ฟอร์มจริงอย่างแมวเหมียว ที่แม้จะบุกมาถึงรังราชันย์ชุดขาวเรอัล มาดริดด้วยสกอร์ขึ้นนำก่อน 0-1 แต่ไหงมาแพ้เอาทีหลังตั้ง 3-1 ใน 10 นาทีสุดท้าย จนได้ชื่อว่าโอกาสเข้ารอบบิ๊กเอียร์โคตรจะริบหรี่!?!
คืนวันที่ 14 กุมภาพันธ์วันแห่งความรักกลับเป็นวันแห่งความโศกอีกครั้งของเหล่าแฟนๆปารีส แซงต์ แชร์กแมง เมื่อทีมในดวงใจบุกพ่ายเรอัล มาดริด ที่ซานติอาโก้ เบอนาเบว ในรายการยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย ฝันหวานของแฟนๆที่เริ่มก่อตัวขึ้นหลังจากอาเดรียง ราบิโอต์ยิงสุดสวยนำก่อน 1-0 แต่กลับเริ่มแผ่วลงอีกครั้งเมื่อคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดีกรีนักเตะ 5 บัลลงดอร์ ตบเท้าเข้ายิงจุดโทษตีเสมอก่อนจบครึ่งแรก แม้ครึ่งหลังที่ยังพอมีให้ลุ้นไปตามฝันเพราะรูปเกมไม่ได้ดูแย่ไปกว่าเจ้าบ้าน แต่กลับกลายเป็นว่าแทคติคสุดพิศดาลของอูไน เอเมรี่นี้เองที่พาทีมพ่ายไปอย่างงงๆ ชวนฉงนจนแฟนๆนอนไม่หลับ เก็บกลับไปคาใจทั้งวัน
เค้าลางมันเริ่มขึ้นเมื่ออูไน เอเมรี่เปลี่ยนตัวนักเตะคนสำคัญอย่าง เอดินสัน คาวานี่ ออกในนาทีที่ 66 เนื่องจากเห็นว่าเจ้าตัวไม่ค่อยมีส่วนร่วมกับเกมมากนักแม้จะเป็นวันเกิดของเจ้าตัวแต่ก็หาได้มีเยื่อใยไม่ และมันจะไม่มีคำถามเลยหากว่าคนที่เอเมรี่ส่งลงมาแทนเป็นอังเคล ดิ มาเรีย ที่กำลังฟอร์มร้อนแรง หรือจะเป็นยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ ที่พร้อมจะพาความสดใหม่มาช่วยทีมในเกมรุก แต่กลับกลายเป็นโธม่า เมอนิเยร์ แบ็คขวาที่เป็นตัวรับเสียนี่!?
ภาพนาทีการเปลี่ยนตัวระหว่างเอดินสัน คาวานี่ และโธม่า เมอนิเยร์ที่ว่ากันว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของเกม
คือพี่ทั่นตั้งใจจะมาแค่ตีเสมอ 1-1 ทั้งๆที่ยังมีเวลาอีกเกือบ 25 นาทีให้ลุ้นเรอะ!?
แค่ทัศนคติก็แพ้แล้วคุณเอ๊ย
ทั้งๆที่รูปเกมไม่ได้เป็นต่อแต่อย่างใดหลังจากนั้น แต่สิ่งที่ทีมขาดอย่างเห็นได้ชัดเลยจริงๆก็คือสัญชาตญาณเพชฌฆาตที่เฉียบขาดและเก๋าเกมพอ หลายครั้งด้วยกันที่สามารถสร้างโอกาสขึ้นได้ แต่ไม่สามารถจบสกอร์ ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นรอง แต่กับทีมอย่างเรอัล มาดริด ดีกรีแชมป์ยูฟ่า 2 สมัยซ้อน มันก็มากเกินพอที่จะให้พวกเขาได้ลงทัณฑ์เมื่อสบโอกาสด้วยการเปลี่ยนตัวลงมาของมาร์โก้ อาเซนซิโอ้ ที่มาแทนที่ของอิสโก้ และมันก็ดันเป็นประตูทั้งสองลูกจากการทำแอสซิสต์ของเจ้าตัว จนเรียกได้ว่าเป็นแข้งหลักที่พาทีมคว้าชัยในบ้านไปอย่างชิลๆในจังหวะขลุกขลิก และด้วยสกอร์ที่เหนือกว่า 2 ลูกนี้เองที่จะกดดันให้ทีมปารีส แซงต์ แชร์กแมงต้องทำสกอร์ให้นำห่างอย่างน้อย 2 ประตูในบ้าน และไม่ควรเสียประตูก่อนอีกด้วย
ที่ตลกไปกว่านั้นคือ การเปลี่ยนตัวลงมาของยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ แทนที่โจวานี่ โล เซลโซ่ในนาทีที่ 85 มันก็ดูช้าเกินไปมากๆเมื่อเทียบกับฟอร์มของตัวโล เซลโซ่ ที่เล่นได้แย่มากๆ จนแทบเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักๆของความพ่ายแพ้นี้ จากการทำเสียจุดโทษไปในประตูตีเสมอไปในช่วงท้ายครึ่งแรก อาจเพราะความตื่นสนาม เนื่องจากเพิ่งเคยได้รับการไว้ใจให้ลงตัวจริงเป็นครั้งแรกในเกมแชมเปียนส์ ลีก ที่เรียกได้ว่าเป็นการเปิดซิงที่ไม่สวยสุดๆ แม้เราจะถกเถียงกันว่าเพราะมันไม่ใช่ตำแหน่งธรรมชาติของเจ้าตัว อันเนื่องมาจากปัญหาเปแอสเชขาดตำแหน่งกลางรับที่มีประสบการณ์กับผู้เล่นในทีม จึงต้องจำยอมให้กลางรับเฉพาะกิจอย่างโล เซลโซ่มาแทนที่ เพราะดูเหมือนว่าลาซซานน่า ดิยาร่าที่เพิ่งปิดดีลไปหมาดๆในตลาดหน้าหนาวที่ผ่านมา ยังไม่น่าไว้ใจพอให้เล่นร่วมกับเพื่อนในสนามจริง แข่งจริง แพ้จริง เจ็บจริง
จะเห็นได้ว่าแค่การจัดตัวก็ดูทะแม่งๆ มีปัญหาแล้ว
เท่านั้นยังไม่พอ โธม่า เมอนิเยร์ และยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์เป็นเพียง 2 นักเตะตัวสำรองที่ได้ลงมาเปลี่ยนตัวในเกมนี้ ซึ่งก็แปลว่ากุนซืออูไน เอเมรี่ใช้ตัวสำรองไม่ครบโควต้าร์ และด้วยเหตุนี้เองจึงถูกมองว่า แทคติคอะไรของมึ๊งงงงงงง
อยากจะถามเหลือเกินว่าอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้พี่แกแก้เกมพิศดาลแบบนี้ ในเกมที่เจอกับทีมใหญ่ โคตรอภิมหากาฬผู้ทำลายสถิติเป็นแชมป์ยูฟ่า 2 สมัยติดได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น??
หากจะกล่าวถึงการตัดสินใจพลาดมหันต์ ค่ำคืนที่ผ่านมาคงไม่ได้ครึ่งของค่ำคืนนั้นที่แคมป์นูอีกแล้ว ไม่มีอะไรจะน่าอัปยศจนเป็นแผลฝังใจแฟนๆไปได้มากกว่าการพ่ายแพ้ให้กับยอดทีมจากสเปนอย่างบาร์เซโลน่า ถึง 6-1 ที่แม้จะนำมาดีๆก่อนหน้าถึง 4-0 ในบ้านตัวเอง แต่การตัดสินใจที่จะเน้นเกมรับที่แคมป์นูเพราะคิดว่าตึงสกอร์ 4-0 ไว้ในมือให้ได้นั้นถือเป็นเรื่องที่งี่เง่าอย่างมาก ทำเอาเรื่องแพ้มาดริดที่ซาติอาโก้ เบอนาเบวเป็นเรื่องไก่กาอาราเล่ไปเลย
สภาพของผู้แพ้ในค่ำคืนนี้ อูไน เอเมรี่ ที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อหลังเกม
การตัดสินใจผิดพลาด และล่าช้าของอูไน เอเมรี่ ถูกพูดถึงตั้งแต่ช่วงแรกๆที่เขาเข้ารับงานตำแหน่งกุนซือของทีมแห่งนี้ และเป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้วที่เขาไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความพัฒนาและแก้ปัญหา มันราวกับว่าเขาไม่เคยรู้สึกระแคะระคายใดๆกับความสามารถของตัวเองเลย เขายังคงโทษลม โทษดิน โทษกรรมการไปเรื่อยอย่างกับว่าตัวเองไม่ต้องมีส่วนรับผิดชอบใดๆ เรียกได้ว่าไม่สนหมีสนแหมดใดๆทั้งสิ้น
สรุปแล้ว อูไน เอเมรี่ ไม่สมควรจะเป็นโค้ชให้ยักษ์ใหญ่แดนน้ำหอมอย่างปารีส แซงต์แชร์กแมงเพียงอย่างเดียว หรือไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นโค้ชทีมใหญ่ๆเลยกันนะ? หากไม่นับวันเก่าๆที่เซบีญ่า ที่แม้ทำทีมได้แชมป์ยูโรป้าติดกันถึง 3 ปีติด แต่แล้วยังไงล่ะ? ในเมื่อไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองในเวทีใหญ่ได้เลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in